นางบุญและนางบาป

วันที่ 11 กย. พ.ศ.2567

นางบุญและนางบาป

2567%2009%2011%20b.jpg

 

                ภราดา! มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงถึงพุทธานุภาพอันน่าพิศวงแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นคือเรื่องนางสุปปวาสา โกลิยธิดา นางมีครรภ์อยู่ถึง ๗ ปี และเมื่อจะคลอดบุตรก็ปวดครรภ์อยู่ตั้ง ๗ วัน ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส นางครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากนางมีศรัทธาเลื่อมใสมั่นคงในพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อรู้สึกว่าชีวิตของตัวอยู่ในระหว่างอันตราย เหมือนศิลาซึ่งแขวนอยู่ด้วยเส้นด้ายเส้นน้อย ๆ จึงขอร้องสามีให้ไปเฝ้าพระตถาคตเจ้า และกราบพระมงคลบาท แล้วให้ทูลว่า

             “ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้นางสุปปวาสา โกลิยธิดา มีครรภ์มาเจ็ดปีและปวดครรภ์อยู่เจ็ดวันแล้ว นางได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส อันตรายแห่งชีวิตอาจมาถึงนางในไม่ช้า นางระลึกถึงพระผู้มีพระภาค และขอถวายบังคมพระบาทด้วยเศียรเกล้า”

              สามีของนางได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ และกราบทูลให้ทรงทราบตามคำของนางนั้น พระผู้เป็นนาถะของโลกทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า “ขอนางสุปปวาสา โกลิยธิดา จงมีความสุข หาโรคมิได้เถิด”

               ทันทีที่พระจอมมุนีตรัสจบลง    บุตรของนางก็คลอดได้โดยง่าย    เมื่อสามีกลับมาถึงบ้านนางสุปปวาสาก็คลอดเรียบร้อยแล้ว ทั้งบุตรและมารดาปลอดภัยเกษมสำราญดี นางและสามีต่างชื่นชมโสมนัสในพระพุทธานุภาพ กล่าวออกมาพร้อม ๆ กันว่าพระพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ พระธรรมมีคุณหาประมาณมิได้ และพระสงฆ์มีคุณหาประมาณมิได้

              วันต่อมา นางให้สามีไปอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เพื่อรับภัตตาหารเป็นเวลา  ๑  สัปดาห์ ณ เคหะของนาง พอดีเวลานั้นพระพุทธองค์ได้รับอาราธนาของอุบาสกผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นอุปัฏฐากของพระมหาโมคคัลลานะไว้เสียแล้ว พระตถาคตจึงให้พระมหาโมคคัลลานะเข้าเฝ้าทรงเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วตรัสว่า

            “ดูก่อนโมคคัลลานะ  เธอพึงไปยังบ้านของอุบาสกผู้นั้น  แล้วกล่าวขอเลื่อนการนิมนต์ของเขาไปสัปดาห์หน้าเขาจะขัดข้องหรือไม่ ถ้าเขาขัดข้องก็จะได้ไม่ต้องรับอาราธนาของนางสุปปวาสา”

              อัครสาวกเบื้องซ้าย รับพุทธบัญชาเหนือเศียรเกล้าแล้วไปหาอุบาสกผู้นั้น  แล้วบอกเขาตามพุทธบัญชา  อุบาสกทราบแล้วกล่าวว่า

“ข้าแต่พระคุณเจ้า! ถ้าพระคุณเจ้าจะรับรองหรือเป็นประกันในเหตุสามอย่าง ข้าพเจ้าก็จะยินยอม แต่ถ้าพระคุณเจ้ารับรองไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ยินยอมไม่ได้”

                 “ดูก่อนอุบาสก เหตุสามประการนั้นมีอะไรบ้าง”

“ข้าแต่พระคุณเจ้า! ถ้าท่านจะรับรองได้ว่าโภคทรัพย์ของข้าพเจ้าจะไม่เสื่อมสิ้นพินาศไปด้วย เหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง นี้เป็นประการที่หนึ่ง ประการที่สองคือชีวิตของข้าพเจ้าจะไม่มีอันตรายเกิดขึ้น และประการที่สามคือ ศรัทธาของข้าพเจ้าจะไม่หมด คงมีอยู่อย่างเดิม ถ้าพระคุณเจ้าสามารถเป็นผู้ประกันเหตุทั้งสามประการนี้ว่าจะไม่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าภายในเจ็ดวันนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ยินยอม”

