เมื่อคิดได้ ก็ไม่ทุกข์

วันที่ 17 มีค. พ.ศ.2560

 

เมื่อคิดได้ ก็ไม่ทุกข์

 

เมื่อคิดได้ ก็ไม่ทุกข์,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน

 

          ปี พ.ศ.๒๕๒๖ ข้าพเจ้ากับญาติสนิทผู้หนึ่ง ร่วมกันซื้อที่ดินไว้ ๑ แปลง คิดเอาไว้ว่าบั้นปลายชีวิตเมื่อออกจากราชการแล้ว ใคร่จะมาปลูกกระท่อมหลังน้อยอยู่ริมวัด ได้ช่วยงานของวัดไปบ้าง ได้ตักบาตร รักษาศีล ฟังเทศน์ เจริญภาวนาไปบ้าง เมื่อตอนซื้อ ข้าพเจ้าก็ไม่มีเงินก้อนจะซื้อ เพราะรายได้มีเพียงเงินเดือนไม่กี่พันบาท ให้บิดามารดา เลี้ยงครอบครัว ที่เหลือก็ใช้ทําบุญก่อสร้างวัดไปเต็มกําลัง จึงใช้วิธีผ่อนส่งทุกเดือน เดือนละเพียง ๒ ตารางวา ถึงเดือนต้องนําเงินไปส่งผู้จัดสรรที่นนทบุรีทุกเดือน ส่งอยู่ถึง ๕ ปี และยังต้องเสียเงินค่าถมที่อีกเป็นหมื่นบาท เรียกว่าต้องประหยัดกระเบียดกระเสียรเต็มที่ จึงได้ที่ดินแปลงดังกล่าวมา

       เมื่อทราบว่าเพื่อน ๆ ที่ซื้อที่จัดสรรแปลงนี้ชวนกันถวายที่ให้วัด ข้าพเจ้าก็ดีใจ เพราะเกิดมานี่ได้ทําบุญด้วยวัตถุอะไร ๆ มาหลายอย่าง เงิน อาหาร ของใช้ ยา เครื่องประดับ บ้านเรือนไทยแฝด เครื่องมือในการก่อสร้าง ฯลฯ แต่เรื่องที่ดินยังไม่เคยบริจาค ที่ทําได้ก็แค่ขอที่ดินเพื่อนมาสร้างวัด ทําไว้เพียงเท่านั้น พอคิดบริจาคที่ดินดังนี้แล้วก็ปรึกษาญาติ ซึ่งมีชื่อร่วมอยู่ในเอกสารโฉนด ชวนเขาถวายที่ให้วัด ถ้ายกให้วัดไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ขอซื้อ โดยจะขอผ่อนส่งเป็นงวด ๆ ญาติผู้นั้นปฏิเสธ นอกจากไม่ยกให้แล้ว ยังไม่ยอมขาย ไม่ว่าจะให้ราคาสูงเพียงใด ทั้งนี้เพราะยังไม่เข้าใจการทํางานของวัด และยังไม่มีศรัทธา ข้าพเจ้าจึงต้องนิ่งเฉยรอเวลาเอาไว้ก่อน คิดอยู่ในใจว่า เมื่อเงินซื้อที่ดินไม่ได้ น้ำใจอาจจะซื้อได้ เอาเถอะถ้าเดือดร้อนอะไรมา เราจะแสดงน้ำใจให้นึกไม่ถึงทีเดียว ให้เขารู้สึกว่า แค่ที่ดินแปลงนิดเดียวเท่านี้ ไม่พอตอบแทนน้ำใจของเรา

      แล้ววันหนึ่ง โอกาสของข้าพเจ้าก็มาถึง เมื่อได้รับจดหมายจากญาติ ขอยืมเงินจํานวนหนึ่งจะนําไปเล่นแชร์น้ำมันของเจ้าแม่แชร์รายใหญ่  เพื่อเก็บดอกผลเอาเงินปลูกบ้านพักอาศัย ได้ดอกเบี้ยพอปลูกบ้านแล้วจะคืนเงินต้นให้ข้าพเจ้า

