เ ดิ น ท า ง สู่ เ ข า ว ง ก ต

วันที่ 05 เมย. พ.ศ.2549

                                     

 

.....ดูก่อนพระนางมัทรี พัสดุอันใดอันหนึ่งที่ฉันให้เธอ ทั้งทรัพย์อันประกอบด้วยสิริ เงิน ทอง มุกดา ไพฑูรย์ที่มีอยู่มาก และสิ่งใดที่เธอนำมาแต่พระชนกของเธอ เธอจงเก็บ สิ่งนั้นไว้ทั้งหมด เธอจงบริจาคทานในท่านผู้มีศีลทั้งหลายตามควร เพราะที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวงอย่างอื่นยิ่งกว่าบุญกุศลย่อมไม่มี

 

.....การเจริญสมาธิภาวนาเป็นทางลัดที่สุด ที่จะทำให้กายวาจา ใจ ของเราบริสุทธิ์ ถ้ากาย วาจา ใจ ของเรามีความบริสุทธิ์มาก บุญกุศลก็เกิดขึ้นมาก ถ้ามีความบริสุทธิ์น้อย บุญกุศลก็ลดหย่อนลงไป ความบริสุทธิ์เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข เป็นสิ่งที่สั่งสมได้ การเจริญภาวนาทุกวัน เป็นการเพิ่มเติมความบริสุทธิ์ขึ้นทุกวัน จะทำให้เราเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และกำลังแสวงหากันอยู่ ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับการเจริญภาวนา เพื่อให้ชีวิตของเราเข้าถึงความสุขและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

 

พระเวสสันดรโพธิสัตว์ได้กล่าวธรรมภาษิตสอนพระนางมัทรีไว้ว่า

.....ดูก่อนพระนางมัทรี พัสดุอันใดอันหนึ่งที่ฉันให้เธอ ทั้งทรัพย์อันประกอบด้วยสิริ เงิน ทอง มุกดา ไพฑูรย์ที่มีอยู่มาก และสิ่งใดที่เธอนำมาแต่พระชนกของเธอ เธอจงเก็บสิ่งนั้นไว้ทั้งหมด เธอจงบริจาคทานในท่านผู้มีศีลทั้งหลายตามควร เพราะที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวงอย่างอื่นยิ่งกว่าบุญกุศลย่อมไม่มีŽ

 

.....ชาวโลกส่วนใหญ่ปรารถนาจะเป็นผู้รับมากกว่าผู้ให้ การเป็นผู้ให้นั้นยากกว่าการเป็นผู้รับ โดยเฉพาะให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ให้เพื่อยังความสุข และความสำเร็จของบุคคลอื่น ให้เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียวนั้น นับเป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก ทว่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ต่างดำรงตนบนพื้นฐานของความเป็นผู้ให้ตลอดมา โดยทั่วไปคนส่วนมากมักมีความตระหนี่เหนียวแน่นอยู่ในใจ เหมือนยางเหนียวที่ติดเสื้อผ้าหรือวัตถุต่างๆ ยากจะขัดให้หลุดออกได้ง่ายๆ เกิดจากตัวกิเลสคือตัณหาที่ฝังติดแน่นอยู่ในกมลสันดาน น้อยคนนักที่จะหาทางขจัดความตระหนี่ให้หลุดร่อนออกไปจากใจได้ ตรงกันข้ามกับพระโพธิสัตว์ผู้ที่สามารถขจัดออกจากใจได้ทุกภพทุกชาติ

 

.....บางครั้งความเป็นผู้มีใจกว้างขวางของท่าน กลับเป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่ ซึ่งยังมีความตระหนี่อยู่มาก เดือดเนื้อร้อนใจแทน เหมือนดังเรื่องของพระเวสสันดร โดยเฉพาะในช่วงที่ท่านกำลังประสบมรสุมชีวิต เพราะทรงบริจาคมงคลหัตถีแก่พราหมณ์ไป จนต้องถูกขับออกจากเมืองให้ไปอยู่ที่เขาวงกต อย่างไรก็ตามท่านก็ยังยินดีที่จะให้ทานต่อไป

 

.....หลวงพ่อจะได้เล่าต่อจากครั้งที่แล้ว แม้พระโพธิสัตว์ทรงรู้ว่า ถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในป่าก็มิได้หวั่นไหว รุ่งขึ้นของวันใหม่ ท่านได้บริจาคสัตตสตกมหาทาน ด้วยความปีติยินดี เหมือนไม่มีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้น พวกเทวดาได้แจ้งพระราชาในชมพูทวีปว่า พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญมหาทาน และกำลังพระราชทานนางขัตติยกัญญา พวกกษัตริย์จึงเสด็จมาด้วยเทวานุภาพ รับนางขัตติยกัญญาเหล่านั้นไปเป็นมเหสี

