วัตถุประสงค์ของชีวิต

วันที่ 05 เมย. พ.ศ.2567

050467b.01.jpg
 

วัตถุประสงค์ของชีวิต
๕ มกราคม ๒๕๓๕
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)


                ต่อจากนี้ขอให้ทุกคนตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพาน ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย ให้มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบาๆ หลับพอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตาให้หลับพอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับนะจ๊ะ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย เพราะว่าเราจะต้องใช้เวลาต่อจากนี้ไปอีก ๑ ชั่วโมงเต็มสำหรับการเจริญภาวนา และบูชาข้าวพระ ถ้าเราปรับท่านั่งไม่เหมาะสม สำหรับท่านที่มาใหม่ก็จะปวดเมื่อย เพราะฉะนั้นต้องขยับให้พอเหมาะพอดี

 


                นี่เป็นสิ่งที่สำคัญนะจ๊ะ สำหรับท่านที่มาใหม่ อย่าดูเบาว่าเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย นี่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว สำหรับการหลับตาให้เป็น กับการขยับเนื้อขยับตัวปรับร่างกายของเราให้อยู่ในท่านั่งที่สะดวกสบาย เลือดลมในตัวเดินได้สะดวก ถ้าเราทำตรงนี้ยังไม่ได้ ต่อไปมันก็จะมีผลทำให้ล่าช้า ซึ่งหลวงพ่อได้รับทราบมาจากหลาย ๆ ท่านที่ล่าช้านี้เพราะเกิดจากการดูเบากัน ตั้งแต่หลับตา ตั้งแต่ขยับเนื้อขยับตัวนี่แหละ เพราะฉะนั้นท่านที่มาใหม่ต้องทําความเข้าใจตรงนี้นะ เพราะหลับตาเป็นนี่ จะทําให้เราเห็นภาพภายในได้ ถ้าหลับไม่เป็นไปบีบกล้ามเนื้อ เปลือกตา เหมือนคนทำตาหยีอย่างนั้นนะ มันจะทำให้เกิดความตรึงเครียดในบริเวณหัวตา ศีรษะแล้วก็จะเกิดอาการจ้อง อาการมอง อาการเพ่งภายในซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เสียเวลา ล่าช้าต่อการฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง

 


                ดังนั้นต้องหลับพอสบาย ๆ ท่านที่มาใหม่ปรับตามไปนะ ขยับตัวก็ขยับให้พอดี ๆ พอดีเนี่ยะให้สังเกตดูว่าเราเกิดความพึงพอใจในท่าที่เรานั่งนี้ มีความรู้สึกขึ้นมาในใจว่ามันมั่นคง จะนั่งไปยาวนานแค่ไหนก็ได้ เราไม่มีความรู้สึกว่าฝืนนั่ง หรือพยายามที่จะนั่ง รู้สึกสบาย ๆ นี่คือความพอดี สำหรับการนั่งเมื่อเราขยับเนื้อ ขยับตัวแล้วนะจ๊ะ ของใครของมันนะคราวนี้ก็มาปรับที่ใจ ใจที่เหมาะสมที่จะเข้าถึงพระธรรมกายภายในนั้น จะต้องเป็นใจที่ปลอดโปร่ง โล่งเบา สบาย ไม่ผูกพันกับอะไรทั้งสิ้นในโลก ต้องเป็นใจที่สดชื่น ใจที่เบิกบานถึงจะเข้าถึงได้อย่างง่าย ๆ เพราะการที่จะไปสู่ อายตนนิพพานหรือการจะเข้าถึงธรรมกายนั้น มันไปไม่ได้ด้วยกายมนุษย์ ต้องไปด้วยใจของเรา 

 


                ดังนั้นการปรับใจนี่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ก็ต้องทำใจให้ปลอดโปร่งว่างเปล่า เบา สบาย ไม่ผูกพันกับอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน หรือเรื่องครอบครัวหรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ต้องไม่ผูกพันในคน ในสัตว์ ในสิ่งของ ต้องทำประหนึ่งคล้าย ๆ กับว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งของ ไม่เคยรู้จักเรื่องราวอะไรมาก่อน ทำคล้าย ๆ กับอยู่คนเดียวในโลกอย่างนี้ใจก็จะไม่ผูกพัน แต่ถ้าหากว่าเราพยายามนึกอย่างนี้แล้ว มันก็ยังผูกพันอยู่ ยังทำใจให้ปลอดโปร่ง โล่ง เบา สบายไม่ได้ ก็ให้พิจารณาว่าสรรพสัตว์ สรรพสิ่งทั้งหลายจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ ล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสารอะไร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็ไปสู่จุดเสื่อมสลาย ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสารอะไรทั้งสิ้น 

 


                แค่เป็นเครื่องอาศัยอยู่ชั่วคราว เมื่อเรามีกายมนุษย์อยู่เท่านั้น และสิ่งเหล่านี้มีปัญหาอยู่ในตัว เมื่อเราไปผูกพันกับมันเข้า ปัญหาเหล่านั้นก็จะทำให้เราเกิดความทุกข์ใจ ทนไม่ได้ มีความไม่สบายกาย ไม่สบายใจเกิดขึ้น นี่ก็เป็นเพราะว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของจริง เป็นสิ่งที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น ต้องนึกคิดอย่างนี้บ่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เรากำลังจะนั่งเนี่ยะ ใช้เวลาสัก ๑ หรือ ๒ นาที พิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้อาศัยชั่วคราวไม่ช้าก็ต้องพลัดพรากจากกันไป จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของต้องพลัดพรากกันทั้งนั้น แม้แต่ร่างกายของเรา ที่เราอาศัยนั่งปฏิบัติธรรมนี้เนี่ยะ ตอนนี้มันก็ยังคุมกันอยู่ รวมกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่ไม่ช้ามันก็จะพลัดพรากจากไป ฟันอาจจะจากไปก่อน ผมบนศีรษะก็อาจจะจากไป ทุกส่วนของร่างกายนี่มันพลัดพรากได้ทั้งนั้น จากกันไปก่อน ถ้ามันไม่หลุดร่วงก็จาก จากความแข็งแรงมั่ง จากพรากจากความหนุ่ม ความสาวบ้าง ในที่สุดก็เสื่อมสลายแยกกันไปหมด