     ปกติข้าพเจ้าไม่ชอบวิธีหาเงินด้วยการเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยงชนิดไหน ๆ ข้าพเจ้ามีเงินสะสมซึ่งเวลานั้นทางราชการคืนให้มาก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง ก็ฝากธนาคารออมสินไว้เก็บดอกเบี้ยกินตลอดมา เรื่องการเล่นแชร์ ข้าพเจ้าแสนเกลียดมาแต่ไหนแต่ไร เพราะต้องมีหน้าที่ห้ามปรามตักเตือนผู้ใต้บังคับบัญชาตามวินัยของทางราชการอยู่แล้ว ประกอบกับเวลานั้นมีการจับกุมกันบ้าง ข่าวเรื่องการล้มวงแชร์วงอื่น ๆ ก็เกรียวกราวอยู่บ้าง จึงไม่มีความมั่นใจเหลืออยู่เลยว่า ถ้าให้เงินญาติยืมแล้วจะมีทางได้คืน ต้องสูญแน่

      “เงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียวที่มีอยู่ในชีวิตนี้ เป็นเงินบริสุทธิ์จากน้ำพักน้ำแรง ทางราชการเป็นฝ่ายหักจากเงินเดือนทุกเดือน รวบรวมไว้ให้เรานานเกือบ ๒๐ ปี ถ้าต้องสูญหายไปก็เรียกว่าหมดตัว จะเหลืออยู่ก็แต่บํานาญประจําเดือนพอไม่อดตายเท่านั้นยอมมั้ย” ข้าพเจ้าถามตนเอง

      ใจก็อึดอัดอยู่นาน ตอบไม่ออก มันสุดแสนเสียดายพูดไม่ถูก เมื่อตอบคําถามของใจตนเองไม่ได้ นั่งนิ่งเงียบเฉยอยู่นาน ก็ให้เหมือนมีอีกใจหนึ่ง (คงจะเป็นใจในกายมนุษย์ละเอียด ที่ภาษาวิชาการเรียกกันคอมมอนเซ้นท์ หรือสามัญสํานึก) พูดเตือนให้ได้คิด

        “เงินน่ะ ก็รู้แล้วนี่ว่ามันเป็นเพียงของสมมติใช้ในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น มีบํานาญพอซื้อข้าวกินน่ะดีถมไปแล้ว ที่เหลือเก็บอยู่นั่นเปลี่ยนให้เป็นบุญซะเถอะ เงินไม่กี่แสนเอาไปทําบุญให้วัดตรง ๆ ก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าใดหรอก แต่ถ้าใช้เงินนี้ไปเป็นทางผ่านเอาที่ดินถวายวัดนั่นซีได้บุญมากเพราะที่ดินแปลงนี้นอกจากเราแล้วคนอื่นไม่มีทางเอามาได้ เจ้าของเขาประกาศอยู่โต้ง ๆ ว่า อย่าดูถูกว่าที่ดินเขาเล็กน้อยนะ เอาเงินเป็นล้าน ๆ มาซื้อ เขาไม่ยอมขายเป็นอันขาด  เราเสี่ยงเสียเงินเพียงไม่กี่แสน  เราอาจมีหวังได้ที่ดินนี้แน่นอน”

     “อีกใจก็ว่า เงินเก็บมานานตั้งเกือบ ๒๐ ปีนะ ถ้าเราเก็บเอง ไม่มีทางเก็บได้หรอก นี่ทางราชการเขามีระเบียบหักเก็บเอาไว้ เราจึงมีเหลือจํานวนมากเพียงนี้ ถ้ายอมให้สูญไป ชาตินี้ยังไงก็ไม่มีทางเก็บได้ใหม่ เพราะพอมีเงินเราก็จะต้องช่วยทําบุญสร้างงานของพระศาสนาต่อไปจนตายน่ะแหละ ว่าแล้วใจนี้ก็บอกว่า ไม่เอา ๆ ปฏิเสธไปเถอะ เอางี้ซีให้เค้ายืมไปปลูกบ้านเลย ไม่ต้องเล่นแชร์ แล้วให้เค้าค่อยผ่อนส่งเราก็ได้