 

.....*พวกพราหมณ์ แพศย์ ศูทร เป็นต้น ครั้นรับพระราชทานบริจาคแล้ว ต่างพากันหลีกไป พระเวสสันดรทรงบริจาคสัตตสตกมหาทานตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นสมปรารถนาแล้ว ก็เสด็จกลับพระราชนิเวศน์เพื่อถวายบังคมลาพระชนกพระชนนี พระเวสสันดรได้กราบทูลพระเจ้าสัญชัยว่า พระองค์โปรดให้หม่อมฉันออกจากเชตุดรราชธานี หม่อมฉันขอทูลลาไปเขาวงกต ชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีแล้วในอดีต หรือจักมีในอนาคต และเกิดในปัจจุบัน เป็นผู้ไม่อิ่มและข้องอยู่ด้วยกามทั้งหลาย ย่อมไปสู่ยมโลก หม่อมฉันได้บริจาคทานด้วยตนเอง ยังชื่อว่าเบียดเบียนตนและคนอื่น จึงต้องนิราศจากแคว้นของตนโดยความประสงค์ตามคำของชาวสีพี หม่อมฉันต้องไปเสวยความทุกข์อยู่ในป่าที่เกลื่อนด้วยพาลมฤค มีแรด และเสือเหลือง หม่อมฉันจักบำเพ็ญบุญทั้งหลาย เชิญพระองค์ข้องอยู่ในเปือกตม คือกามเถิดŽ

*มก. เวสสันตรชาดก เล่ˆม ๖๔ หน้‰า ๖๒๘

 

.....จากนั้นได้ทูลลาพระมารดา และเหล่าพระประยูรญาติทั้งหมดเพื่อออกผนวชเป็นดาบส ฝ่ายพระนางมัทรีก็ขออนุญาตออกบวชด้วย แม้พระเจ้าสัญชัยจะทรงห้ามไว้ เพราะเห็นว่าการดำรงชีวิตอยู่ในป่าเป็นสิ่งที่ทนได้ยาก อีกทั้งพระนางก็ไม่ได้มีความผิดอะไร สมควรที่จะเสวยสุขอยู่ในพระราชวังต่อไป แต่พระนางก็หาเหตุผลที่จะติดตามพระเวสสันดรให้ได้ พระนางตรัสถ้อยคำที่น่ายกย่องชมเชยว่า

 

.....แม่น้ำไม่มีน้ำก็เปล่าประโยชน์ แว่นแคว้นไม่มีพระราชา ปกครองก็สูญสิ้น สตรีแม้มีพี่น้องตั้ง ๑๐ คน ถ้าเป็นหม้ายก็ขาดสูญ ธงเป็นเครื่องปรากฏแห่งราชรถ ควันเป็นเครื่องปรากฏ แห่งไฟ พระราชาเป็นเครื่องปรากฏแห่งแว่นแคว้น ภัสดาเป็นเครื่องปรากฏของสตรี ความเป็นหม้ายเป็นอาการตรอมตรมในโลก เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจักไปแน่นอน

 

.....คราใดเกิดเข็ญใจก็ร่วมทุกข์กับสามีผู้เข็ญใจผู้ถึงทุกข์ เมื่อใดมั่งมี มีเกียรติ ก็ร่วมสุขกับสามีผู้มั่งมีในคราวถึงสุข เทวดา และมนุษย์ย่อมสรรเสริญสตรีนั้น เพราะสตรีนั้นทำกรรมที่ทำได้โดยยาก หม่อมฉันจะนุ่งห่มผ้ากาสายะ ตามเสด็จพระภัสดาไปทุกเมื่อ และหม่อมฉันไม่ปรารถนาแผ่นดินที่ทรงไว้ซึ่งทรัพย์เป็นอันมาก มีสาครเป็นที่สุด เต็มไปด้วยรัตนะต่างๆ แต่พลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก สตรีใดในเมื่อสามีทุกข์ร้อน ก็ยังมัวแสวงหาความสุขเพื่อตนเองเท่านั้น ไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากของสามี สตรีนั้นช่างใจร้ายจริง ส่วนหม่อมฉันจะทำอย่างนั้น ไม่ได้ จะขอติดตามพระสวามีไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่Ž

 