 


                เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้อาศัยชั่วคราว นึกคิดอย่างนี้ ๑ หรือ ๒ นาที เพื่อให้ใจเราไม่ผูกพันกับคน สัตว์ สิ่งของภารกิจการงานอะไรต่าง ๆ เมื่อใจเราปลอดโปร่งจากภารกิจเครื่องกังวลแล้ว ต่อจากนี้ก็ทำใจให้แช่มชื่น ให้เบิกบาน ให้นึกถึงว่าการปฏิบัติธรรมของเรานี้ เป็นการทำความดี ที่สูงที่สุด ที่ประเสริฐที่สุด พระพุทธเจ้าของเราท่านทำความดีที่สูงที่สุดประเสริฐที่สุด ด้วยการทำใจให้บริสุทธิ์ให้ผ่องใสให้หยุด ให้นิ่ง เพราะฉะนั้นนี่เรากำลังทำตามพระบรมศาสดาของเรา ฝึกใจให้บริสุทธิ์ ให้หยุด ให้นิ่ง ให้ผ่องใส ถือเป็นความดีอันสูงสุด ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากกิเลส จากอาสวะ จากความทุกข์ทั้งหลายได้ นึกคิดอย่างนี้แล้ว จะทำให้ใจเราแช่มชื่นว่าการปฏิบัติของเรานี้ถูกต้อง ดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทีเดียว เมื่อใจเราสดชื่นเบิกบานแล้ว เราก็นั่งให้หน้าเบิกบาน ให้ยิ้มอยู่ภายในใจของเรา ทำใจให้สบาย ๆ ให้สดชื่น 

 


                พอสดชื่นดีแล้ว คราวนี้ก็มาถึงการปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจัง ว่าทางเดินของใจเรานั้นนะ มีฐานที่ตั้งอยู่ทั้งหมด ๗ ฐาน ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายก็อยู่ข้างขวา ฐานที่ ๒ ก็ที่เพลาตาที่หัวตาตรงน้ำตาไหล ฐานที่ ๓ ก็อยู่ที่กลางถูกศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเราฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก ฐานที่ ๕ อยู่ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก ฐานที่ ๖ อยู่กลางท้องในระดับเดียวกับสะดือของเรา สมมุติว่าเราขึงเชือกจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง ขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นเชือกทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดที่เล็กเท่ากับปลายเข็มตรงนี้เรียกว่าฐานที่ ๖ ยกถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมุติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน และนำไปทาบตรงจุดตัด ของเส้นเชือกทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เนี่ยะทั้งหมด ๗ ฐานนี้ 

 


                ฐานที่ ๗ เป็นฐานที่สำคัญที่สุด นั่นหละเป็นที่ตั้งใจของเรา ถ้าเราเอาใจของเรามาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ มาตั้งเอาไว้ตรงนี้ แล้วฝึกให้หยุดให้นิ่ง ประคับประคองให้นิ่งทีเดียว ถ้านิ่งเมื่อไหร่หยุดถูกส่วนเมื่อไหร่เราจะเห็นดวงปฐมมรรคเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นดวงใสบริสุทธิ์ทีเดียว อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ หรือเป็นจุดสว่างเล็ก ๆ เท่ากับปลายเข็มเหมือนดวงดาวในอากาศอย่างนั้นนะ เล็กนิดนึงเกิดขึ้น ถ้าขนาดปานกลางก็เท่ากับพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ขนาดใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ใหญ่ เล็กไม่สำคัญ สำคัญว่ามันจะเกิดความสว่างขึ้นตรงนี้ เป็นจุดหมายนะ เป็นเครื่องหมายทีเดียว เป็นจุดเริ่มต้น ที่จะไปสู่อายตนนิพพาน จะเกิดขึ้นตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้ที่เดียว 

 


                แล้วเมื่อเราดำเนินจิตปล่อยเข้าไปในกลางนั้น คือหยุดนิ่งที่กลางปฐมมรรคเป็นจุดใส ๆ หรือดวงใส ๆ ถ้ามันถูกส่วนพอถูกส่วนมันจะขยายกว้างออกไป กว้างออกไปเองเลยนะ ขยายกว้างแล้วก็จะพบดวงธรรมผุดเกิดขึ้นมาภายใน ขึ้นมาทีละดวง ทีละดวง ทีละดวงทีเดียว สวยงามมาก เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ทีเดียว ดวงธรรมที่ผุดเกิดขึ้นมานั้น สวยงามมาก งามยิ่งกว่าเพชร ยิ่งกว่าความใสของสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้นในโลก เนี่ยะดวงใสผุดเกิดขึ้นมา ใจก็สว่างไสว มีความเบิกบานมีความสดชื่น อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทีเดียว ผุดเกิดขึ้นมาทีละดวง ทีละดวง ทีละดวง ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เนี่ยผุดไปเรื่อยเลย ๖ ดวง ทีละดวง ทีละดวง พอเกิดขึ้นมา ก็ขยายหายไป  

 


                ดวงแรกเรียกว่า ดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานเกิดขึ้นมา ดวงที่ ๒ เรียกว่า ดวงศีล และก็มีดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะผุดเกิดขึ้นอยู่ในกลางนั้นนะ พอสุดกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จะเข้าถึงกายละเอียดภายใน เราจะพบว่ามีกายอยู่กายหนึ่งซ้อนอยู่ข้างใน นั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา ท่านหญิงก็เหมือนกับท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย เกิดขึ้นอยู่ในกลางนั้นนะ เป็นกายที่สวยงามกว่ากายมนุษย์หยาบเราเรียกว่ากายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์ละเอียดนั้นนะอยู่ในกลางตัว เห็นตอนแรก ๆ ก็นิดเดียว พอมองต่อไปเรื่อย ๆ ก็ขยายกว้างขึ้น มองอย่างธรรมดาอย่างสบาย ๆ กายละเอียดก็ขยายกว้างขึ้น จนกระทั่งเท่าตัวของเราเนี่ยะ เห็นชัดเจนทีเดียว พอมองต่อไปเรื่อย ๆ กายนั้นก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 