               พระมหาเถระผู้เลิศทางมีฤทธิ์นั่งสงบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ดูก่อนอุบาสก! อาตมาเป็นปาฏิโภคประกันให้ท่านได้สองประการ คือขอรับรองว่าโภคทรัพย์ของท่านจะไม่เสื่อมและชีวิตของท่านจะไม่สิ้นไปหรือเป็นอันตรายใด ๆ ภายในเจ็ดวันนี้ ส่วนศรัทธาขอให้ท่านรับรองตัวท่านเอง อาตมารับรองให้ไม่ได้”

                อุบาสกผู้นั้นรับรองศรัทธาของตน และยินยอมเลื่อนการนิมนต์ของตนไปสัปดาห์หน้า

              พระศาสดามีพระสงฆ์ขีณาสพเป็นบริวาร เสด็จเสวยภัตตาหาร ณ บ้านของนางสุปปวาสาเป็นเวลา ๗ วัน วันหนึ่งพระพุทธองค์ตรัสถามนางว่า “สุปปวาสา! เธออุ้มครรภ์อยู่ ๗ ปี และปวดครรภ์อยู่ ๗ วัน ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสอย่างนี้แล้ว เธอยังจะปรารถนามีบุตรอีกหรือไม่?”

“ข้าพระองค์ยังปรารถนามีได้อีกถึงเจ็ดครั้งพระเจ้าข้า” นางสุปปวาสาตอบ


                 พระตถาคตเจ้าทรงเปล่งอุทานในเวลานั้นว่า

“สุปปวาสาเอย! มักจะเป็นอย่างนี้แหละ สิ่งที่ไม่น่ายินดีมักจะปลอมมาในรูปที่น่ายินดี สิ่งที่ไม่น่ารักมักจะมาในรูปแห่งสิ่งที่น่ารัก ความทุกข์มักจะมาในรูปแห่งความสุข เพราะดังนี้ คนจึงประมาทมัวเมากันนัก

                 ดูก่อนผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งอริยะ!   ข้าพเจ้าขอย้อนกล่าวถึงพุทธานุภาพอีกสักเล็กน้อย    เพื่อบรรเทาความสงสัยของท่าน  ท่านจะเห็นว่า อานุภาพของคนนั้นมักจะเป็นผลแห่งบารมีธรรมหรือคุณความดีที่สั่งสมอบรมมา ก็พระศาสดาของเรานั้นเคยสละชีวิตเลือดเนื้อมามากหลายจุดมุ่งหมายก็เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐ พระพุทธานุภาพหรือลาภสักการะที่หลั่งไหลนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นเอง พระองค์เคยสละชีพไม่เพียงแต่แก่มนุษย์เท่านั้น ทรงสละให้แก่สัตว์ผู้หิวโหยก็เคยทรงกระทำ

                ครั้งหนึ่งพระองค์เป็นหัวหน้าดาบสบำเพ็ญตบะอยู่บนภูเขา  เวลาเย็นวันหนึ่งพระองค์ประทับรับลมเย็นอยู่  ณ  ชะง่อนผา มองลงมาเบื้องล่างเห็นแม่เสือตัวหนึ่งเพิ่งคลอดลูกใหม่ยังออกจับเนื้อกินไม่ได้ มันจึงหิวโหยสุดประมาณ กำลังงุ่นง่านจะกินเนื้อของลูกมัน ดาบสเห็นดังนั้นจึงให้ดาบสผู้บริวารรีบไปเที่ยวแสวงหาสัตว์ที่ตายแล้วมาเพื่อโยนให้แม่เสือตัวนั้นกิน แต่เมื่อเห็นแม่เสืองุ่นง่านมากขึ้นทุกที ดาบสบริวารคงหาเนื้อมาไม่ทันเป็นแน่ เนื้อสัตว์ที่ตายเองในป่ามิใช่หาได้ง่ายพระดาบสโพธิสัตว์จึงตัดสินใจช่วยชีวิตลูกเสือไว้ โดยกระโดดจากเชิงผาลงตรงหน้าแม่เสือพอดี พระดาบสตาย เป็นการสละชีพเพื่อช่วยเหลือสัตว์อื่น และข้อมุ่งหมายสูงสุดก็คือพระโพธิญาณ