.....นี่เป็นสุนทรวาจาของพระนางมัทรีผู้มีความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดร ซึ่งเป็นพระสวามีด้วยความจริงใจ นับเป็นแบบอย่างที่ดีของการดำเนินชีวิตของผู้ครองเรือนในทางโลก เป็นสตรีที่น่ายกย่องมาก เมื่อหนุ่มสาวแต่งงานมีคู่ครองแล้ว ต้องมีความจริงใจต่อกันไม่ทอดทิ้งกัน มีสุขทุกข์ร่วมกัน จะได้เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน เหมือนพระนางมัทรีที่ไม่ทอดทิ้งพระเวสสันดรโพธิสัตว์ นอกจากนี้พระนางยังนำพระโอรสและธิดาทั้งสองไปด้วย พระนางกล่าวยืนยันว่า หากหม่อมฉันทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ทารกทั้งสองก็จักเป็นสุขเพียงนั้นŽ

 

.....เมื่อพระเวสสันดรอำลาพระประยูรญาติแล้ว ก็ออก เดินทางทันที พระนางผุสดีราชมารดาทรงรู้ว่า พระโอรสมีพระทัยยินดีในการบริจาคเหนือสิ่งอื่นใด จึงให้จัดเกวียนหลายเล่มที่เต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ พร้อมด้วยอาภรณ์ต่างๆ มากมายตามไปส่ง ส่วนพระเวสสันดรทรงเปลื้องเครื่องประดับ พระราชทานแก่เหล่ายาจกผู้มาขอถึง ๑๘ ครั้ง ได้พระราชทานสิ่งที่เหลืออยู่จนหมด เมื่อทอดพระเนตรหันกลับมาดู เหตุอัศจรรย์มากมายก็บังเกิดขึ้น แผ่นดินก็สะเทือนหวั่นไหว

 

.....พระนางผุสดีราชมารดาทรงร้องไห้ คร่ำครวญด้วยความสงสาร และคิดถึงพระโอรสมาก ฝ่ายนางสนมของพระเจ้ากรุงสัญชัยได้ยินเสียง ครํ่าครวญของพระนางผุสดีเทวี ต่างพากันร้องไห้ รวมทั้งราชบริจาริกานารีทั้งหลายในพระราชนิเวศน์ของพระเวสสันดร ต่างพากันร้องไห้ไปตาม ๆ กัน ขณะที่พระเวสสันดรทรงขับรถพระที่นั่งเทียม ม้าไป ทรงรับสั่งกับพระนางมัทรีว่า ถ้ามียาจกตามมาข้างหลังก็ให้บอกเราด้วย หากเขาปรารถนาสิ่งใด เราก็พร้อมที่จะสละให้ทุกอย่างŽ

 

.....เพียงเดินทางไปได้ไม่นาน ก็มีพราหมณ์ ๔ คน ที่มาไม่ทันรับสัตตสตกมหาทาน ครั้นรู้ว่าพระเวสสันดรบริจาคทาน และได้ออกนอกพระนครไปแล้ว จึงรีบติดตามมาเพื่อขอม้า ๔ ตัว เมื่อมาถึง พระเวสสันดรก็ไม่ทำให้พราหมณ์ทั้งสี่ผิดหวัง ได้พระราชทานม้าทั้ง ๔ ตัว ไปให้แก่ˆพราหมณ์Œ แล้‰วพระองค์ทรงจูงมือพระโอรสชาลี สˆวนพระนางมัทรีทรงจูงมือพระธิดากัณหา ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เขาวงกตด้วยความองอาจ ไม่มีความอาลัย ในราชสมบัติที่เคยได้ครอบครองเหล่านั้นเลย

 

.....นี่เป็นเรื่องราวการสร้างมหาทานบารมี ที่ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย แต่พระโพธิสัตว์ถือว่า หนทางสู่ความสุขความบริสุทธิ์หลุดไปสู่อายตนนิพพานได้ใกล้เข้ามาแล้ว จึงไม่ได้ท้อแท้หรือน้อยใจ กลับมีแต่พลังใจที่เต็มเปี่ยมด้วยมหาปีติที่ได้สร้างบุญใหญ่ สมกับเป็นนักสร้างบารมีที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเมื่อเราทำความดีใด ๆ หากมีอุปสรรคไม่ได้รับการสนับสนุนหรือโดนขัดขวางรังแก ขออย่าได้หมดหวัง หรือหมดกำลังใจ ให้อดทนสู้ต่อไป เราต้องเป็นผู้มีธาตุแท้ของนักสร้างบารมีอยู่เต็มหัวใจ ให้รักษามโนปณิธานให้มั่นคงตลอดไป

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0013165513674418 Mins