 


                จนกระทั่งเรามีความรู้สึกว่า เราเป็นกายมนุษย์ละเอียด และกายมนุษย์ละเอียดก็เป็นตัวเรา ถึงขั้นนี้แล้วความรู้สึกก็จะเปลี่ยนไปแตกต่างจากที่เป็นอยู่จากเดิมมากทีเดียว อย่างน้อยเราก็จะได้รู้จักว่ามีกายที่ละเอียดนะซ้อนอยู่ภายใน กายหยาบเป็นประดุจบ้านเรือนภายนอกที่ให้กายมนุษย์ละเอียดอาศัยอยู่ชั่วคราว เมื่อกายมนุษย์หยาบหมดอายุการใช้งานเสื่อมสลายไป กายมนุษย์ละเอียดก็ต้องแสวงหาที่เกิดใหม่ เพราะฉะนั้นกายมนุษย์ละเอียดนี่บางครั้งจึงเรียกว่ากายไปเกิดมาเกิดเนี่ยะเราจะพบเห็นกายมนุษย์ละเอียดภายในและก็เกิดความรู้แจ้งขึ้นมา ว่านี่เป็นกายที่อาศัยอยู่ชั่วคราวจริง ๆ เลย กายหยาบนี้ เมื่อเกิดความรู้สึกอย่างนี้เข้า การที่จะยึดมั่นถือมั่นในกายมนุษย์หยาบเมื่อกายมนุษย์หยาบมีอาการที่เสื่อมสลายหายไปนะ ใจเราก็ไม่ค่อยเป็นทุกข์ใจ เฉย ๆ เพราะว่าเราเข้าใจไปตามความเป็นจริงแล้วว่า ของกายมนุษย์หยาบเนี่ยะ มันชั่วคราวจริง ๆ ถึงกายมนุษย์ละเอียดจะเป็นอย่างนี้นะ แล้วใจก็จะสบาย มีความรู้สึกปลอดโปร่ง เบาสบายยิ่งขึ้น 

 


                เมื่อใจเรานิ่ง แน่น หยุดอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียดต่อไป มันหยุดของมันไปเองนะ เมื่อเรามองตรงกลางต่อไป ก็จะพบปรากฏการณ์ที่คล้ายกันทีเดียว แต่ว่าละเอียดกว่า ละเอียดกว่า ให้สังเกตดูความใสของดวงธรรม ที่เกิดขึ้นที่กลางกายมนุษย์ละเอียด มันจะใสขึ้นกว่าเดิม สว่างกว่าเดิม ผุดเกิดขึ้นมาทีละดวง ทีละดวงนะ จนกระทั่งครบ ๖ ดวง พอสุดดวงที่ ๖ หรือดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ก็จะเข้าถึงอีกกายหนึ่งอีกชีวิตหนึ่งที่ซ้อนอยู่ภายใน ละเอียดกว่ากายมนุษย์ละเอียด สวยงามกว่ากายมนุษย์ละเอียด และก็มีความแตกต่างจากกายมนุษย์ละเอียดมากทีเดียว เพราะกายนั้นมีความรู้สึกนุ่มนวล สวยงาม มีเครื่องประดับประดาที่แปลกทีเดียว ติดกับเนื้อกับตัวสวยงาม งามมาก นี่เรียกว่ากายทิพย์ เป็นกายของสุคติภูมิ เวลาเราไปเกิดอยู่ในสุคติโลกสวรรค์กายที่จะอยู่ในโลกสวรรค์ได้ต้องกายนี้ กายทิพย์เท่านั้น กายมนุษย์ละเอียดอยู่ไม่ได้ ต้องกายทิพย์เท่านั้น จึงจะอยู่ในสุคติโลกสวรรค์ 

 


                เพราะฉะนั้นกายนี้สวยงาม งามมากทีเดียว ท่านหญิงก็เหมือนกับท่านหญิง ท่านชายเหมือนท่านชาย สวยงาม ใครอยากจะรู้จักว่ากายของชาวสวรรค์น่ะเป็นอย่างไร ให้ปฏิบัติเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ให้เข้าถึงกายทิพย์นี้ เราจะเห็นว่าที่เรามาถึงกายทิพย์อย่างนี้ได้ อาศัยหยุดกับนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ พอถูกส่วนเข้าก็จะเข้าถึงสภาวธรรมเหล่านี้ไปตามลำดับ มันเป็นของมันไปเอง เรามีหน้าที่ทำให้ใจหยุดกับนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องไม่นึกไปคิดอะไรเลยนะ แค่หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง และก็มองมองอยู่ในกลางของกลางเดี๋ยวก็เข้าถึงกายทิพย์ เมื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายทิพย์แล้ว เราจะเกิดความรู้สึกทีเดียวว่าชาวสวรรค์นะเค้ามีชีวิตกันเป็นอย่างไร จะรู้จักไม่ต้องไปเชื่อฟังคนอื่นที่เค้าเล่าให้เราฟัง 

 


                แค่ทำใจหยุดนิ่งเข้าถึงกายทิพย์ จนกระทั่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายทิพย์ เนื้อตัวของเราจะรู้สึกฟ่องเบา เบาเหมือนขนนกลอยไปในอากาศ นุ่มนวลเหมือนปุยนุ่น มีความละเอียดอ่อน คล้ายๆ กับกลืนไปในอากาศทีเดียว และก็ใสสว่างอยู่ในกลางนั้น อารมณ์ของกายทิพย์ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา เราจะมีความรู้สึกที่ที่ดีทีเดียวและก็ชอบมาก มีความพอใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในกายทิพย์นี้ เป็นสุขทีเดียว สุขที่ปราณีตกว่า กายมนุษย์ละเอียดหรือกายมนุษย์หยาบเมื่อเราดำเนินจิตอย่างนี้เข้าไปเรื่อย ๆ ในทำนองเดียวกันคือ แค่ทำใจหยุดกับใจนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ไปตามลำดับ เดี๋ยวจะเห็นกายในกาย กายในกาย ผุดเกิดขึ้นมาเลยนะ กายทิพย์พอสุดกายทิพย์ก็เข้าถึงดวงธรรม ๖ ดวง ในทํานองเดียวกัน พอสุดดวงที่ ๖ หรือดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ก็เข้าถึงกายรูปพรหม กายรูปพรหมงามที่สุดเลย