    ใจตรงข้ามก็ท้วงว่า เค้าจะเอาที่ไหนมาส่งคืนล่ะ ถึงแม้คืนได้ก็คงได้แค่เดือนละพันสองพัน  ซึ่งก็ยังไม่พอค่าดอกเบี้ยครึ่งเดือนของธนาคารออมสินเลย  ต้องตัดใจยกให้เค้าไปซะเลยนั่นแหละดีที่สุด”

       ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ว่า ใจของข้าพเจ้ามันเถียงกันอย่างงี้เป็นวันเป็นคืน ผลที่สุดข้าพเจ้าต้องเดินทางไปปรึกษาหารือกับฝ่ายนั้น ฝ่ายนั้นยืนยันว่าไม่ต้องการเงินของข้าพเจ้าไปปลูกบ้าน   ต้องการปลูกด้วยดอกเบี้ยแชร์จริง ๆ ข้าพเจ้าตัดใจยกเงินให้เขาไป ให้มากกว่าที่ยืมหลายเท่าตัว เพื่อให้ได้เงินดอกเบี้ยพอปลูกบ้านเร็ว ๆ

      ยังจําได้ ถึงวันที่เบิกเงินออกจากธนาคารเป็นปึก เต็มตะกร้าหวายใส่ของ ธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาททั้งนั้น ข้าพเจ้าลูบคลํามันเป็นครั้งสุดท้าย รู้สึกใจหายจนบอกไม่ถูก  เพราะลางสังหรณ์ว่าเงินทั้งหมดนั้นจะจากไปโดยไม่กลับมาหาอีก ใจหายวาบ ๆ ตลอดเวลาที่อุ้มตะกร้าใส่เงิน เดินทางนำไปมอบให้ผู้รับ กลับมาที่บ้านก็ยังนอนไม่หลับต่ออีก ๒-๓ คืน แล้วก็ได้คิดขึ้นมาว่า

     “ไหนว่าเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมไงล่ะ ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว เงินของเราจํานวนนั้นเป็นเงินบริสุทธิ์ ถ้าเรามีบุญพอที่จะเป็นเจ้าของ เงินก็จะไม่สูญหายหนีไปไหน คงจะได้กลับมาแน่นอน ตอนนี้เราก็เสียเงินนั้นไปแล้ว ถ้ามานั่งคิดนอนคิดเสียใจ ก็เท่ากับเราเสียสองต่อ เมื่อจำเป็นจะต้องเสีย ก็ขอให้เสียเพียงเงินอย่างเดียวเถิด อย่าเสียใจด้วยเลย ขืนเสียใจมาก ๆ ก็จะพาลกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ท้ายที่สุดก็ไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย เสียสุขภาพไปเสียอีก เป็นเสีย ๓ อย่าง”

     เสียอย่างเดียวเถอะ เสียอย่างเดียวเถอะ เสียอย่างเดียวเถอะ นี่คือคําภาวนาใหม่ของข้าพเจ้า ใช้ท่องในใจอยู่หลายวัน ใจคอจึงพอสงบลงเป็นช่วง ๆ

   ในที่สุดข้าพเจ้าต้องคิดถึงคุณงามความดีของญาติคนที่เล่านี้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อง คือหน้าที่ในอาชีพรับราชการของเขา ถ้ากระทำทุจริตเหมือนคนอื่น ๆ แล้ว สามารถร่ำรวยได้นับเป็นร้อยเป็นพันเท่าของเงินเดือนแต่ด้วยการเชื่อฟังคําเตือนของข้าพเจ้า  จึงดํารงตนอยู่ในความสุจริตมาสิบปีเศษ ก็ยังต้องเช่าบ้านเขาอยู่จนแล้วจนรอด การช่วยเหลือให้เขามีบ้านของตนเองสักหลังจึงเป็นเรื่องสมควร

