เป็นผู้สันโดษ

วันที่ 11 พย. พ.ศ.2558

เป็นผู้สันโดษ


          เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สติสัมปชัญญะแก่พระเจ้าอชาตศัตรูจบลงแล้ว จึงทรงแสดงสันโดษต่อไปว่า "มหาบพิตร อย่างไรภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ" ตรัสดังนี้แล้ว จึงได้ทรงวิสัชนาด้วยพระองค์เองว่า
 

"มหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง มหาบพิตร นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไปฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกายด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เองมหาบพิตร ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้สันโดษด้วยประการดังกล่าวมานี้แล"

 

         "สันโดษ" คือ ความยินดีในของของตน พอใจด้วยปัจจัย 4 คือ ผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่นอน ที่นั่ง และยา ตามมีตามได้ การมีความสุขความพอใจด้วยเครื่องเลี้ยงชีพที่หามาได้ ด้วยความเพียรพยายามอันชอบธรรมของตน ไม่โลภ ไม่ริษยาใครมีธรรมอยู่ 2 ข้อ คือ "สันโดษ" (ความยินดีในของของตน) กับ "อัปปิจฉา" (ความมักน้อย) ซึ่งคนส่วนมากเข้าใจสับสนกันอยู่ จึงเอาธรรม 2 ข้อนี้ไปรวมกัน คือ ชอบพูดว่า "สันโดษมักน้อย" เลยทำให้
เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าสันโดษ คือความมักน้อย เกิดความเข้าใจว่า ธรรมข้อนี้สอนให้คนเราอยากมีอะไรน้อยๆ และยินดีตามที่ตนมีตนได้ ได้อย่างไรก็พอใจอยู่แค่นั้น เมื่อเกิดความเข้าใจอย่างนี้แล้วก็มักคิดเลยเถิดไปว่า ธรรมข้อนี้เป็นเครื่องถ่วงความเจริญก้าวหน้าของตนและประเทศชาติ บางคนยังเกิดความเข้าใจวิปลาสออกไปถึงขนาดกล่าวว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คนเกียจคร้านความจริงธรรม 2 ข้อนี้ มีความหมายตามหลักพระพุทธศาสนา ดังนี้


"สันโดษ" คือ ความยินดี พอใจในของที่ตนมี
"อัปปิจฉา" คือ ความมักน้อย
        ถ้ามีคำถามว่า การที่พ่อแม่รักลูก พอใจในลูกของตนนั้นเป็นสิ่งที่ดีไหม การที่สามีพอใจในภรรยาของตนเป็นสิ่งที่ดีไหม ภิกษุรักวัดของตนเป็นสิ่งที่ดีไหม พลเมืองรักชาติบ้านเมืองของตนเป็นสิ่งที่ดีไหมคำตอบก็คือ เป็นสิ่งที่ดีผู้ที่มีความพอใจในของของตน ก็คือผู้มีสันโดษ ซึ่งสำนวนในพระพุทธศาสนาท่านใช้ว่า "ยินดีใน
ของที่ตนมี"เมื่อเราพอใจในบุคคลหรือสถาบันใดๆ แล้ว เราย่อมป้องกันรักษา ทำนุบำรุง และส่งเสริมให้เจริญ
ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าสันโดษทำให้เจริญ ในทางตรงกันข้าม ความไม่สันโดษย่อมทำให้เสื่อม เช่น ชายที่มีภรรยาแล้วก็ไม่พอใจในภรรยาตน กลับไปรักหญิงอื่นหรือภรรยาคนอื่น หรือในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตลอดจนตำแหน่งหน้าที่การงานก็เช่นเดียวกัน ถ้าขาดสันโดษก็อาจเป็นเหตุให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือการรับสินบนได้ ทั้งนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนให้เราไม่คิดปรับปรุงตนเองให้เจริญก้าวหน้า แต่ทรงสอนให้เราพอใจตามมีตามได้และแสวงหาโดยสุจริตเท่านั้น

 

          พระพุทธศาสนาได้จัด "สันโดษ" เป็นนาถกรณธรรม คือ ธรรมอันเป็นที่พึ่งด้วยข้อหนึ่ง เพราะเป็นธรรมที่ช่วยปรับปรุงตัวเราให้เป็นคนขยัน ไม่ดูถูกตนเอง มีความพอใจและเชื่อมั่นในตนเอง ทั้งป้องกันตัวเอง ไม่ให้ประพฤติผิดศีลธรรมและกฎหมายได้ด้วยสันโดษในแง่ที่เป็นธรรมปฏิบัติของภิกษุนั้นแบ่งออกเป็น 3 ประการ คือ
1) ยถาลาภสันโดษ คือ ยินดีตามที่ได้ หมายความว่า เมื่อได้สิ่งใดมาด้วยความเพียรของตน ก็พอใจในสิ่งนั้น ไม่เดือดร้อนเพราะอยากได้ของที่ไม่ได้ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของคนอื่น ไม่ริษยาคนอื่น