 


                 ใครอยากจะรู้จักว่าพรหมเป็นยังไง ก็ต้องให้เข้าถึง เมื่อถึงแล้วก็จะแตกต่างจาก พรหมที่มนุษย์จินตนาการวาดภาพเอาเถอะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มี ๔ หน้ามั่ง อะไรต่าง ๆ เหล่านั้น หรือถืออาวุธอะไรต่าง ๆ สารพัดเต็มไปหมดเลยนะ เมื่อเราเข้ามาถึงกายรูปพรหมภายใน เราจะรู้จักว่าพรหมนะเค้าเป็นยังไง อารมณ์ของพรหมน่ะเป็นยังไง มีความสุขมีความปราณีตอย่างไร เห็นตั้งแต่รูปร่างลักษณะที่แตกต่าง เห็นรัศมี เห็นความงามของกายรูปพรหมนะ สัมผัสอารมณ์ ความนึกคิดของกายรูปพรหมนั้น ว่าพรหมนะเค้านึกคิดกันอย่างไร แตกต่างจากการนึกคิดของมนุษย์อย่างไร พอเข้าไปถึงเราจะทราบเลยว่า พรหมใจท่านเป็นปกติใส บริสุทธิ์มีแต่ความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วน ๆ เลย ใครอยากจะรู้จักพรหมตัวจริงเป็นยังไง ให้เข้าถึงกายรูปพรหม ซึ่งอยู่ในกลางกาย เป็นแต่เพียงเราทำใจหยุดใจนิ่ง ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เท่านั้น เดี๋ยวเราก็เข้าถึง จะเข้าถึงไปอย่างนี้แหละ เนื่ยะเอาใจหยุดนิ่งพอถูกส่วน ก็เข้ากลางไปเรื่อย ๆ 

 


                เข้ากลางของกลาง เข้าไปเรื่อย ๆ เลย ไปตามลำดับ เบื้องต้นเราเป็นแต่เพียงทำใจให้หยุด ให้นิ่งเท่านั้น แค่ทำใจให้หยุดให้นิ่งเท่านั้น หยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ พอถูกส่วนเดี๋ยวก็เห็นไปตามลำดับดังกล่าวแล้วนะ จนกระทั่งถึงกายธรรม พอถึงกายธรรมจะศึกษาเรื่องอะไร คราวนี้ก็แทงตลอดได้ทุกเรื่องเลย จะเป็นนิพพาน จะเป็นเรื่องภพสาม โลกันตร์ ทะลุหมด ปรุโปร่งหมด อาศัยธรรมกายนี้ กายอื่นไปไม่ได้ ต้องอาศัยกายธรรมนี้กายเดียวเท่านั้น และกายธรรมเหล่านี้ก็ใสสะอาดบริสุทธิ์ กายธรรมอรหัต คือวัตถุประสงค์ของชีวิต ที่เราจะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงได้ เข้าถึงท่านแล้วดีอย่างไร ถึงแล้วกิเลสอาสวะหมดสิ้นไปเลย เราจะเป็นอิสระไม่ถูกครอบงำด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ กิเลส ๓ ตระกูลนี้ครอบงำเราไม่ได้ ใจเราจะหายหิว หายร้อน จะสว่าง จะมีความสุขที่แท้จริง อยู่ตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเวลาทีเดียว

 


                เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที ต้องเข้าถึงกายธรรมให้ได้ ชีวิตจะมีค่า ถ้าเข้าถึงกายธรรม ถ้าเข้าถึงกายธรรมไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกชีวิตนั้นว่า เป็นโมฆะบุรุษ คือผู้ที่ว่างเปล่าจากคุณธรรมทั้งหลาย ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสารเหมือนสวะลอยน้ำ แค่เกิดมาและก็มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เหมือนสวะเท่านั้นเอง และก็ตายฟรี เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายที่ได้เดินทางมาจากที่ต่าง ๆ เพื่อมาร่วมประชุมกัน ประพฤติปฏิบัติธรรม มาบูชาข้าวพระกันในวันนี้ จะได้ทำความเข้าใจว่าชีวิตของเรานั้น เกิดมาเพื่อสร้างบารมี เพื่อสร้างความดีปฏิบัติให้เข้าถึงกายธรรมอรหัตนี้เท่านั้น สิ่งอื่นนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นนั้นแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น อย่าได้ไปยึดมั่น ถือมั่นว่ามันเป็นจริงเป็นจังเลย ของจริงอยู่ในกลางกายตรงนี้แหละ นี่คือสิ่งที่เป็นจริง จริงของพระอริยเจ้า ของผู้พ้นแล้ว อันประเสริฐน่ะ ท่านเข้าถึงความจริงอย่างนี้

 