                 ดูก่อนภราดา!  ณ  กรุงสาวัตถีอีกเหมือนกันที่แสดงถึงพุทธจริยาอันประเสริฐอีกหลายเรื่อง   แต่ข้าพเจ้าขอนำมาเล่าสู่ท่านเพียงเรื่องเดียวก่อนคือ เรื่องที่เกี่ยวกับนางจิญจมาณวิกา เรื่องเป็น
ดังนี้

                เมื่อพระพุทธศาสนารุ่งโรจน์โชตนาการปานประหนึ่ง  พระอาทิตย์ทอแสงขับรัศมีแห่งหิ่งห้อย  คือพาหิรลัทธิอื่น ๆ ให้ด้อยลงนั้น พวกเดียรถีย์นิครนถ์ทั้งหลายต่างก็เสื่อมจากลาภสักการะและความนับถืออย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลย

                 นักบวชเหล่านั้นจึงเที่ยวประกาศตามทาง  ๓  แพร่ง  ๔  แพร่งและตามถนนอันเป็นที่สัญจรต่าง ๆ ว่า “ท่านผู้มีนัยน์ตาทั้งหลาย! พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไร เราทั้งหลายก็เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ให้ทานทำบุญแก่พระสมณโคดมมีผลมากอย่างไร ให้แก่พวกเราก็มีผลมากอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงให้แก่พวกเราเถิด” เมื่อนักบวชเหล่านั้นเที่ยวประกาศอยู่อย่างนี้ก็หาสามารถชักจูงคนให้เลื่อมใสตามต้องการไม่ ซ้ำร้ายคนที่เคยเลื่อมใสและมีปัญญาพอสมควรก็เลิกเลื่อมใส คนที่ไม่เลื่อมใสอยู่แล้วก็ถึงกับเกลียดชังเอาเลยทีเดียว เป็นอันว่าวิธีนี้ของพวกเดียรถีย์ไม่ได้ผล

             พวกเขาประชุมกัน  ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี  ขณะนั้นมีนักบวชความคิดเฉียบแหลมคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “สหายทั้งหลาย! อุบายนั้นมีมากหลาย เมื่อไม่ได้ด้วยวิธีหนึ่งก็ควรใช้วิธีอื่นต่อไป เป็นคนไม่ควรจนปัญญา ธรรมดามีอยู่ว่าเมื่อประตูหนึ่งปิดลง อาจจะมีประตูอื่นพอที่จะเปิดได้ลอง ๆ ผลักดูก่อนเถิด คือข้าพเจ้าระลึกถึงสานุศิษย์คนหนึ่งของพวกเรา เธอเป็นสตรีที่งามมากประดุจเทพอัปสร ถ้าได้อาศัยนางช่วยเหลือ แผนการของพวกเราคงสำเร็จ หรือท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร?”

               พูดจบนักบวชทุกคนเห็นด้วย  พอดีในขณะที่เขาประชุมลับกันอยู่นั้น  นางจิญจมาณวิกาก็เข้ามาเพื่อเยี่ยมเยียนตามปกติอย่างที่เคยมา นักบวชเหล่านั้นทำเป็นไม่สนใจเธอและไม่ไต่ถามอะไร ๆ นางรู้สึกประหลาดใจจึงกล่าวขึ้นว่า

“พระคุณเจ้า! เมื่อข้าพเจ้ามาหาครั้งก่อน ๆ พระคุณเจ้าเคยแสดงอาการยินดีและต้อนรับอย่างเต็มใจ แต่คราวนี้เหตุใดพระคุณเจ้าจึงเมินเฉย เหมือนข้าพเจ้าเป็นคนแปลกหน้าและพึงรังเกียจ โปรดแจ้งข้อผิดของข้าพเจ้าให้ทราบด้วยเถิด ถ้าข้าพเจ้ารู้ความผิดของตัวแล้วจักทําคืนเสีย”

