นักสู้ฝ่าสมุทร

วันที่ 09 มค. พ.ศ.2559

นักสู้ฝ่าสมุทร

 

    สาเหตุที่ตรัสชาดก ในกรุงสาวัตถี อุบาสกถวายมหาทานแด่พระทศพลพร้อมด้วยหมู่สงฆ์ตลอด 7 วัน ทั้งยังถวายรองเท้าอย่างดี พระทศพลทรงอนุโมทนาแล้วตรัสถึงบัณฑิตในกาลก่อนได้ที่พึ่งด้วยผลานิสงส์ที่ถวายรองเท้า เมื่ออุบาสกทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังนี้..

 

    ในอดีตกาล มีเศรษฐีท่านหนึ่งนามว่าสังขะ ได้ตั้งโรงทานที่ประตูเข้าออก 4 มุมเมือง ที่ลานกลางเมืองและหน้าบ้านตนเองรวมเป็น 6 แห่ง บริจาคทรัพย์วันละ 60,000 วันหนึ่งเศรษฐีคิดว่าถ้าทรัพย์เราหมดก็อดให้ทาน ก่อนทรัพย์จะหมดเราต้องไปหาทรัพย์มาเพิ่มเสียก่อน จึงบรรทุกสินค้าเต็มลำเรือ ฝากภรรยาให้ตรวจดูโรงทานแทนไปก่อนจนกว่าตนจะกลับมา เศรษฐีรวบรวมบริวารช่วยกันขนสินค้าไปริมทะเลเพื่อรอบรรทุกขึ้นเรือไปค้าขายที่สุวรรณภูมิ

 

    ขณะนั้นเองสังขเศรษฐีเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าดำเนินผ่านมาโดยมิได้สวมรองเท้า เหยียบบนทรายร้อนผ่าวราวถ่านไฟ ก็ให้เกิดปีติใจร่าเริงยินดีว่า ช่างเป็นบุญของเราแท้วันนี้ รีบถอดรองเท้าของตนวิ่งเข้าไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้เข้าไปยังโคนต้นไม้ พร้อมขนทรายมาปูให้เป็นที่นั่ง เอาผ้าห่มมารองเป็นอาสนะ นำน้ำกรองมาล้างเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า เสร็จแล้วจึงเอาน้ำมันหอมทาเช็ดถูรองเท้าของตนจนสะอาด นำมาสวมเข้ากับเท้าของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วถวายร่มส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าจาริกต่อไป..

 

    เศรษฐีขึ้นเรือขนสินค้าออกทะเลแล่นไปได้ 7 วันเท่านั้น ก็เกิดลมพายุใหญ่ซัดเรือแตก ผู้คนในเรือก็สติแตกตามไปด้วย ต่างพากันวุ่นวาย ไหว้อ้อนวอนพระเจ้ากันระงม แต่เศรษฐีไม่งมงายตามคนอื่นรีบไปหาน้ำมันมาทาทั่วตัวให้ลอยน้ำได้ดี แล้วคว้าน้ำตาลกรวดกับเนยมาทานจนอิ่มเพื่อสะสมพลังงานจากนั้นรีบปีนขึ้นเสากระโดงเรือเพื่อกำหนดทิศทาง แล้วกระโจนออกสุดแรงจนพ้นรัศมีปลาร้ายได้และ ว่ายน้ำต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะเห็นฝัง หวังแต่ว่าหลังเส้นขอบฟ้านั้นคงต้องมีฝังให้ตนขึ้นได้บ้าง

 

    เศรษฐีพยายามว่ายไปจนพลบค่ำก็ยังไร้วี่แววได้เห็นฝัง ลอยคออยู่กลางทะเลมืดมิดน่ากลัวคลื่นซัดทั่วท้องมหาสมุทรเสียงดังราวคนบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน ถึงกระนั้นเศรษฐีก็ไม่ท้อถอยถอดใจปล่อยตัวให้จมลง ยังคงลอยคอว่ายต่อไปเรื่อยๆ ทั้งคืนจนถึงเช้าสลับมืดสว่างอยู่อย่างนี้ถึง 7 วันจนอ่อนล้าเต็มที่ วันนี้เป็นวันที่ 7สังขเศรษฐีก็ยังไม่ย่อท้อ ถ้าหยุดสู้ก็ต้องจมน้ำตายทันที ถ้าสู้ไปจนตายอย่างน้อยในเฉพาะหน้าก็ยังรอดอยู่ รอดอยู่แม้เพียงวันเดียว ปาฏิหาริย์ก็อาจเกิดขึ้นได้เศรษฐีว่ายไปพลางสังเกตเห็นพระจันทร์เต็มดวงก็รู้ว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถ จึงเอาน้ำเค็มบ้วนปากอธิษฐานจิตรักษาศีล 8 แล้วว่ายต่อไป..

 

    ขณะนั้นเอง มีเทพธิดาถืออาหารทิพย์เหาะมาแต่ไกล เพื่อนำมาให้เศรษฐีทาน เศรษฐีไม่ได้ทานอะไรมาเลยมาตลอด 7 วันจนในท้องไม่เหลืออะไรแล้ว ทั้งหิวทั้งหมดสิ้นเรี่ยวแรงจนแทบจะออกแรงว่ายต่อไม่ไหว แต่ทว่าเมื่อสักครู่เศรษฐีเพิ่งจะสมาทานศีล 8 ไปเอง ตอนนี้กลับมีอาหารมาอยู่ตรงหน้าอาหารทิพย์กลิ่นฟุ้งตลบน่าทานเป็นยิ่งนัก หากทานอาหารทิพย์แล้ว กำลังก็จะกลับคืนมาทั้งหมดกระทั่งความบอบช้ำของร่างกายก็กลับสู่สภาพปกติได้พลัน อาหารมื้อนี้คือชีวิตของท่านเศรษฐีทีเดียวนับว่าท้าทายท่านเศรษฐีอย่างยิ่ง เพราะยากยิ่งแท้ที่ใครจะปฏิเสธไม่รับอาหารในสถานการณ์เช่นนี้ ในที่สุดเศรษฐีก็ยอมตาย แต่ไม่ยอมผ่อนปรนให้ตนต้องผิดศีล จึงได้ปฏิเสธเทพธิดาไปว่า ..