                 เพราะฉะนั้นจับหลักให้ดีว่าจะเข้าถึงอันนี้ได้แล้ว จะต้องหยุดกับนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น ฝึกหยุดฝึกนิ่ง แม้เราจะมีชีวิตเป็นผู้ครองเรือนก็ตาม เราสามารถฝึกให้หยุดให้นิ่งควบคู่กันไปได้ กิจกรรมในชีวิตประจำวันกับการแสวงหาพระธรรมกายภายในนั้น สามารถทำควบคู่กันไปได้ ตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งเข้านอนและก็ทุกระดับของชีวิตทุกอาชีพ ทุกหนทุกแห่ง ทุกสถานที่ เป็นอกาลิโกจริง ๆ ทำได้ทุกแห่งเลย แม้แต่ในห้องน้ำ ห้องส้วม ทำได้หมด ทำได้อย่างนี้ แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวก็เป็นชีวิตของผู้ประเสริฐ เลิศกว่าผู้ที่มีอายุยืนไปถึงร้อยปี แต่ว่าไม่ฝึกใจให้หยุด ให้นิ่ง ให้เข้าถึงซึ่งกลางภายใน ไปสู่อายตนนิพพานเลย นี่เป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ สำหรับผู้มีสติมีปัญญาจะไปพิจารณาดูว่าทำอย่างไร จึงจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ ให้เป็นประโยชน์อันสูงสุดแก่ตนเองและผู้อื่น ประโยชน์จะได้มากที่สุดนั้น จะต้องหยุดกับนิ่งตรงนี้เท่านั้นเอง และเป็นมหัคตกุศล เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีกุศลใดจะเทียบเท่าได้ เมื่อเราทราบอานิสงส์ขนาดนี้แล้ว จะมัวเกียจคร้าน ขี้เกียจนั่งปฏิบัติธรรมะหรือฝึกใจให้หยุดนิ่งแล้วละก็ เกิดมาถือว่าสูญเปล่า เพราะฉะนั้นให้รีบขยันกันซะนะจ๊ะ   

 


                เมื่อเราทราบอย่างนี้ ต่อจากนี้ไป ให้ทุกคนตั้งใจฝึกให้หยุดให้นิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ปฏิบัติให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้นะจ๊ะ เมื่อเราทราบว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นทางไปสู่อายตนนิพพานแล้ว เราจะต้องเอาใจของเรามาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ ตรงฐานที่ ๗ โดยกำหนดบริกรรมนิมิตคือ นึกสร้างมโนภาพขึ้นมาในใจ ให้ใจเรามีเครื่องหมายเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวของใจเราไม่ให้ซัดส่ายไปที่อื่น ให้สร้างมโนภาพคือกำหนดบริกรรมนิมิต ว่าที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้มีดวงแก้วที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว ไม่มีขีดไม่มีข่วน คล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา ทำตามไปช้า ๆ นะจ๊ะ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เวลานึกสร้างมโนภาพ นึกเบา ๆ นึกอย่างสบาย ๆ ลองนึกอย่างสบายนะจ๊ะ ว่าที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้มีดวงแก้วที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีด ไม่มีข่วน คล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา นึกตามไปช้า ๆ นะจ๊ะ 

 


                นึกให้ใส นึกให้บริสุทธิ์ นึกให้ใสที่สุดเท่าที่จะใสได้ แต่นึกเบา ๆ นึกอย่างสบาย ๆ อย่าไปตั้งใจนึกเกินไปให้เกิดความพอดี ๆ นึกอย่างสบาย ๆ นึกถึงความใสบริสุทธิ์ของบริกรรมนิมิตให้อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้หยุดนิ่ง นึกเบา ๆ นะ ถ้าใจซัดส่ายไปที่อื่นก็ให้ภาวนาในใจ โดยให้เสียงของคำภาวนา ดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิตดวงแก้วนั้น สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหังทุกครั้งที่เราภาวนาสัมมาอะระหัง เราจะต้องไม่เผลอนึกถึงภาพดวงแก้วไปด้วยนะ แล้วต้องนึกอย่างเบา ๆ ด้วย นึกอย่างสบาย ๆ ให้ภาวนาอย่างเนี้ยะไปเรื่อย ๆ จะกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสนครั้งก็ภาวนาไปเถอะ ไม่ต้องนับกันเลยนะ ภาวนาไปก็นึกถึงภาพดวงแก้วใส ๆ บริสุทธิ์ไปด้วยนะ นึกถึงเพชร ไปด้วยน่ะ พูดง่าย ๆ ให้ใสบริสุทธิ์ใสที่สุดเท่าที่จะใสได้ความใส ยิ่งเรานึกบ่อย ๆ จะทำให้ใจเราใสตาม บริสุทธิ์ตาม และสามารถเข้าถึงทิพยจักขุได้อย่างง่ายดาย 

 


                เพราะฉะนั้นต้องนึกบ่อย ๆ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านพูดเรื่อย ๆ ว่าให้ทำใจให้ใส ๆ เอาไว้นะ คือนึกถึงความใสบริสุทธิ์เป็นดวงใส ๆ เกิดขึ้นที่กลางกายนะ ภาวนาไป จะกี่สิบ กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านครั้งก็ช่างมัน ภาวนาไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง พอหยุดนิ่งมันก็ทิ้งคำภาวนาของมันไปเอง คือมันไม่ภาวนาต่อ ใจอยากจะนิ่งเฉย ๆ อย่างเดียวและก็เห็นดวงใส บริสุทธิ์อยู่ในกลางกาย พอเห็นความใสเราก็ให้ใสในใส ใสในใส ชัดในชัด หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง ลงไปเรื่อย ๆ เลย ให้หยุดนิ่ง หยุดนิ่งอย่างเดียวเนี่ยะ เป็นตัวสำเร็จ ทำให้เราเข้าถึงพระธรรมกายได้ถ้าไม่หยุดไม่นิ่งแล้ว ไม่สำเร็จทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ไม่หยุด ไม่เห็นพระ คำโบราณท่านว่าเอาไว้ คือไม่เห็นพระธรรมกายนั่นเอง 

 


                เพราะฉะนั้นต้องฝึกให้หยุดนะ ฝึกให้หยุดให้นิ่ง  ปีใหม่นี้แล้วตั้งใจให้ดีว่าเราจะต้องฝึกใจให้หยุดให้ได้ ไม่หยุดเป็นไม่เลิกเด็ดขาด ไม่เลิกฝึกฝน ฝึกไปทุกอริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน นะ ตอนนี้อยู่ในอริยาบถนั่ง ก็ฝึกไป ภาวนาไปอย่างสบาย ๆ เมื่อไหร่ใจของเราสบายสว่างไสว ตั้งมั่นอย่างดีแล้ว เมื่อนั้นน่ะใจของเราจะเหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศลที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากการให้ทานก็ดี รักษาศีลก็ดี หรือเจริญภาวนาก็ดี จะเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีอะไรเทียบได้ทีเดียว นี่เป็นประดุจภาชนะรองรับบุญทีเดียวนะ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็ให้ทำภาวนาไป ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ ทุก ๆ คนนะจ๊ะ         