“น้องหญิง! นักบวชคนหนึ่งกล่าวขึ้น “เธอมัวไปเพลินเสียที่ใดจึงไม่ทราบความทุกข์ของพวกเรา พวกเราถูกพระสมณโคดมเบียดเบียนอยู่ ทำให้ด้อยทั้งลาภสักการและเกียรติคุณ เธอไม่เจ็บร้อนแทนเราบ้างเลยหรือ?”

“ข้าแต่พระคุณเจ้า! โบราณกล่าวไว้ว่า เมื่อยามเดือดร้อนย่อมเห็นใจมิตรและบริวาร บัดนี้พระคุณเจ้าทั้งหลายเดือดร้อนอยู่ ข้าพเจ้าเป็นทั้งมิตรและบริวารไฉนจะเฉยอยู่ได้ แต่ข้าพเจ้าเป็น
ผู้หญิงจะทำอย่างไรเล่า จึงจะช่วยแก้ปัญหา บรรเทาความเดือดร้อนของพระคุณเจ้าทั้งหลายได้ จงบอกมาเถิด ข้าพเจ้ายินดีปฏิบัติเพื่อความสุขปลอดโปร่งของพระคุณเจ้า”

                  เดียรถีย์เหล่านั้นพอใจในคำของนางปริพพาชิกายิ่งนัก คนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า

“ดูก่อนน้องหญิง! พวกเราจะไม่ลืมความดีของน้องหญิงในครั้งนี้เลย ถ้างานใหญ่ครั้งนี้สำเร็จ เธอย่อมมีความชอบอย่างสูง อนึ่ง เธอบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงจะช่วยพวกเราได้อย่างไร น้องหญิง! ก็เธอทราบมิใช่หรือว่า อะไรเล่าจะเป็นความเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงสำหรับนักพรต ยิ่งไปกว่าการคลุกคลีเกี่ยวข้องด้วยสตรีเพศ เหมือนหนอนเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเนื้อ จิญจมาณวิกาเอย! เธอจงอาศัยความเป็นหญิงของเธอนั่นแล ทำลายเกียรติยศอันรุ่งเรืองยิ่งของพระสมณโคดมให้ทลายลง”

             นางจิญจมาณวิกากล่าวว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า! ถ้าอย่างนั้นไว้เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าเองคงจะสำเร็จสมประสงค์” แล้วนางก็ลากลับไป

                 หลังจากนั้นสองสามวัน   ชาวนครสาวัตถีผู้เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า   และไปฟังพระธรรมเทศนาทุก ๆ เย็น เมื่อกลับออกจากวัดเชตวันจะเห็นนางจิญจมาณวิกาปริพพาชิกาเดินสวนทางเข้าไปในอาราม เมื่อมีผู้ถามนางว่าจะไปไหน ก็ตอบเพียงว่า ธุระอะไรของพวกท่านที่จะต้องรู้ และแล้วก็เดินเข้าไปในวัดเชตวัน

                  ตอนเช้าเมื่อมหาชนเข้าสู่วัดเชตวั  ถวายยาคูและภัตตาหารแก่พระผู้มีพระภาคและพระสงฆ์ เธอจะเดินสวนออกมาจากวัดอีก เมื่อถูกถามว่านางมาจากไหน นางจะตอบอย่างเดียวกันว่า ธุระอะไรของพวกท่านที่จะต้องรู้ เรามาจากที่ไหน และนอนที่ไหน

                 นางทำอยู่อย่างนี้ประมา  ๒  เดือน และทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ครานี้ด้วยอาการดังว่าจะปลงใจทำบุญเพราะเหลือเอือมเสียที เมื่อมีผู้หนึ่งในมหาชนทักถามขึ้นอีกในหนนั้น นางถึงกล่าวว่า