2) ยถาพลสันโดษ คือ ยินดีตามกำลัง หมายความว่า พอใจเพียงแค่พอแก่กำลังร่างกายสุขภาพและขอบเขตการใช้สอยของตน ของที่เกินกำลังก็ไม่หวงแหนเสียดาย ไม่เก็บไว้ให้เสียเปล่า หรือไม่ฝนใช้ให้เป็นโทษแก่ตน


3) ยถาสารุปปสันโดษ คือ ยินดีตามสมควร หมายความว่า พอใจตามที่สมควรแก่ภาวะ ฐานะแนวทางชีวิตและจุดหมายแห่งการบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุพอใจแต่ของอันเหมาะสมกับสมณสารูปหรือหากได้ของใช้ที่ไม่เหมาะกับตน แต่จะมีประโยชน์แก่ผู้อื่นก็นำไปมอบให้แก่เขา เป็นต้น

 

            สันโดษ 3 นี้เป็นไปในปัจจัย 4 แต่ละอย่างๆ จึงรวมเรียกว่าสันโดษ 12 ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1) ยถาลาภสันโดษในจีวร คือ ยินดีตามที่ได้ในจีวร ภิกษุในพระพุทธศาสนานั้น เมื่อได้รับจีวรซึ่งญาติโยมถวายมา จีวรนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ภิกษุย่อมใช้สอยจีวรนั้นเท่านั้น ไม่ปรารถนาจีวรอื่นอีกถึงแม้จะมีผู้ถวายในภายหลังก็ไม่รับ


2) ยถาพลสันโดษในจีวร คือ ความยินดีตามกำลังในจีวรหรือเครื่องนุ่งห่มของตน เช่น หากภิกษุเป็นผู้มีกำลังน้อย อาพาธ หรือชราภาพ ควรที่จะนุ่งห่มจีวรเบา ก็ยินดีใช้ อยจีวรเช่นนั้น แม้จะได้รับจีวรอย่างหนา คุณภาพดี ก็ไม่หวงแหนเอาไว้ แต่นำไปถวายภิกษุอื่น


3) ยถาสารุปปสันโดษในจีวร คือ ความยินดีตาม มควรในจีวรนั้น เช่น การที่ภิกษุได้รับจีวรที่มีคุณภาพดีและราคาแพง หรือได้รับบาตรคุณภาพดีและราคาแพง ภิกษุรูปนั้นจึงมีความคิดว่า จีวรและบาตรนี้ย่อมสมควรแก่พระเถระผู้บวชนาน หรือผู้เป็นพหูสูต หรือผู้อาพาธ หรือผู้มีลาภน้อย จึงนำไปถวายแก่ผู้สมควร ไม่เก็บไว้ใช้เอง หรือเปลี่ยนเอาจีวรเก่าของพระเถระมาใช้สอยแทน


4) ยถาลาภสันโดษในบิณฑบาต คือ ความยินดีตามได้ในบิณฑบาต เช่น เมื่อภิกษุออกบิณฑบาตไม่ว่าจะได้รับอาหารดีเลวอย่างใดมาก็ตาม ย่อมยินดีบริโภคอย่างนั้น ไม่ต้องการอย่างอื่นอีก ถึงจะได้ก็ไม่รับ


5) ยถาพลสันโดษในบิณฑบาต คือ ความยินดีตามกำลังในบิณฑบาต เช่น เมื่อภิกษุได้รับบิณฑบาตที่เหมาะกับสุขภาพร่างกายของตน ก็ยินดีในบิณฑบาตนั้น ไม่เที่ยวเพ่งเล็งหรือแสวงหาบิณฑบาตอื่นอีก หรือแม้ได้รับถวายบิณฑบาตที่ดี แต่ไม่เหมาะกับสุขภาพของตน ก็ไม่หวงแหนไว้ แต่นำไปถวายภิกษุอื่น


6) ยถาสารุปปสันโดษในบิณฑบาต คือ ความยินดีตามสมควรในบิณฑบาต ภิกษุบางรูปมีบุญมาก ได้รับบิณฑบาตอันประณีตจำนวนมาก ก็แบ่งถวายแก่พระเถระผู้บวชนาน ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีลาภน้อยหรือผู้อาพาธ ตนเองบริโภคส่วนที่เหลือ


7) ยถาลาภสันโดษในเสนาสนะ คือ ความยินดีตามที่ได้ในเสนาสนะ ภิกษุในพระพุทธศาสนาเมื่อญาติโยมถวายเสนาสนะให้ แม้ว่าเสนาสนะนั้นจะเป็นเพียงเครื่องปูลาดที่มีคุณภาพต่ำ มีราคาถูกก็ตามย่อมยินดีตามที่ได้นั้น