      พอคิดดังนี้ ก็ตัดใจลงได้สนิท

     การทํางานของข้าพเจ้าได้รับผลสําเร็จ น้ำใจที่แสดงออกไปในครั้งนี้ ได้รับน้ำใจจากอีกฝ่ายตอบสนองด้วยดี  มาฆบูชาปี ๒๕๒๘ เป็นวันมงคล ข้าพเจ้าออกปากขอที่ดินนั้นอีกครั้งหนึ่ง ได้รับคำตอบว่า

     “ที่ดินนี้ผมเต็มใจให้พี่ ไม่ได้ให้วัดนะ”

     ข้าพเจ้ายิ้ม ๆ ไม่รับคํา ให้ฝ่ายนั้นลงชื่อในใบมอบอํานาจ เว้นช่องผู้รับโอนไว้ ก็เลยได้ถวายทั้งใบมอบอำนาจและโฉนดให้วัดในวันสำคัญปีนั้นเอง

       เวลาผ่านต่อมา วงการแชร์ทุกแห่งปั่นป่วนวุ่นวาย เพราะรัฐบาลยุคนั้นยื่นมือเข้าปราบปราม ข่าวหลายกระแสพูดกันว่า ประชาชนเล่นแชร์กันมาก ไม่มีใครฝากเงินกับธนาคาร ทําให้ธนาคารแทบจะดําเนินการต่อไปไม่ได้ เพราะมีแต่ประชาชนไปกู้จากธนาคารมาเล่นแชร์ ท้ายที่สุดแชร์ใหญ่ ๆ ทุกวงถูกจับกุม กิจการก็ล้มจนหมด ข้าพเจ้าทราบข่าว ไม่รู้สึกเสียใจอะไรแล้วเรื่องเงินสูญ  เพราะทําใจได้ตั้งแต่วันเบิกเงินครั้งสุดท้าย ที่มีเรื่องเสียใจเหลืออยู่ก็เป็นเรื่องสงสารญาติที่ยังไม่ได้ปลูกบ้าน

       เงินหลายแสนที่สูญไปครั้งนั้น  ข้าพเจ้าผู้เป็นเจ้าของเงินไม่เสียใจ แต่เป็นเรื่องแปลก คนที่เสียใจแทบเป็นบ้าเป็นหลังคือภรรยาของญาติ เธอกินไม่ได้นอนไม่หลับทุรนทุรายกระสับกระส่ายแทบคุ้มคลั่ง เขียนจดหมายระบายความทุกข์มายังข้าพเจ้าครั้งละเป็นหลาย ๆ แผ่น

      ข้าพเจ้าคิดหนักอีกครั้งว่าจะปลอบเธออย่างไรดี เมื่อเวลามอบเงินแม้ข้าพเจ้าจะตัดใจคิดว่าสูญก็จริง แต่ไม่ได้ออกปากเป็นวาจาว่า “ยกให้” สามีภรรยาคู่นั้นกล่าวว่า เมื่อเขาได้ดอกเบี้ยจากแชร์พอปลูกบ้านแล้วจะถอนเงินต้นคืนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ยิ้มไม่ปฏิเสธ

     ครั้นเข้าที่คับขันถึงคราวอับจนขนาดนี้ เป็นเรื่องนิ่งเฉยไม่ได้อีกต่อไป ข้าพเจ้าจึงต้องปลอบด้วยข้อความเป็นลายลักษณ์อักษรที่คงต้องจดจำไปจนตายว่า