             “ท่านทั้งหลายไปเฝ้าพระศาสดาทั้งเช้าและเย็น  เคารพบูชาพระองค์อย่างสูง  แม้พระราชาแห่งแคว้นโกศลผู้ทรงศักดิ์ก็เทิดทูนพระองค์อย่างหาที่เสมอเหมือนมิได้ แต่ท่านทั้งหลายและพระราชาก็หาทราบไม่ว่า คนอันเป็นที่รักอย่างยิ่งของพระสมณโคดมนั้นคือใคร” นางพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วก็ยิ้มอย่างเยาะโลก

              “ก็ใครเล่าเป็นที่รักอย่างยิ่งของ  พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นท่านรู้หรือ?”  ประชาชนซักถามสืบไปอีก

“ทำไมเราจะไม่รู้! พระสมณโคดมอภิรมย์ชมชื่นด้วยผู้ใดทุกคืน ผู้นั้นแหละเป็นที่รักอย่างยิ่งของพระองค์ ท่านเอย! ธรรมดาบุรุษที่จะว่างเว้นจากสตรีเพศสำหรับเชยชมนั้นจะทนอยู่ได้ไฉน อุปมาเหมือนกาสรฤาจะว่างเว้นจากปลัก คนที่รักกันย่อมไม่ว่างเว้นจากการเชยชม หรือเหมือนพญาหงส์ย่อมอภิรมย์ต่อสระโบกขรณี ดาบสดาบสินีย่อมไม่ว่างเว้นด้วยการเข้าฌานเป็นกีฬา ดูก่อนท่านผู้มืดบอดทั้งหลาย! ก็พระสมณโคดมนั้นออกจากพระราชวังอันโอ่อ่า เคยแวดล้อมสตรีเพศที่คอยแต่จะบำรุงบำเรอด้วยกามรส และบัดนี้พระองค์ได้ว่างเว้นจากสิ่งเช่นนั้นมาเป็นเวลานาน เมื่อได้พบสตรีเพศที่มีรูปทรงสะคราญตาและลำเพาพักตร์ พระองค์น่ะหรือจะทนได้ พระองค์ย่อมจะถือโอกาสเชยชมให้สมกับที่ว่างเว้นมานาน เหมือนมัจฉาชาติซึ่งกระวนกระวายเพราะขาดน้ำในฤดูแล้ง เมื่อได้ยินฟ้าร้องมาจากทิศตะวันตกก็ย่อมจะไหวตัว และเมื่อพระพิรุณหลั่งลงมาห่าใหญ่หามรุ่งหามค่ำ ทำให้น้ำเจิ่งนองทุกบึงบาง มัจฉาชาติเหล่านั้นจะพึงชื่นชมถึงแก่โลดคะนองสักเพียงใด ดูก่อนท่านผู้มืดบอด! ข้อนี้ฉันใดพระสมณโคดมก็ฉันนั้น”

                  “ก็ท่านหรือเป็นที่รักอย่างยิ่งของพระมหาสมณโคดม?” ประชาชนยังถามอยู่

                 “ข้าพเจ้าบอกท่านไว้แล้วมิใช่หรือว่า  พระสมณโคดมอภิรมย์ชมชื่นกับผู้ใดทุกคืน  ผู้นั้นย่อมเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ ก็ข้าพเจ้านี่แหละเป็นผู้ที่พระองค์รับสั่งหาและอภิรมย์ด้วย อย่าให้ข้าพเจ้าต้องแจงอยู่อีกเลย ท่านตรองเอาเองเถิดว่าเรื่องควรจะเป็นอย่างไร” ว่าแล้วนางก็เดินเลยไปเพื่อให้น้ำคำดุจยาพิษที่วางไว้ออกฤทธิ์ของมันไปตามลำพัง ไม่รอคำซักถามของประชาชนอีก

              แลก็เป็นเช่นนั้น  คำพูดของนางก่อความสงสัยให้เกิดขึ้นในดวงจิตของพุทธบริษัทอย่างสุดที่จะห้ามได้  ประกอบกับมีข้อประจักษ์อยู่ทั่วกันให้น่าเชื่อ คือเมื่อประมาณ ๒ เดือนก่อนนี้นางได้เดินเข้าเดินออกอยู่ในวัดเชตวันทั้งเช้าและเย็น พวกเดียรถีย์นิครนถ์ทั้งหลายได้เห็นเช่นนั้นแล้วก็ช่วยกันกระพือข่าวให้ลุกลามเหมือนไฟซึ่งมีเชื้อดีและได้แรงลม