8) ยถาพลสันโดษในเสนาสนะ คือ ความยินดีตามกำลังในเสนาสนะ เช่น เมื่อภิกษุได้รับเสนาสนะที่ใช้แล้วเกิดความสบาย เหมาะกับสุขภาพร่างกายของตน ก็พอใจใช้เสนาสนะนั้น แม้ว่าจะเป็นของเก่า หรือของไม่มีราคา ก็มีความยินดีที่จะใช้สอย ไม่ไปเที่ยวแสวงหาเสนาสนะอื่นอีก


9) ยถาสารุปปสันโดษในเสนาสนะ คือ ความยินดีตามสมควรในเสนาสนะ เมื่อภิกษุได้เสนาสนะที่ดีมาก มีถ้ำและมณฑป (เรือนยอดที่มีรูป สี่เหลี่ยม) เป็นต้น ก็ยกให้แก่พระเถระผู้บวชนาน ภิกษุผู้เป็นพหูสูต ผู้มีลาภน้อย หรือผู้อาพาธเสียส่วนตนเองก็ยินดีอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสมควรแก่ตน เมื่ออยู่ในเสนาสนะใด เกิดความง่วงเหงาหาวนอน หรือเกิดอกุศลวิตก (ความตรึกในเรื่องกาม ความพยาบาท ความเบียดเบียน) ขึ้น ก็ไม่อยู่ในเสนาสนะนั้นอีกต่อไป เลือกอยู่ในที่ที่ไม่เกิดความง่วงเหงาหาวนอน และไม่เกิดอกุศลวิตก มีที่แจ้งและโคนไม้ เป็นต้น


10) ยถาลาภสันโดษในคิลานปัจจัย คือ ความยินดีตามที่ได้ในคิลานปัจจัย (ปัจจัยสำหรับคนไข้หรือยารักษาโรค) ภิกษุเมื่อได้คิลานปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเลวหรือดีอย่างไร ก็ยินดีต่อคิลานปัจจัยนั้นๆ ไม่ต้องการอย่างอื่นอีก ถึงแม้ว่าจะได้ก็ไม่รับ


11) ยถาพลสันโดษในคิลานปัจจัย คือ ความยินดีตามกำลังในคิลานปัจจัย ได้คิลานปัจจัยอย่างใดเป็นที่สบายแก่ตน ก็ยินดีต่อคิลานปัจจัยนั้น เช่น ภิกษุอาพาธ จำเป็นต้องใช้ยา คือ น้ำมัน เมื่อได้มาก็มีความยินดี พอใจในน้ำมันที่ได้มานั้น แต่หากได้ยาอื่น เช่น น้ำอ้อยมา ก็ไม่หวงแหนไว้ นำไปถวายแด่ภิกษุอื่น


12) ยถาสารุปปสันโดษในคิลานปัจจัย คือ ความยินดีตามสมควรในคิลานปัจจัย ได้แก่ตนเห็นว่าคิลานปัจจัยที่ดี มี เนยใสเนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น ย่อมสมควรแก่พระเถระผู้บวชนานภิกษุผู้เป็นพหูสูต ผู้มีลาภน้อย หรือผู้อาพาธ จึงยกคิลานปัจจัยที่ดีนั้นให้แก่ภิกษุเหล่านั้นเสีย

 