 

 

                เราก็เอาใจของเราให้หยุด ให้นิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ต้องหยุดอย่างเนี้ยะให้ได้ตลอดเวลาทีเดียว ไม่ว่าจะนั่งจะนอน จะยืน จะเดิน จะทำภารกิจอันใดก็ตามหยุดให้นิ่ง หยุดไปตลอดชาติเลย ถ้าหากเราต้องการให้บุญกุศลไหลผ่านกระแสธารจากใจของเราให้เข้าสู่ใจของเรานี้นะ ตลอดเวลาละก็จะต้องเอาใจหยุดอยู่ตรงนี้ หยุดทั้งวัน หยุดทั้งคืน หยุดทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน หยุดทุกอริยาบถทีเดียว เพราะฉะนั้นเราจับหลักให้ได้นะ หลักของชีวิตว่าหยุดนี้เป็นตัวสำเร็จ จะให้สำเร็จเรื่องอะไรต้องหยุดซะก่อน เริ่มต้นจากหยุดเสียก่อน หยุดไปเรื่อย ๆ จะเขียนหนังสือให้ดีก็ต้องจรดปากกาให้หยุดนิ่ง ถึงจะเขียนไปได้อย่างดี จะเดินให้มั่นคงก็จะต้องหยุดให้มั่นคงซะก่อนถึงจะก้าวเดินไป จะเคลื่อนรถออกจากที่ก็ต้องหยุดรถให้ดีซะก่อน ถึงจะเคลื่อนได้ 

 


                จะไปสู่อายตนนิพพานก็ต้องหยุดเช่นเดียวกันหยุดในหยุด หยุด นิ่ง หยุดให้ถูกส่วนที่เดียวนะ ทำบ่อย ๆ เราจะเกิดความรู้สึกว่าร่างกายที่แท้จริงของเรานั้น เป็นประดุจท่อธาร ท่อที่ให้ธารน้ำไหลผ่าน ร่างกายของเราจะเป็นประดุจท่อน้ำที่เดียวน่ะ ที่ให้ธารน้ำไหลผ่านท่อนั้นน่ะ กายของเราก็เช่นเดียวกัน จะเป็นทางผ่านของกระแสบุญ กระแสแห่งความดี กระแสแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ ที่จะแนะนำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง มีแต่สุขล้วน ๆ ไม่มีทุกข์เจือปนเลย เพราะฉะนั้นหยุดนิ่งนี่สำคัญนะ ต้องฝึกให้หยุด ฝึกให้นิ่ง ฝึกทุกอริยาบถ ฝึกไปทุกวันเลย อย่าเกียจคร้าน อย่าขี้เกียจนะ ฝึกไปเรื่อย ๆ เป็นมหากุศลอย่างยิ่งพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกองค์ท่านหยุดได้ทั้งนั้น หยุดทุกพระองค์หมดเลย ถ้าไม่หยุดแล้ว จะไปเชื่อมโยงความรู้จากผู้รู้อันประเสริฐที่อยู่ภายในไม่ได้ 

 


                เพราะผู้รู้ที่อยู่ภายในเนี่ยะที่ละเอียด ละเอียดข้างในนะท่านสอดรู้ สอดญาณ เข้ามาที่กายมนุษย์ตลอดเวลาเลย แต่ว่าเราไม่หยุดนิ่งไปรับกระแสแห่งความรู้นั้น เพราะฉะนั้นความไม่รู้ก็เกิดขึ้นเข้ามาครอบงำเรา ทำให้เราดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่รู้ ตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก ก็ดำเนินชีวิตเปะปะไป เช่นไม่รู้จักคำว่าความสุข ว่าความสุขที่แท้จริงเนี่ยะมันมีลักษณะอาการอย่างไร อยู่ที่ตรงไหน จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการใดเนี่ยะ ยกตัวอย่างให้ฟัง ไม่รู้จักความสุขที่แท้จริง บางคนก็ไปแสวงหาความสุขตามรสนิยม ความสุขจากความเมามั่ง จากความหายนะมั่ง จากความสนุกมั่ง จากความเพลินมั่งจากความทุกข์ทรมาน เสี่ยงภัยอะไรต่าง ๆ เหล่านั้นให้ตื่นเต้นมั่ง ซึ่งมันไม่ใช่ความสุขเลย มันเป็นแต่เพียงความเพลิน ความตื่นเต้นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น และจบลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า หายนะ เกิดขึ้น เนี่ยะมนุษย์ไม่รู้จักความสุข เพราะว่าความไม่รู้นะ เข้าไปครอบงำจิตใจของมนุษย์ทั้งหลายจึงดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่รู้ 

 


                ที่ไม่รู้เพราะว่าไม่ฝึกใจให้หยุดนิ่ง เมื่อไม่หยุดนิ่งก็เชื่อมโยงกับความรู้ของผู้รู้อันประเสริฐภายในไม่ได้ ความรู้อันประเสริฐที่หลั่งไหลมาจากแหล่งของความรู้อันบริสุทธิ์ ที่จะฉุดใจให้มนุษย์ทั้งหลายเข้าถึงความสุขที่แท้จริงนั้นน่ะ มันต่อกันไม่ติดเพราะฉะนั้นหยุดนี้สำคัญนะ วันนี้มานะจำอะไรไม่ได้ให้จำคำว่าหยุดกับนิ่งไว้ให้ดี หยุดให้ดี ชีวิตที่หยุดแล้วนะเป็นชีวิตที่มีพลัง พลังในการที่จะทำความดี พลังที่จะเอาชนะความชั่ว พลังที่จะทำให้ใจของเราบริสุทธิ์เข้าถึงความหลุดพ้นได้ เพราะฉะนั้นหยุดนิ่งนี่สำคัญ เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว ฝึกหยุดให้ดี เอาใจหยุดในหยุดหยุดในหยุด หยุดต้องหยุดให้ถูกที่ด้วย คือต้องหยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ไปหยุดที่อื่นนะไม่ถูกที่นะ ถ้าไม่ถูกที่ก็ไม่ถึงที่หมาย ต้องหยุดให้ถูกทาง ถูกทาง ถูกที่ แล้วก็ต้องให้ถูกส่วนด้วย คืออย่าไปตั้งใจมากเกินไป จนกระทั่งเกิดความเครียด หรือย่อหย่อนเกินไป กระทั่งจิตลอยฟุ้งซ่านไปเลย ก็ไม่ใช่อย่างนั้นนะปรับเอา ของใครของมันนะ ปรับให้ดีนะ ปรับหยุดกับนิ่งนะ