           แต่ในเหตุการณ์ในวัดเชตวันยังคงสงบเงียบ ภิกษุทั้งหลายยังคงบำเพ็ญสมณธรรมและสาธยายพระพุทธพจน์ตามปกติ มีบางครั้งที่ภิกษุบางรูปแสดงความจำนงจะแก้ข่าวนี้ แต่พระพุทธองค์ได้ห้ามเสีย สาวกผู้เชื่อมั่นในพระอนาคตตังสญาณแห่งศาสดาตน จึงคงยินข่าวลือด้วยดวงใจสงบ

              ดูก่อนภราดา! ข้าพเจ้าเองก็เดือดร้อนกระวนกระวายเกี่ยวกับเรื่องนี้มิใช่น้อย แต่ก็ระงับได้ด้วยพระพุทธพจน์ที่ตรัสปลอบว่า

“อานนท์! อย่าเดือดร้อนไปเลย ผู้ที่จับคูถปามณฑลพระจันทร์ย่อมจะประสบความเดือดร้อนเอง ด้วยเหตุผลสองอย่างคือ มือของเขาย่อมสกปรกเปรอะเปื้อนและติดกลิ่นเหม็นประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง เขาจะโทมนัสมากขึ้น เมื่อคูถที่เขาปาขึ้นไปนั้นไม่สามารถทำให้มณฑลพระจันทร์แปดเปื้อนมัวหมองได้ แต่กลับตกลงมาให้ศีรษะและอวัยวะต่าง ๆ ของผู้นั้นสกปรกเปรอะเปื้อนเสียเอง ข้อนี้ฉันใด ผู้ใดพยายามใส่ความตถาคตก็ฉันนั้น”

ดูก่อนภราดา! ในกรณีนี้ พระบรมศาสดาเป็นเหมือนนายตำรวจใหญ่ผู้ฉลาดในการจับผู้ร้าย เมื่อเห็นและรู้ลาดเลาว่าผู้ร้ายจะเข้าปล้นบ้านก็หาได้จับในทันทีไม่ คาดคะเนกำลังของผู้ร้ายแล้วก็เตรียมกำลังตำรวจไว้จับให้ได้คาหนังคาเขา ให้ผู้ร้ายไม่มีทางดิ้นรนหรือแก้ตัวประการใดเลย


              อีก ๔ เดือนต่อมา นางจิญจมาณวิกาได้นำเอาผ้าเก่า ๆ ทบเป็นหลายชั้นใส่ไว้หน้าท้องแล้วค่อยเพิ่มขึ้น ๆ แสดงอาการว่ามีท้องแก่ขึ้นตามลำดับ ๆ พอย่างเข้าเดือนที่ ๘ ที่ ๙ นางใช้ไม้คางโคทุบตามหลังมือหลังเท้าให้บวมขึ้น เพื่อให้สมกับอาการของผู้มีครรภ์แก่เต็มที่จวนจะคลอด

                 เรื่องนี้เกรียวกราวที่สุดในเมืองสาวัตถีในปีนั้น   ยกเว้นพระอริยสาวกเสียแล้ว   มหาชนนอกนี้เชื่อสนิทว่านางตั้งครรภ์กับพระศาสดา แต่พระพุทธองค์ก็ยังคงเฉยอยู่ บังเอิญอริยสาวกมีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้พุทธบริษัทในวัดเชตวันยังคงคับคั่ง

                ทุกหนทุกแห่งโจษจันกันเกรียวกราว   จึงเรื่องนี้ตามทางสามแพร่งสี่แพร่ง   ในที่สาธารณะสถานและสัณฐาคารที่ประชุมต่าง ๆ มีการถกเถียงและแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ มนุษย์ทั้งหลายได้แยกออกเป็น ๒ พวก พวกที่เชื่อว่าเป็นไปได้จริงก็ถอยศรัทธาในพระศาสดา พวกที่ไม่เชื่อก็ช่วยแก้แทนให้พระพุทธองค์

