สามัญญผลประการแรก

วันที่ 09 พย. พ.ศ.2558

สามัญญผลประการแรก


            ในครั้งแรกนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงใช้พุทธวิธีอันแยบยลชี้ให้ทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมนั้นเห็นว่า ความเห็นของครูทั้ง 6 ล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิ โดยที่พระองค์ไม่ต้องทรงตำหนิผู้ใดเลย ครั้นมาบัดนี้ถึงเวลาที่จะทรงตอบปัญหา พระพุทธองค์ทรงเลือกใช้วิธีการทำนองเดียวกับครั้งแรก คือ ทรงใช้วิธีถามกลับซึ่งมีศัพท์เฉพาะว่า ปฏิปุจฉาพยากรณ์เพื่อให้พระเจ้าอชาตศัตรูสามารถตระหนักในสามัญญผลเบื้องต้นด้วยพระองค์เอง โดยตรัสถามพระเจ้าอชาตศัตรูว่า


"มหาบพิตร ในข้อนี้ตถาคตจะขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัยเถิดสมมุติว่า บุรุษผู้เป็นข้าทาสบริวารคนหนึ่งของมหาบพิตร เป็นผู้มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อมหาบพิตรเสมอมา ทั้งปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์ ไม่มีข้อบกพร่อง แต่บุรุษผู้นี้มีความเชื่อมั่นในเรื่องผลของบุญ เชื่อมั่นว่า ถ้าตนตั้งหน้าตั้งตาทำบุญ ต่อไปในภายหน้าก็ย่อมจะได้เสวยผลบุญ เป็นผู้มีอำนาจวาสนา พรั่งพร้อมด้วยเบญจกามคุณ  และข้าทาสบริวารมากมายเช่นเดียวกับมหาบพิตร คิดได้ดังนี้จึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เป็นผู้สำรวมกายสำรวมวาจาสำรวมใจสันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด เมื่อมหาบพิตรได้ทรงทราบเรื่องบุรุษผู้นี้ จะทรงมีบัญชาให้เขากลับมาเป็นข้าทา ของพระองค์อีกหรือไม่อย่างใด"

 

         พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทูลปฏิเสธว่า "จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลยพระเจ้าข้า อันที่จริงหม่อมฉันเสียอีกควรจะไหว้เขา ควรจะลุกรับเขา ควรจะเชื้อเชิญเขาให้นั่ง ควรจะบำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ควรจะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม"จากคำตอบของพระเจ้าอชาตศัตรูนี้ จะเห็นได้ว่าพระองค์ ได้ทรงประจักษ์แก่พระทัยของพระองค์เองแล้วว่า ผลดีของการบวชเป็นสมณะในขั้นต้นก็คือ "การยกสถานภาพของผู้บวชให้สูงขึ้นจากฐานะเดิม"นั่นคือ แม้จะเป็นเพียงทาสหรือกรรมกร ซึ่งอยู่ในวรรณะศูทรอันเป็นวรรณะที่ต่ำต้อยที่สุดในสังคม แต่เมื่อบวชเป็นบรรพชิตแล้ว วรรณะกษัตริย์อย่างพระองค์ยังต้องให้ความเคารพกราบไหว้ และในขณะเดียวกันพระเจ้าอชาตศัตรูยังสามารถตรองเห็นคำสอน ที่แฝงอยู่ในคำถามสมมุติ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกว่า


1. คุณธรรมพื้นฐานที่ผู้บวชจะต้องมี คือสัมมาทิฏฐิหรือความเข้าใจถูกต้อง บางครั้งใช้ว่าความเห็นถูก เช่น เห็นว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว โลกนี้โลกหน้ามีจริง บุญ บาปมีจริง บุญให้ผลเป็นความสุข แต่บาปให้ผลเป็นความทุกข์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ดังนี้เป็นต้น
2. ผู้บวชต้องเข้าใจว่า วัตถุประสงค์ของการบวช คือ การสร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะบุญสามารถเอื้ออำนวยให้คนเราเจริญก้าวหน้า ทั้งทางโลกและทางธรรมส่วนบาปนั้นส่งผลให้ชีวิตคนเราตกต่ำลงเรื่อยๆ
3. เมื่อบวชแล้วต้องสำรวม กาย วาจา ใจ ไม่ปล่อยใจให้คิดในทางบาปอกุศล คิดแต่ในทางบุญกุศล ทำแต่บุญกุศลเท่านั้น
4. เมื่อบวชแล้วต้องอยู่อย่างสันโดษ คือ พอใจในปัจจัยอันเป็นเครื่องดำรงชีวิตของสมณะตามมีตามได้ ไม่ปรารถนาความฟุ้งเฟ้อ ความสะดวกสบายสุรุ่ยสุร่าย เยี่ยงชีวิตฆราวาส
5. เมื่อบวชแล้วต้องรักชีวิตที่เงียบสงบ ไม่เอิกเกริกครึกครื้นสนุกสนาน ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้มีโอกาสฝึกใจให้เป็นสมาธิได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้นเพียงเท่านี้ ก็ย่อมทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูเข้าพระทัยได้ในทันทีว่า พระเทวทัตที่พระองค์ทรงหลงคบหาสมาคมด้วยนั้น มิได้มีคุณลักษณะของความเป็นสมณะอยู่เลยแม้เพียงน้อยนิด ฉะนั้น การหลงคบมิตรชั่วเช่นพระเทวทัต จึงเป็นเหตุชักนำให้พระองค์ทรงทำกรรมหนัก ถึงกับทรงปลงพระชนม์พระราชบิดา


           ส่วนการที่เจ้าลัทธิทั้ง 6 ไม่สามารถตอบพระองค์ได้ว่า ผลดีของการบวชมีอะไรบ้าง ก็ย่อมจะชี้ชัดถึงภูมิปัญญาของเจ้าลัทธิทั้ง 6 ว่า
1. ไม่รู้วัตถุประสงค์ในการบวชอย่างแท้จริง
2. ไม่รู้คุณธรรมพื้นฐานของนักบวช
3. ไม่รู้วัตรปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมของนักบวชแม้เบื้องต้น ดังนั้น จึงไม่ทราบถึงประโยชน์ของการบวช คือ ไม่ทราบถึงสามัญญผลนั่นเอง


        จากนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสถามพระเจ้าอชาตศัตรูว่า ทรงพบคำตอบหรือยังว่าผลของการบวชมีหรือไม่ พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทรงตอบอย่างมั่นพระทัยว่า ผลของการบวชที่เห็นในปัจจุบันมีอยู่อย่างแน่นอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า นี้เป็นเพียงสามัญญผลข้อแรกเท่านั้น ยังมีข้ออื่นๆ อีกมากเป็นการจุดประกายความกระหายใคร่รู้ของพระเจ้าอชาตศัตรูให้ลุกโพลงขึ้น จนอดไม่ได้ที่จะทูลถามถึงสามัญญผลข้ออื่นๆ อีกต่อไป

-----------------------------------------------

SB 304 ชีวิตสมณะ

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010728359222412 Mins