การปฏิบัติตนของพระเจ้าอชาตศัตรูต่อเจ้าลัทธิต่าง ๆ

วันที่ 05 พย. พ.ศ.2558

การปฏิบัติตนของพระเจ้าอชาตศัตรูต่อเจ้าลัทธิต่าง ๆ


           จากเรื่องราวที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าพระเจ้าอชาตศัตรูทรงปรีชาชาญฉลาดมิใช่น้อยเลย เพราะทรงสามารถสำนึกผิดในอกุศลกรรมที่ทรงก่อไว้ ไม่ทรงปล่อยพระองค์ ให้ถลำลึกลงไปในวังวนแห่งอกุศลกรรมอีกต่อไป แต่ทรงพยายามขวนขวายแสวงหาทางแก้ไข โดยเสด็จไปหาความจริงจากเจ้าลัทธิต่างๆ มีสำนักครูทั้ง 6 ดังกล่าวแล้ว

           ครั้นพระเจ้าอชาตศัตรูได้ฟังคำสอนของครูทั้ง 6 ก็ทรงมีปรีชาสามารถวินิจฉัยได้ว่า คำสอนของเจ้าลัทธิแต่ละท่านนั้นไม่น่าเลื่อมใสศรัทธา กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นคำสอนที่เป็น "มิจฉาทิฏฐิ" นั่นเองแล้วเสด็จลาจากมาโดยอาการสงบ เพราะไม่ทรงปรารถนาจะรุกรานนักบวชการปฏิบัติของพระเจ้าอชาตศัตรูต่อเจ้าลัทธิเหล่านั้น มีข้อสังเกตสำคัญ 2 ประการ คือ
1. ทรงมีวินิจฉัยคำสอนของครูทั้ง 6 ด้วยปรีชาชาญ
2. ไม่ทรงส่งเสริมนักบวชที่ไม่ทรงเลื่อมใสศรัทธา แต่ก็ไม่ทรงรุกราน

 

            ข้อสังเกตประการแรกนั้น อาจมีผู้ถามว่า เหตุใดในครั้งที่ทรงเป็นราชกุมารคบหา มาคมกับพระเทวทัตอยู่นั้น จึงทรงปฏิบัติราวกับไร้สติปัญญา ทรงกระทำตามคำแนะนำอันชั่วช้าสามานย์ของพระทุศีลเทวทัต อย่างไร้ความละอายต่อบาปเล่าถ้ายึดหลักธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชน หรือผู้ที่ยังมีกิเลสโดยทั่วไปแล้ว อาจตอบคำถามดังกล่าวได้ว่า พระทัยของเจ้าชายอชาตศัตรูในขณะนั้นมืดมนด้วยอำนาจกิเลสเสมือนหนึ่งผู้ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิด ขาดแสงสว่าง หาทางออกไม่ได้สุดแล้วแต่ใครจะฉุดกระชากลากไป

 

             กิเลสตัวสำคัญ คือ "ความหลง" ความหลงประการแรกของอชาตศัตรูราชกุมารก็คือ ความเลื่อมใสในปาฏิหาริย์ของพระเทวทัต จนเชื่ออย่างสุดพระทัยว่า พระเทวทัตนั้นเลิศกว่าใครๆ ในโลกนี้ และอีกประการหนึ่งก็คือ ทรงหลงเชื่อคำยุยงของพระเทวทัต เพราะทรงเยาว์วัย ขาดความจัดเจนต่อโลก จึงไม่ทันเล่ห์กลของคนพาลกิเลสสำคัญอีกตัวหนึ่ง คือ "ความโลภ" อชาตศัตรูราชกุมารย่อมมีความโลภเหมือนปุถุชนทั้งหลายทีปรารถนาอำนาจครอบครองมหาสมบัติ เมื่อความหลงประสานกับความโลภเข้าเต็มอัตราตามกลลวงที่พระทุศีลเทวทัตวางแผนไว้ อชาตศัตรูราชกุมารจึงมี ภาพไม่ผิดกับผู้ที่กำลังเดินทางอยู่ในความมืดมิด ย่อมหลงไปตามการชักนำของผู้ที่พระองค์ทรงไว้วางพระทัยอย่างไรก็ตาม หลังจากที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงก่ออกุศลกรรมหนักถึงขั้นอนันตริยกรรมแล้วแม้พระองค์จะได้ครองราชบัลลังก์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งแคว้นมคธอันยิ่งใหญ่ไพศาล แต่พระองค์ก็หาได้ทรงมีความสุขสงบอยู่ในอำนาจนั้นไม่ กลับทรงดิ้นรนแ วงหาสัจธรรม ซึ่งเป็นเหตุให้พระองค์ได้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด กรณีเช่นนี้ย่อมกล่าวได้ว่า "อกุศลกรรมชักนำไปสู่กุศลกรรม"

 

            สำหรับข้อสังเกตประการที่สอง คือ การที่พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ทรงส่งเสริม และไม่รุกรานนักบวชที่มีคำสอนเป็นมิจฉาทิฏฐิ น่าจะเป็นข้อคิดสำคัญสำหรับ ภาพสังคมในปัจจุบัน กล่าวคือ ในประเทศไทยนั้น เราถือว่าเรามีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ประชากรส่วนใหญ่ของชาติเป็นพุทธศาสนิกชนพระภิกษุตามวัดต่างๆ ตลอดจนตามสำนักสงฆ์ต่างๆ ทั่วประเทศ ย่อมได้รับการทำนุบำรุงจากพุทธศาสนิกชนทั้งปวงชาวพุทธทั้งหลายเมื่อไปเคารพกราบไหว้พระภิกษุสงฆ์ จำเป็นจะต้องมีวิจารณญาณ มีวินิจฉัยว่าการประพฤติปฏิบัติ และคำเทศน์สอนของพระภิกษุที่ท่านไปเคารพกราบไหว้นั้น มีความเหมาะสมหรือไม่ เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือไม่ ถูกต้องตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ หากเห็นว่าพระภิกษุที่ท่านไปเคารพกราบไหว้หรือทำนุบำรุง ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ก็ควรลาจากไปอย่างสงบทำนองเดียวกับที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงปฏิบัติ

 

              เพียงแต่ญาติโยมงดเว้นการบำรุงพระภิกษุที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยเสียเท่านั้นบรรดาพระทุศีลผู้ปฏิบัติย่อหย่อนในพระธรรมวินัย หรือสั่งสอนนอกลู่นอกทาง ย่อมจะต้องปรับปรุงและพัฒนาตนเองให้ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง หรือมิฉะนั้นก็คงจะต้องลาสิกขาออกไป ไม่ยึดเอาเครื่องแต่งกายของบรรพชิตเป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพด้วยการเบียดเบียนประชาชน และบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเรื่อยไปสำหรับลักษณะของพระภิกษุผู้ปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัยนั้น จะได้กล่าวในลำดับต่อไป

 

-----------------------------------------------

SB 304 ชีวิตสมณะ

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.037731333573659 Mins