         วันหนึ่งข้าพเจ้ารู้สึกกลุ้มใจกระวนกระวาย  เพราะเรื่องนี้ขึ้นมาอีก  หากจะกราบทูลพระศาสดา   พระองค์คงจะนิ่งเฉยอย่างเคย ข้าพเจ้าจึงเดินออกจากเชตวนารามมุ่งไปทางทิศทักษิณ ณ ที่นั้นเป็นดงไม้สีเสียดอันร่มรื่น ข้าพเจ้าต้องการอยู่ที่สงบเพื่อระงับใจที่ฟุ้งซ่านอันเนื่องด้วยความห่วงใยพระศาสดาผู้เป็นที่เคารพรักยิ่งของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระศาสดามิได้ทำกรรมอันน่าบัดสีนั้น แต่จะห้ามปากคนมิให้พูดได้อย่างไร ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ใกล้ชิดอย่างยิ่งของพระองค์และบางครั้งเมื่อข้าพเจ้าออกบิณฑบาตในเวลาเช้า จะมีพราหมณ์หนุ่มบางคนและนักบวชพาหิรลัทธิเยาะเย้ยถากถางจะให้เจ็บอาย แต่ข้าพเจ้าก็พยายามอดกลั้นไม่แสดงอาการโกรธเคืองตามพระราชดำรัสของพระศาสดา

“ท่านเอย! คนในโลกนี้ส่วนใหญ่พอใจแต่ในความวิบัติล่มจมของผู้อื่น ถือเป็นอาหารปากอันโอชะ เพื่อจะได้ไว้เคี้ยวเล่นในวงสมาคมเวลาว่าง แม้เขาจะไม่ต้องการภาวะเช่นนั้นถ้าเกิดกับตัวของเขาเอง”

            ในขณะที่ข้าพเจ้ารำพึงอยู่นั้น    มีเด็กหนุ่มตระกูลพราหมณ์สองคนเดินเข้ามา   โดยไม่ทันเห็นข้าพเจ้า และแล้วก็นั่งพัก ณ ใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่งโดยหันหลังให้ข้าพเจ้า

                 “ภารัทวาชะ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น “อากาศร้อนอบอ้าวเหลือเกิน มาพักในป่าไม้สีเสียดนี่ค่อยสบายขึ้นหน่อย ถ้ารัตติยามาด้วยคงจะรื่นรมย์ขึ้นอีกมากทีเดียว” นามนั้นเขาคงหมายถึงคนรักของเขา

              “คนกำลังมีคนรักใหม่ ๆ  ก็เป็นอย่างนี้เอง”  เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งเปรยขึ้น  “เห็นอะไรไปที่ไหนก็คิดถึงแต่คนรัก  หายใจเข้าหายใจออกเป็นคนรักไปหมด”

              “ก็ฉันยังหนุ่มแน่นมีกำลังสมบูรณ์   และมีคู่รักน่ารักอย่างรัตติยา   จะไม่ให้ฉันใฝ่ฝันและพร่ำเพ้ออย่างไร  อย่าว่าแต่เรา ๆ เลย แม้แต่พระสมณโคดมบรมศาสดาก็ยังมีนางจิญจมาณวิกาไว้เชยชม เออ! ความจริงมันไม่น่าจะเป็นไปได้นะภารทวาชะ! แต่มันก็เป็นไปแล้ว!”

                ข้าพเจ้าสะดุ้งขึ้นทั้งตัว  อนิจจา!  ไม่ว่าจะหลบหลีกไปมุมใด  ข้าพเจ้าเป็นได้ยินแต่ข่าวอันไม่น่าชื่นใจนี้ทั้งสิ้น  แคว้นโกศลมหารัฐและแคว้นใกล้เคียงเวลานั้นอบอวลไปด้วยควันไฟ คือข่าวลือเรื่องพระศาสดาและนางจิญจมาณวิกา ข้าพเจ้าอึดอัดเป็นที่สุด อยากจะลุกขึ้นไปชี้แจงให้เด็กสองคนนั้นเข้าใจอย่างถูกต้องว่า กรรมอันน่าบัดสีนั้นพระศาสดามิได้ทำ ก็พอดีได้ยินเสียงเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า

“วาเสฏฐะ!” เธอเชื่อหรือว่าพระสมณโคดมจะทรงกระทำเช่นนั้นจริง?”