 


                ชาตินี้ฝึกให้หยุดนิ่งได้ ใครหยุดได้ บุคคลนั้นได้ชื่อว่าชนะโลก เกิดมาสมปรารถนา เพราะฉะนั้นน่ะหยุดให้ดีนะ หยุดในหยุดให้ดี หยุดให้ถูกที่ หยุดให้ถูกส่วน ไม่ช้าจะถึงที่หมายหยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะ หยุดให้ดี พอถูกส่วนก็เห็นดวงธรรมเกิดขึ้นดังกล่าวแล้วน่ะ เห็นดวงใสบริสุทธิ์และพอหยุดเข้าไปเรื่อย ๆ ก็เห็นกายในกาย กายในกายเกิดขึ้นทีเดียว เห็นกายมนุษย์ละเอียด ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์หยาบ เห็นกายทิพย์ซ้อนอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียด เห็นกายรูปพรหมซ้อนอยู่ในกลางกายทิพย์ เห็นกายอรูปพรหมซ้อนอยู่ในกลางกายอรูปพรหม เห็นกายธรรม โคตรภูซ้อนอยู่ในกลางของกายอรูปพรหม เห็นกายธรรมพระโสดาบันซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมโคตรภู เห็นกายธรรมพระสกิทาคามีซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระโสดา เห็นกายธรรมพระอนาคามีซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี เห็นกายธรรมพระอรหัตซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระอนาคามี ซ้อนอยู่นี่ เป็นเรื่องอัศจรรย์ทีเดียวนะ 236...

 


                ที่เห็นกายในกายซ้อนกันอยู่อย่างนี้นะ ซ้อนแล้วสนุกทีเดียว พอเข้าถึงกายอย่างนี้เราก็หัดฝึกเลยนะ ฝึกลับกายซ่อนกาย เห็นกายในกาย กายในกาย เข้าไปเรื่อย ๆ เอากายมาซ้อนกันมั่ง เหมือนเอาเลนส์หลาย ๆ เลนส์มาซ้อนกันจะได้มีกำลังขยาย มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้กว้างไกลไปเรื่อย ๆ เห็นถึงไหนก็ตรัสรู้ถึงนั่น ตรัสรู้แปลว่าความรู้ที่เกิดจากการเห็นแจ้ง เกิดขึ้นทีเดียว นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ เห็นกายในกาย กายในกายเนี่ยะ เกิดขึ้นมาเนี่ยะ ถ้าหยุดได้ถูกส่วนแล้วสนุกทีเดียว ไปนรกก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ ไปนิพพานได้ นิพพานภพสามโลกันตร์ทะลุหมดเลย ถ้าเข้ากายในกายได้ เพราะฉะนั้นนี่สำคัญ เป็นเรื่องที่สำคัญทีเดียว หยุดนิ่ง จำไว้ให้ดีน่ะ 

 


                การบูชาข้าวพระ คือการนำเครื่องไทยธรรมทั้งหลายอันมีดอกไม้ธูปเทียน อาหารหวานคาวที่เรานำออกมาจากบ้าน กันคนละเล็กคนละน้อยนะ มารวมประชุมกันที่นี่แล้วเราก็กลั่นให้บริสุทธิ์ ให้ละเอียดด้วยพระธรรมกาย หลังจากนั้นก็น้อมนำไปถวาย คือเข้าเส้นทางสายกลางเนี่ยะ นำเครื่องไทยธรรมเหล่านี้ไปถวาย เป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า ที่ท่านดับขันธปรินิพพานนานมาแล้วนะ ถอดกายออกทั้งหมด เหลือแต่ธรรมกาย อยู่ในอายตนนิพพานนับพระองค์ไม่ถ้วนทีเดียว นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน มากมายก่ายกองยิ่งกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔ มากทีเดียว เราจะน้อมเอาเครื่องไทยธรรมเหล่านี้ไปถวายเป็นพุทธบูชาซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าพระพุทธเจ้าท่านจะขบฉันเหมือนพระสงฆ์อย่างนี้นะ เราจะรู้ว่าท่านทำยังไงต่อเมื่อเข้าถึงแหละ 

 


                เข้าถึงแล้วไปดูเอา เป็นพุทธบูชา เครื่องไทยธรรมที่ละเอียดเท่ากับพระธรรมกายก็จะสว่างไสวอยู่ในอายตนนิพพาน พอถวายเครื่องไทยธรรมขาดจากใจเนี่ยะ ปุญญาภิสันธาน ท่อธารแห่งบุญก็จะเกิดขึ้น เป็นอัตโนมัติทีเดียว คือพอขาดจากใจเนี่ยะ ไม่อาลัยอาวรณ์กับเครื่องไทยธรรม พอความตระหนี่หลุดไปเนี่ยะ นอกจากความตระหนี่หลุดไปแล้วนะ เราได้บูชาในสิ่งที่ควรบูชาเกิดขึ้นน่ะ พอสิ่งนี้เกิดขึ้นพร้อมกันเนี่ยะ มันก็เป็นอัตโนมัติเลยคือ กลางกายเราจะสว่างขึ้นมาเป็นดวงใสบริสุทธิ์ เกิดขึ้นแล้วก็กระแสธารแห่งบุญก็ไหลผ่านเลยท่อธารแห่งบุญติดที่ศูนย์กลางกายเลย ใครอยากจะรู้จักว่าปุญญาภิสันธานน่ะ ท่อธารแห่งบุญนะมันเป็นยังไงเข้าให้ถึงธรรมกายให้ได้นะจ๊ะ แล้วจะเห็นอย่างเนี้ยะเป็นอย่างนี้ 