     “เงินที่สูญไปนั้นเป็นเงินของพี่ พี่เป็นเจ้าของเงินยังไม่เสียใจ หนูไม่ใช่ผู้เสียหายอะไรเลย กลับยังได้ดอกเบี้ยไปบางส่วนเสียด้วยซ้ำ แล้วเสียใจทําไม ถ้าคิดว่ายืมเงินของพี่ไปเล่นแชร์แล้วสูญ จำเป็นต้องรับผิดชอบ พี่ก็ขอบอกว่า ถ้าหนูมีให้ก็เอา ถ้าไม่มีให้ก็ถือว่าแล้วกันไปไม่มีหนี้อะไรกัน พี่เต็มใจให้เสี่ยงเอง แล้วข้าพเจ้าก็กล่าวสอนแถมท้ายเหมือนที่สอนตนเองไว้ว่า

     “เสียเงินไปแล้ว อย่าต้องเสียใจ เสียสุขภาพร่างกายตามเพิ่มมาอีก ให้กลายเป็นเสียหลายอย่างจะกลายเป็นขาดทุนหลายต่อ

   เล่ามาถึงตอนนี้ ท่านอย่านึกว่าข้าพเจ้าเป็นคนเก่งคนวิเศษ เสียเงินแล้วทำเป็นไม่เสียใจได้จริง ๆ ต้องขอสารภาพว่า มันทําใจได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวในระยะแรก ๆ เท่านั้น  ใจคอยกลับไปกลับมา เดี๋ยวเฉยพอทนได้ เดี๋ยวใจหายวาบเมื่อนึกถึงความหมดตัว สลับสับสนกันอยู่ ต้องหาคำภาวนามาสอนใจหลาย ๆ ประโยค เช่น เสียเงินแล้วอย่าเสียใจอีก... ถ้าเคยเป็นหนี้เค้าก็ใช้หนี้คืนไป... ถ้าเป็นเงินของเราก็ได้คืนมา... เงินทำบุญซื้อที่ดินให้วัดไปแล้ว... อย่าจริงจังกับของสมมติใช้ในโลกเลย... ฯลฯ ใช้ข้อความใดภาวนา ถ้าเห็นว่าใจหยุดจากความเสียใจได้ก็เลิก แล้วทำสมาธิ ภาวนาตามเดิม ถ้าไม่ดีขึ้นก็เปลี่ยนข้อความใหม่เรื่อยไป กระทั่งใจคลายจากความทุกข์ลงจนเป็นปกติ   นี่เล่าถึงประสบการณ์ของข้าพเจ้าในระยะที่ยังปฏิบัติธรรมได้ผลเล็กน้อยแค่เห็นนิมิตขั้นต้น    เอาชนะความเสียใจไม่ได้ทันที แต่เมื่อปฏิบัติขั้นสูงขึ้นอีกนิด สามารถให้จิตไหลเข้ากลางกายภายใน เข้าไปได้เรื่อย ๆ ก็จะหนีทุกข์ได้ดียิ่งขึ้น

    นอกจากนั้น ถ้าใจยังคอยกลับไปทุกข์อยู่อีกเป็นครั้งคราว ก็จําเป็นต้องหาอุบายแยบคายต่าง ๆ ให้ใจรู้จักคิด เช่นตัวอย่างเวลานั้น ข้าพเจ้าคิดถึงความเป็นญาติสนิท มีหน้าที่ต้องหวังดีซึ่งกันและกัน ต้องช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก อย่าให้เงินซึ่งเป็นเพียงสิ่งสมมติตื้น ๆ มาทําลายความเป็นพี่เป็นน้อง แต่ควรให้เงินมาเป็นเครื่องกระชับสายสัมพันธ์ทางใจโยงใยความเป็นญาติให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