          จากรายละเอียดในสันโดษ 12 ประการที่ยกมากล่าวนี้ จะเห็นได้ว่าสันโดษแตกต่างกับความมักน้อย เพราะสันโดษไม่มีการจำกัดว่ามากน้อยเท่าใด แต่ให้ยินดีในสิ่งที่ได้มา ไม่ว่าจะมากหรือน้อย หรือดีเลวอย่างไรก็ยินดีทั้งนั้นสิ่งใดก่อให้เกิดความสบายแก่ตน ก็ยินดีต่อสิ่งนั้นสิ่งใดสมควรแก่ตน ก็ยินดีต่อสิ่งนั้นอย่างไรก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า ภิกษุผู้มีบริขาร 8 เท่านั้น เป็นผู้สันโดษส่วนพระภิกษุที่มีบริขารมากกว่านี้ ไม่ถือว่าสันโดษบริขารทั้ง 8 อันได้แก่ บง จีวรสังฆาฏิ บาตร มีดโกน หรือมีดตัดเล็บ เข็ม ประคดเอว และ
กระบอกกรองน้ำนี้สามารถใช้เป็นเครื่องบริหารกายก็ได้ เป็นเครื่องบริหารท้องก็ได้ ยกตัวอย่าง เช่น จีวรถ้าภิกษุใช้นุ่งห่ม จีวรก็ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องบริหารกาย แต่ถ้าใช้จีวรกรองน้ำ จีวรก็ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องบริหารท้องส่วนบาตรนั้น ถ้าใช้ตักน้ำสรง และประพรมกุฏิ ย่อมเป็นเครื่องบริหารกาย ถ้าใช้บิณฑบาต ย่อมเป็นเครื่องบริหารท้องสำหรับมีดโกน ถ้าใช้ปลงผมหรือตัดเล็บ ย่อมเป็นเครื่องบริหารกาย แต่ถ้าใช้ปอกผลไม้สำหรับฉัน
ย่อมเป็นเครื่องบริหารท้องแม้เข็มถ้าใช้เย็บจีวร ย่อมเป็นเครื่องบริหารกาย แต่ถ้าใช้จิ้มผลไม้ หรือขนมเพื่อฉัน ย่อมเป็นเครื่องบริหารท้องประคดเอว ถ้าใช้คาดเอว ย่อมเป็นเครื่องบริหารกาย แต่ถ้าใช้มัดอ้อย ย่อมเป็นเครื่องบริหารท้องกระบอกกรองน้ำ ถ้าใช้กรองน้ำอาบ หรือนำมาประพรมเสนาสนะ ย่อมเป็นเครื่องบริหารกาย แต่ถ้าใช้กรองน้ำดื่ม ย่อมเป็นเครื่องบริหารท้องการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้องเช่นนี้ คำว่า "จีวร" ย่อมหมายถึง "ไตรจีวร" อันประกอบด้วยสบง จีวรและสังฆาฏิ ซึ่งใช้พันกาย แล้วคาดให้แน่นด้วยประคดเอว ดังนั้นจีวรจึงได้ชื่อว่าเป็นเครื่องบริหารกายส่วนบริขารอื่นๆ ก็รวมกันใส่ไว้ในบาตร เมื่อจะเดินทางไปแห่งใดก็คล้องบาตรนั้นไว้ที่จะงอยบ่า ครั้นถึงเวลา
เช้า ก็ถือบาตรนั้นออกเดินบิณฑบาตเพื่อยังชีวิต ด้วยเหตุนี้บิณฑบาต จึงได้ชื่อว่าเป็นเครื่องบริหารท้องด้วยเหตุนั้น เมื่อภิกษุเพียงแต่สะพายบาตรใบเดียว ก็สามารถไปทุกทิศทุกภาค เปรียบเสมือนนกมีปีกก็สามารถไปได้ทั่วทุกหนทุกแห่ง ภิกษุผู้สันโดษย่อมบริโภคเสนาสนะอันเงียบสงัดได้ตามที่ปรารถนาไม่ว่าจะเป็นในป่า โคนไม้ ซอกเขา ชะง่อนผา ในถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่โล่งแจ้ง หรือลอมฟาง เป็นต้น โดยไม่มีห่วงใยในสิ่งใดๆ

 

            พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญความสันโดษไว้ว่า "ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างเยี่ยม"หมายความว่า ความยินดีด้วยของของตนนั้นเป็นทรัพย์อันประเสริฐ เพราะเป็นเหตุให้เกิดความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
ส่วนความไม่ยินดีในของของตนนั้น เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายหรือเสื่อมทรามอย่างยิ่ง ดังเช่นพระเทวทัตที่ขาดความสันโดษ ไม่รู้จักประมาณตนว่ายังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลเลย เมื่อเห็นพระอรหันตสาวกรูปอื่นได้รับความเคารพสักการะมากกว่าตน ก็เกิดความริษยาเร่าร้อนใจ ทำให้หลงลืมการบำเพ็ญสมณธรรม กลับไปทะเยอทะยานหวังให้มีผู้คนมาเคารพสักการะตนมากๆ เฝ้าคิดวางแผนการร้ายต่างๆ จนต้องก่อกรรมทำเข็ญถึงกับถูกธรณีสูบในที่สุด ก็เพราะขาดสันโดษนี่เอง


              เมื่อภิกษุเป็นผู้สันโดษ จิตย่อมคลายความกังวลและความยึดมั่นถือมั่น ย่อมมีความยินดีตามมีตามได้ จึงสามารถชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความเพ่งเล็งในโลกได้จากพระธรรมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสกับพระเจ้าอชาตศัตรูในบทที่ 6 นี้ ย่อมทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูเข้าพระทัยดีว่า นักบวชที่แท้จริงในพระพุทธศาสนานั้น จะต้องบวชเพื่อละกามและประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อสั่งสมบุญบารมี ซึ่งเป็นเป้าหมายในการบวช
เมื่อบวชแล้วจะต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติทั้ง 6 หัวข้อโดยบริบูรณ์บริสุทธิ์ เพราะการปฏิบัติตามข้อปฏิบัติทั้งหมดนี้ จะเป็นปัจจัยของการบรรลุสามัญญผลที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นไปอีก

-----------------------------------------------

SB 304 ชีวิตสมณะ

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.002773916721344 Mins