โลกธาตุ

วันที่ 29 เมย. พ.ศ.2548

 

 

.....ในห้วงอวกาศนั้น มีจักรวาลหรือจะเรียกอีกชื่อว่าโลกธาตุอยู่มากมายจำนวนนับไม่ถ้วน เท่าที่นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ค้นคว้าได้ขณะนี้ ยังไม่พบดาวดวงอื่น นอกจากโลกของเราที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่ในความรู้อันไม่มีขอบเขตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ และด้วยญาณทัสสะอันบริสุทธิ์ ทรงพบว่าในแต่ละจักรวาล มีโลกมนุษย์อยู่อย่างเราๆ นี้ ๔ โลก

มีโลกที่มีความเป็นอยู่ประณีตไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามคุณ มีอารมณ์ทางจิตอยู่อย่างเดียวตลอดเวลาอีก ๒๐ โลก เรียกว่า พรหมโลก

ส่วนโลกที่มีความเป็นอยู่เดือดร้อน มีอยู่ ๔ แห่ง คือ โลกนรก โลกเปรต อสุรกาย และดิรัจฉาน

( ภาพแบบแปลน แผนภูมิจักรวาล)

รวมทั้งหมดเป็น ๓๑ โลก ที่เรียกว่า ๓๑ ภูมิ หรือเรียกย่อว่า ไตรภูมิ

สรรพสัตว์ที่เกิดในภูมิต่างๆ ทั้ง ๓๑ ภูมินี้ สายตาของมนุษย์มองเห็นได้เพียง ๒ ภูมิคือ สัตว์ที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน และสัตว์ดิรัจฉานบางจำพวก ส่วนสรรพชีวิตในภูมิอื่นๆ สายตาของมนุษย์มองไม่เห็น จะเห็นได้เฉพาะผู้ฝึกจิตไว้ดีดังที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น มีอยู่บ้างนานๆ ครั้งที่เครื่องมือของมนุษย์ เช่น กล้องถ่ายรูป ถ่ายภาพสัตว์ที่เป็นเปรต หรืออสุรกายได้บ้าง แต่ไม่ชัดเจนนัก

ความจริงในบรรดาดวงดาวทั้งหลายที่นักดาราศาสตร์ค้นพบว่า ไม่มีสิ่งชีวิตอยู่เพราะเข้าใจเอาว่าสิ่งชีวิตมีเพียงมนุษย์และสัตว์ ถ้านักดาราศาสตร์หรือนักวิทยาศาสตร์ เหล่านั้นสามารถฝึกจิตให้มีคุณภาพพิเศษดังกล่าวไว้ได้ ก็ย่อมจะเห็นสิ่งมีชีวิตมากมาย อยู่ในดวงดาวเหล่านั้น เพียงแต่ร่างกายของสัตว์เหล่านั้นโปร่งใสจนสายตาของมนุษย์มองไม่เห็น เราเรียกกันว่า กายทิพย์ ซึ่งจัดอยู่ในเทวภูมิชั้นที่หนึ่ง

สัตว์ที่มีกายทิพย์เหล่านี้ มีที่อยู่บนดวงดาวต่างออกไปอีกมิติหนึ่ง ที่อยู่เหล่านั้นสุขสบายจนเรียกกันว่าเป็นสมบัติทรัพย์ โดยไม่เกี่ยวกับเนื้อดินหรือหินที่เห็นได้ด้วยตา มนุษย์ในดวงดาวนั้นๆ เป็นมิติละเอียดที่ซ่อนอยู่ในของหยาบ

ในจักรวาลหนึ่งๆ มีดวงดาวชนิดต่างๆ นับไม่ถ้วน ดวงดาวเหล่านี้ไม่มีดวงใดว่างเปล่า ไร้สิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่ดวงเดียว ไม่ว่าดวงดาวนั้นจะลุกโพลงเป็นเปลวไฟอยู่ หรือเต็มไปด้วยน้ำแข็งเย็นเฉียบ มิติหยาบกับมิติละเอียดไม่มีสิ่งใดสัมพันธ์กัน จะเกี่ยวข้องก็เพียงมีสถานที่ตั้งเป็นที่แห่งเดียวกันเท่านั้นเอง ความร้อนเย็นมีอากาศ หรือไม่มีของมิติหยาบไม่กระทบกระเทือนมิติละเอียด

นักดาราศาสตร์อาจจะแบ่งดวงดาวออกเป็นกาแล็กซี เป็นหมวดหมู่ตามที่เห็นว่าเหมาะสม เท่าที่ค้นพบขึ้นมาจากเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แต่ญาณทัสสนะของจิต แบ่งขอบเขตของห้วงอวกาศเป็นจักรวาล แต่ละจักรวาลมีส่วนประกอบอย่างเดียวกันหมด คือประกอบด้วย ๓๑ ภูมิ ที่ตั้งของภูมิเรียกว่า ภพ มีลักษณะเดียวกันทุกประการ กล่าวโดยย่อคือ

๑ . ขอบเขตของจักรวาล มีรูปร่างเหมือนทรงกระบอก มีภูเขาล้อมรอบ

๒ . ตรงกลางมีภูเขาเป็นแกน รูปร่างเหมือนกลอง ตรงฐานภูเขามีภูเขา ๓ ลูกเป็นเส้ารองรับ ภูเขาที่เป็นแกนจักรวาลนี้มีชื่อเสียงเรียกว่า “ เขาสิเนรุ” หรือ “ เขาพระสุเมรุ”