    ผู้คนในโลกทุกวันนี้ที่เราพบเห็นทราบข่าวคราวกันอยู่เสมอ คือการแย่งชิงผลประโยชน์ทางวัตถุเงินทอง  แย่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย  ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องลูกหลานวงศาคณาญาติ   บางทีเข่นฆ่ากันถึงชีวิตก็วัตถุเงินทองสิ่งของเหล่านี้ที่สมมติใช้กัน วัตถุประสงค์แท้จริงเพื่อใช้แลกเปลี่ยนหาปัจจัยสี่ให้ชีวิตใช้ 

      ปัจจัยสี่ที่จําเป็นจริง ๆ ไม่ต้องใช้เงินทองทรัพย์สินมากมายอะไร  คือ อาหาร วันหนึ่ง ๓ มื้อ ก็มากเกินไปแล้ว แต่ละมื้อที่เป็นอาหารมีคุณค่าต่อร่างกายจริง ๆ เช่น ผัก ถั่ว ผลไม้ ข้าว เนื้อสัตว์ นม ไข่ ใช้เงินไม่มากมายอะไร เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมีเพียงสัก ๓ -๔ ชุด ก็ใช้ได้ไม่ต่ำกว่า ๒ ปี ที่อยู่ พอหลบลมฝนร้อนหนาว ก็เป็นเพียงขนาดหลังเล็ก ๆ ทําด้วยวัสดุถูก ๆ ราคาไม่แพงอะไรมาก ยารักษาโรค ใช้ยามจําเป็น ไม่ว่าจะเป็นยาสมุนไพร หรือยาแผนปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ต้องซื้อหาบ่อย ๆ ใช้เฉพาะเวลาเจ็บป่วย ก็ไม่สิ้นเปลืองอะไรนัก

     แต่ที่ผู้คนแสวงหากันทุกวันนี้ ล้วนแต่เป็นส่วนเกินความจำเป็น อาหารต้องอร่อย สะดวกสบาย หรูหราน่ากิน เช่น ตามภัตตาคาร เครื่องแต่งตัวก็เน้นเรื่องการโอ้อวดให้เหนือคนอื่นบ้าง เน้นเรื่องความสวยงามเพื่ออวดเด่นเป็นสําคัญ ที่อยู่อาศัยก็ให้โอ่โถง สูงค่า ปรนเปรอเอาสุขสัมผัสเกินกว่าเหตุ มีเครื่องอํานวยความสะดวกล้นเหลือจนแทบไม่ต้องออกกําลังทําสิ่งใด การรักษาโรคภัยต่าง ๆ ก็มีสถานพยาบาลราคาแพงอันหรูหราไว้เชิญชวนให้รับบริการเลิศเลอ สิ่งฟุ่มเฟือยเหล่านี้ คือสิ่งที่ผู้คนดิ้นรนแสวงหาอย่างไม่มีวันรู้จักพอ

     ความไม่รู้จักพอนั่นเองทําให้ขาดปัญญาพิจารณาให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นเท็จไปสิ้น แค่เงินทองทรัพย์สมบัติกับวงศาคณาญาติ ก็คิดตัดสินใจไม่ถูกว่าอะไรมีค่ามากกว่าอะไร

    การหมดเงิน หมดแล้วก็สามารถหาเอามาใหม่ด้วยการประกอบอาชีพต่าง ๆ แต่การหมดเยื่อใยกันในหมู่ญาติ หมดแล้วทําคืนใหม่ได้ยากยิ่งนัก  บางรายแม้ตายจากกันก็ไม่ยอมอภัยให้กันและกัน ข้าพเจ้าเห็นความสำคัญของความเป็นญาติเหนือเงินทอง คิดซ้ำอยู่บ่อย ๆ ใจก็อ่อนโยนหายเสียใจลงได้หมด

    นอกจากนั้น ยังมีอานิสงส์ของการบริจาคทานมาค้ำจุนจิตใจ เมื่อได้เคยบริจาคทรัพย์สิ่งของทําการกุศลไว้มาก ๆ ถึงคราวต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติ ก็พอทําใจให้ไม่เสียดายได้มาก เพราะความเคยชินของใจที่คุ้นเคยต่อ “การให้บ่อย ๆ ” เหล่านั้น