 

"เราไม่ทานหรอก เรารักษาอุโบสถอยู่ ท่านเป็นเทพธิดาหรือมนุษย์กันหรือ"
"ข้าพเจ้าเป็นเทพธิดา เอาข้าวมาให้ท่านทาน และมาช่วยท่านด้วย" เทพธิดาตอบอย่างเอ็นดู
เศรษฐี

 

    เศรษฐีอัศจรรย์ใจที่รู้ว่าตนจะรอดตายได้อย่างไม่น่าเชื่อ จึงถามถึงเหตุที่เทพธิดามาช่วยตนก็ได้รับคำตอบว่า เป็นผลจากการที่ตนได้ถวายรองเท้าแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าก่อนขึ้นเรือนั้นเอง..หากเศรษฐีท้อถอยไปเสียก่อน ไม่สู้ว่ายต่อมาจนถึงวันนี้ก็คงมิมีชีวิตอยู่ทันเห็นปาฏิหาริย์ให้เทพธิดาตนนี้มาช่วยแล้ว เทพธิดาเนรมิตเรือรัตนชาติ นำเศรษฐีขึ้นเรือพาส่งกลับบ้าน พร้อมนำทรัพย์นับไม่ถ้วนมากองไว้เต็มบ้านสังขเศรษฐีให้ทานมากมายจนสิ้นอายุขัยก็ได้ไปพักที่สวรรค์ สืบไป..

 

ประชุมชาดก
          พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า เทพธิดาครั้งนั้นมาเป็นนางอุบลวรรณาเถรีส่วนสังขเศรษฐีมาเป็นตถาคตแล
          จากชาดกเรื่องนี้ เศรษฐีอยู่กลางทะเลอันมืดมิด ถูกคลื่นซัดประชิดทั้งคืนก็ไม่กลัวจนเสียขวัญกลับตั้งสติสู้ฝ่าฟัน แม้ผ่านไป 7 วันก็ไม่สิ้นหวังแล้วปล่อยตัวให้จมลง เมื่อท่านกล้าที่จะมีชีวิตรอด จึงกล้าที่จะออกแรงว่าย ไม่ว่าจะตายหรือรอดก็นับว่าเศรษฐีได้ชัยชนะต่อนิสัยที่เป็นปฏิปักษ์ต่อวิริยบารมีได้แล้ว ดังในมหาชนกชาดกว่า..

 

    "เราไตร่ตรองเห็นปฏิปทาแห่งโลกและอานิสงส์แห่งความเพียร ถึงจะมองไม่เห็นฝัง เราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เมื่อทำความเพียรอยู่ แม้ตายก็ไม่เป็นหนี้หมู่ญาติ อนึ่งบุคคลทำกิจของลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนใจภายหลัง ผู้ใดละความเพียรชื่อว่าเป็นผู้ไม่รักษาตนก็จะรู้ผลแห่งความเกียจคร้าน ท่านก็ประจักษ์แล้วมิใช่หรือว่าคนอื่นๆ ล้วนจมลงมหาสมุทรหมด มีเราคนเดียวยังว่ายข้ามอยู่และได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้ๆ เราจะพยายามตามสติกำลัง จะทำความเพียรไปให้ถึงฝังมหาสมุทร บัณฑิตควรหวังเข้าไว้ ไม่ควรเบื่อหน่าย ผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ควรสิ้นหวังที่จะได้สุขคนจำนวนมากประสบทุกข์ก็หมดกำลังใจทำดีต่อไป แต่พอประสบสุขจึงกลับมามีกำลังใจทำสิ่งดีๆ คนเหล่านั้นไม่นึกถึงความเพียรจึงถอดใจตายกันหมดสิ่งใดไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นก็ได้ส่วนสิ่งใดที่หวังไว้อาจจะพังสิ้นไปก็ได้ ทรัพย์ทั้งหลายมิใช่ได้มาด้วยเพียงแค่คิดเท่านั้น"

 

    ในเรื่องของความพยายามรักษาศีลของเศรษฐีในสภาพที่ถูกบีบคั้นด้วยความหิวถึง 7 วันและถูกยั่วเย้าด้วยอาหารทิพย์เช่นนั้น ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่า ศีลของท่านเศรษฐีมิใช่ศีลจุ่มหรือศีลจิ้มแต่เป็นศีลแช่อิ่มคือมิใช่รักษาศีลแค่ตอนตัวสบาย แต่ถึงคราวลำบากหรือมากด้วยสิ่งยั่วเย้าก็อดใจไม่ไหว ยอมผ่อนปรนให้ตนได้ละเมิดศีลไปบ้าง ชื่อว่ารักษาศีลไม่จริง แค่จุ่มๆ จิ้มๆ พอเอาเข้าจริงๆศีลก็ร่อนหลุดไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็หมดเกลี้ยง


"นิสัยนักสู้ แม้ไม่เห็นทางก็จะสู้ต่อไป, ไม่ท้อถอยสิ้นหวัง, รักความต่อเนื่องสม่ำเสมอ,ไม่มองด้านมืด มองด้านสว่างเปียมความหวัง และสู้โดยยังรักษาความดีไว้ได้" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในวิริยบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010543664296468 Mins