๓ . มีภูเขารอบเขาสิเนรุอีก ๗ รอบ ระหว่างรอบมีน้ำทะเลคั่นอยู่ทุกรอบ

๔ . พ้นจากภูเขาทั้ง ๗ รอบ เป็นทะเลใหญ่ เป็นทั้งตั้งขอโลกมนุษย์ ทิศละ ๑ แห่งรอบเขาสิเนรุ

๕. มีดวงอาทิตย์ ๑ ดวง และดวงจันทร์ ๑ ดวง ลอยอยู่ระดับกึ่งกลางระหว่างระดับพื้นทะเลกับยอดเขาสิเนรุ

๖. ฐานล่างที่รองรับจักรวาลไว้ ชั้นแรกเป็นพื้นดิน ถัดจากดินเป็นน้ำ ถัดจากน้ำจึงเป็นลม ต่อจากลมเป็นความว่างเปล่า มีแต่ความมืด

ภูมิต่างๆ ตั้งอยู่ดังนี้

๑. มนุสสภูมิ อยู่ตรงกับไหล่เขาสิเนรุ ทิศละ ๑ แห่ง เรียกว่า ทวีป

ไหล่เขาซีตะวันออกเป็นเงิน แสงสีเงินสะท้อนไปยังทวีปซีกนั้นชื่อ ปุพเพวเทหทวีป

ไหล่เขาซีกทิศใต้เป็นมรกต แสงสีเขียวสะท้อนไปยังทวีปซีกนั้นชื่อ ชมพูทวีป คือโลกที่เรากำลังอาศัยอยู่ขณะนี้

ไหล่เขาซีกทิศตะวันตกเป็นแก้วผลึก สีใสๆ สะท้อนไปยังทวีปซีกนั้นชื่อ อปรโคยานทวีป

ส่วนไหล่เขาซีกทิศเหนือเป็นทองคำ แสงสีทองสะท้อนไปยังทวีปซีกนั้นชื่อ อุตตรกุรุทวีป

๒ . ใต้ภูเขาสามเส้าที่รองรับเขาสิเนรุ เป็นอุโมงค์ใหญ่ มีที่อยู่สุขสบายเป็น อสูรพิภพ ใต้อสูรพิภพลงไปเป็นที่ตั้งของนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุม ( ภาคปฏิบัติ : ภาคปริยัติกล่าวว่า มหานรกอยู่ใต้แผ่นดิน ตรงกับชมพูทวีป)

๓ . ที่อยู่ของพวกเปรต อสุรกาย และดิรัจฉานส่วนใหญ่ อยู่ที่ชมพูทวีป ดิรัจฉานชั้นดีอยู่ที่ป่าหิมพานต์ ( แถบภูเขาหิมาลัย ในประเทศอินเดีย) เป็นพวกกายละเอียดไม่เห็นด้วยตามนุษย์

๔ . รอบเขาสิเนรุ เป็นที่อยู่ของเทวดาชั้นที่ ๑ ชื่อ จาตุมหาราชิกา มีหลายประเภท มีทั้งที่อยู่บนพื้นดิน อยู่บนต้นไม้ และอยู่ในอากาศ บางพวกก็อยู่ปนกับที่อยู่ของมนุษย์ในชมพูทวีป พวกที่อยู่ตามดวงดาวทั้งหลายเป็นอากาศเทวดา จัดอยู่ในชั้นที่ ๑ เหมือนกัน

๕ . บนหน้าตัดของเขาสิเนรุ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์ ( พวกอสูรที่ใต้เขาสิเนรุ จัดอยู่ในเทวดาประเภทนี้)

๖. เทวดาชั้นที่ ๓ ขึ้นไปจนถึงชั้นที่ ๖ อยู่เหนือดาวดึงส์ขึ้นไปทั้งหมดตามลำดับ ล้วนแต่มีวิมานลอยอยู่ในอากาศ ไม่ตั้งอยู่ตามดวงดาว เพราะเป็นที่สูงกว่าที่อยู่ของดวงดาวต่างๆ มาก

๗ . พรหมโลก อยู่เลยเทวดาชั้นที่ ๖ ขึ้นไป

 

ภพต่างๆ อันเป็นที่ตั้งของภูมิเหล่านี้ เกิดขึ้นเองตามความจำเป็น เปรียบเหมือนการสร้างบ้านเรือน เมื่อต้องการรับประทานอาหาร เราก็ต้องมีห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร เมื่อต้องขับถ่ายอุจจาระ เราก็ต้องมีห้องน้ำส้วม ต้องรักษาร่างกายให้สะอาดก็ต้องมีห้องอาบน้ำ ต้องการพักผ่อนก็ต้องมีห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือแม้กระทั่งห้องรับแขกตามฐานะของเจ้าของบ้าน ฉันใด

ภพก็เกิดขึ้นตามความจำเป็นของสรรพสัตว์ เพราะเมื่อสัตว์ถูกกิเลสบีบคั้นใจ สัตว์ก็จะลงมือกระทำกรรมชนิดต่างๆ ตามความบีบคั้นนั้น ( กรรม แปลว่า การกระทำทางกาย วาจา และใจ)

เมื่อทำกรรมสำเร็จลง จะเป็นกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม หรือไม่ดีไม่ชั่วก็ตามผลของกรรมจะเกิดตามมา ภพเป็นที่รองรับสรรพชีวิตตามภูมิ ( หมายถึงสภาวะทางวิญญาณ) ตามผลกรรมเหล่านั้น

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.037004299958547 Mins