 


                ก็กราบทูลพระพุทธเจ้า ขอศีล ขอพรท่าน ขอบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิ ให้บังเกิดขึ้นแก่พวกเราทั้งหลาย ที่มาร่วมประชุมกันอยู่ที่นี้ ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องไทยธรรมทั้งหลาย ให้เป็นผู้ที่มีความสุข มีความเจริญ มีความสำเร็จในชีวิต ในธุรกิจการงานและการสร้างบารมี ให้ประสบความสำเร็จเป็นอัศจรรย์ทันตาเห็น โดยเฉพาะวันปีใหม่ที่ผ่านมานี้เนี่ยะ ชาวโลกสมมุติกันว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ให้กระแสธารแห่งบุญเนี่ยะหลั่งไหลมา ที่ศูนย์กลางกายของพวกเราทุกคน ให้มีชีวิตใหม่ที่สุขสดชื่น เบิกบานกว่าปีที่ผ่านไป ให้มีสายสมบัติได้เกิดขึ้น หลั่งไหลมาที่ศูนย์กลางกาย เพื่อที่จะดึงดูดสมบัติหยาบ เอามาไว้ใช้สร้างบารมีไม่รู้จักหมดจักสิ้น ที่เป็นนักธุรกิจทำธุรกิจก็ให้ซื้อง่าย ขายคล่องกำไรงาม อย่าได้มีอุปสรรคอันใดเกิดขึ้น ที่เป็นนักศึกษาก็ให้มีดวงปัญญาอันเลิศ สามารถศึกษาเล่าเรียนความรู้ ที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง 

 


                ท่านที่ทำราชการก็ดี ก็ให้ปฏิบัติภารกิจให้สมบูรณ์ ให้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใต้บังคับบัญชาก็ดี เพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาก็ดีทั้งหมด ไปให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ ให้ครอบครัวทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข อย่าได้มีความขัดแย้งกันเลย ให้มีความสามัคคีกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้หมด ให้สุขภาพร่างกายทุกคนแข็งแรง อย่าได้เจ็บอย่าได้ป่วย อย่าได้ไข้ ใครที่เจ็บป่วยไข้ก็ให้หายไป ให้ร่างกายให้แข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บให้มลายหายสูญไปให้หมด ให้มีธาตุธรรมที่บริสุทธิ์หลั่งไหลไปแทนที่ 

 


                ให้แข็งแรง หายเจ็บหายป่วย หายไข้ ให้อายุยืนยาวได้สร้างบารมีกันไปนาน ๆ ที่ปฏิบัติธรรมะก็ให้เข้าถึงพระธรรมกายถึงอย่างง่ายดาย ให้ทุกคนหยุดกันอย่างสนิท ตั้งแต่ปีใหม่นี้เป็นต้นไป ให้มีพลังใจที่เข้มแข็ง เมื่อตั้งใจจะสร้างความดีแล้ว ก็ให้สร้างความดีได้ตลอดรอดฝั่ง อย่าได้มีอุปสรรคอันใดเกิดขึ้น หากมีอุปสรรคเกิดขึ้นก็ขอให้เอาชนะอุปสรรคนั้น ให้ได้ด้วยกระแสธารแห่งบุญที่ได้ทำในวันนี้เนี่ยะ ภิกษุสามเณรก็ให้ศึกษาเล่าเรียนธรรมะวินัย ให้ทะลุปรุโปร่ง แตกฉานแทงตลอดทีเดียว รู้แจ้ง เห็นแจ้ง แทงตลอด 

 


                 อุบาสก อุบาสิกาก็เช่นเดียวกัน เป็นผู้มีศีล มีธรรมไปหมด และให้ทุกคนที่ทำมาหากินนั้นให้เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ มีโภคทรัพย์สมบัติให้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย และก็อย่างมากมาย เกิดสมบัติ ก็มีเอาไว้นอกจากหล่อเลี้ยงสังขาร หล่อเลี้ยงครอบครัว หมู่ญาติ ก็เอามาไว้สำหรับสร้างบารมี สนับสนุนงานพระพุทธศาสนา ขยายธรรมกายไปทั่วโลก ให้เป็นที่พึ่งแก่ชาวโลกทั้งหลาย เนี่ยคุณยายขอบุญบารมี ขอศีล ขอพรแก่พระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์คุมให้ติดให้หมดเลย และใครที่จะตั้งความปรารถนาอันใด ที่นอกเหนือจากนี้เนี่ยะ 

 


                ก็ขอให้กระแสธารแห่งบุญ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ไหลเข้าสู่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้ ให้เป็นผลสำเร็จ เป็นผลสำเร็จ ๆ เป็นอัศจรรย์ทันตาเห็นทุกคนเลย คุณยายคุมบุญให้ติดที่ศูนย์กลางกายให้ดี ให้จิตใจทุกคนเบิกบาน สว่างไสว ให้ใจใสเป็นแก้ว หลุดจากกิเลสจากอาสวะ จากความโลภ ความโกรธ ความหลง สังโยชน์เบื้องต่ำเบื้องสูงหลุดหมดเลย จิตใจสว่างไสว เข้าถึงธรรมกายเป็นธรรมกายไปหมด เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องตักดวงบุญให้เต็มที่นะจ๊ะ อย่าลืมเรื่องฝึกใจหยุดนิ่งนะ อธิษฐานจิตให้ดี และก็ทำงานมาฆบูชาที่จะถึงนี้ ให้สำเร็จสมปรารถนาให้ได้ 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.038275118668874 Mins