“พยานหลักฐานออกแน่นหนาชัดเจนอย่างนั้น เธอยังไม่เชื่ออีกหรือ ภารัทวาชะ! ผู้หญิงเขาเป็นฝ่ายเสียหายและบอกออกมาโต้ง ๆ ว่าพ่อของเด็กในท้องคือใคร เหตุการณ์ที่เป็นมาตลอดระยะเวลาหกเจ็ดเดือนก่อนนี้ก็พอเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ นางจิญจมาณวิกาเดินเข้าเดินออกอยู่ในวัดเชตวันไม่เท่าไรก็ตั้งท้อง ใคร ๆ ก็เห็น”

“แต่ฉันยังไม่เชื่อ เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่ใส่ร้ายกันได้ ผู้หญิงเป็นเครื่องมืออย่างดีที่สุดของผู้ใจบาปที่จะใช้เป็นเครื่องทำลายเกียรติยศของใครต่อใคร”

“ภารัทวาชะ สหายรัก! เรื่องนี้ถ้าไม่มีพยานหลักฐาน ฉันจะไม่เชื่อเหมือนกัน แต่นี่ท้องของนางจิญจมาณวิกาเป็นพยานปากเอกที่จะไม่ยอมให้ใครเถียงได้เลยว่า พระสมณโคดมมิได้ทำกรรมอันน่าบัดสีนั้น”

“แต่ฉันจะยังไม่เชื่อ!” ภารัทวาชะพูดอย่างหนักแน่น “จนกว่านางจิญจมาณวิกาจะคลอดพยานปากเอกจริง ๆ คือเด็กที่จะคลอดออกมา หาใช่นางจิญจมาณวิกาไม่ดอก และแม้เด็กคลอดแล้ว ถ้าไม่มีเค้าหน้าแห่งพระตถาคตเจ้าเลย ฉันก็จะยังเชื่อไม่สนิท ฉันเคยเห็นแม่ปริพพาชิกาคนนี้เทียวไปเทียวมาอยู่ตามวัดของพวกเดียรถีย์นิครนถ์บ่อยไป นางอาจจะตั้งครรภ์กับใครสักคนหนึ่งก็ได้ในจำพวกเดียรถีย์นิครนถ์เหล่านั้น แล้วพวกนั้นก็เป็นศัตรูของพระพุทธเจ้าด้วย ทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร เธอเคยได้ยินมิใช่หรือ พวกนั้นเที่ยวประกาศปาว ๆ เพื่อให้มหาชนเลื่อมใสตน แต่ก็หาสำเร็จไม่ พอพวกนั้นหยุดประกาศไม่เท่าไร เรื่องของนางจิญจมาณวิกาก็โผล่ขึ้นมา เพื่อนรักอย่าเชื่ออะไรง่ายเกินไป คอยดูกันไปให้ถึงที่สุด คนในโลกนี้ชอบใส่ร้ายกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ประโยชน์ขัดกัน”

“ฉันไม่ใช่คนเชื่อคนง่าย เธอก็คงรู้ ฉันมั่นใจว่าคนเชื่อง่ายเป็นคนงมงาย แต่คนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรเสียเลยก็เป็นคนงมงายเหมือนกัน และดูเหมือนจะงมงายกว่าคนเชื่อง่ายเสียอีก”

“ฉันไม่ได้ว่าอะไร” ภารัทวาชะพูดตัดบท “เป็นแต่ฉันบอกว่า ให้คอยดูกันไปจนถึงที่สุดเท่านั้น”


          แลแล้วเด็กหนุ่มทั้งสอง  ก็ละดงไม้สีเสียดไว้เบื้องหลัง  ปล่อยให้ข้าพเจ้าจมอยู่ด้วยจินตนาการที่สับสนสุดพรรณนา

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.015818750858307 Mins