     ความคิดของข้าพเจ้าที่ว่า เงินทองที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์นั้น ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ นึกไม่ถึงเลยว่าเป็นความจริง ญาติผู้นั้นของข้าพเจ้าได้รับความเมตตาจากผู้บังคับบัญชาเป็นพิเศษ ให้งานมีรายได้ดี หลายชิ้น ทําให้เขาสามารถมีบ้านราคาเป็นล้านได้ภายในเวลาสองปี และยังมีเงินเหลือพอคืนให้กับข้าพเจ้าอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งขาดจํานวนจากที่สูญไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

   ยังมีเรื่องต่อเนื่องจากเรื่องนี้อีกเล็กน้อย ในครั้งแชร์ล้มครั้งนั้น  ผู้ที่สิ้นเนื้อประดาตัวมีจํานวนมากมายนัก เพราะลูกแชร์มีทั้งหมดเป็นหมื่นราย คนที่ทรัพย์วิบัติแล้วคิดไม่เป็น ทําใจไม่ได้ บางรายฆ่าตัวตาย ตรอมใจตาย เสียจริตบ้าคลั่ง สูญเสียอนาคต มีปัญหาในครอบครัวและหมู่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ฯลฯ เป็นกันไปต่าง ๆ นานา

      วันหนึ่ง ข้าพเจ้าพบสตรีที่ประสบปัญหาเรื่องนี้ ร้องไห้พลางเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง

   “ป้าคะ สามีหนูเป็นผู้พิพากษา เขาห้ามหนูไม่ให้เล่นแชร์น้ำมัน หนูก็ไม่เชื่อ ดื้อไปเล่น แถมเอาบ้านเอาที่ดินไปจํานองเล่น แชร์ล้มหนูหมดตัว หนูกับสามีเลยทะเลาะกันใหญ่ เราก็เลยต่างคนต่างอยู่ เค้ากลุ้มใจมากเข้าเพราะธนาคารจะยึดบ้าน เลยลาออกจากงาน เอาเงินบําเหน็จใช้หนี้ ตอนนี้ก็ไม่มีงานอะไรจะทํา หนูมีการค้าบ้างก็หมดกำลังใจจะทำ ลูกเต้าเดือดร้อนกันไปหมด กำลังเรียนชั้นสูง ๆ กันทั้งนั้น หนูจะไม่มีเงินส่งให้เรียนต่อกันแล้ว...”

   ข้าพเจ้าใช้อุบายที่เคยใช้กับตนเองเตือนสติเขาไป

     “หนู หนูกําลังโง่อย่างแรง เราเสียเงินไปแล้ว ทําไมต้องให้เสียใจ เสียสุขภาพอีก แล้วนี้หนูกําลังจะต้องสูญเสียครอบครัวตามไปด้วย ทะเลาะแตกแยกกับสามี เดี๋ยวก็ถึงบ้านแตกสาแหรกขาด ขาดทุนหลายซับหลายซ้อน พอกันที ให้มันเสียเงินอย่างเดียวนะ อย่าเสียใจเสียสามีอีกเลย”

     สตรีผู้นั้นคงจะพอมีปัญญาอยู่บ้าง น้ำตาหยุดไหล เธอมองหน้าข้าพเจ้าอย่างตกตะลึงนิ่งงันอยู่ ข้าพเจ้าจึงพูดต่อไปว่า

      “เราเสียเงินไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เสียชีวิต ยังไม่ได้เสียสติปัญญาเรี่ยวแรงทํามาหากินอะไร หากินทางนี้ไม่ได้ ก็หาทางอื่น มีอาชีพอีกมากมายที่เราทําได้ หมากลางถนนมันไม่มีอาชีพ มันยังไม่ยอมอดตาย เราเป็นคนมีความรู้ มีสติปัญญา มีตีนมีมือ จะยอมแพ้หมาเหรอ กลับไปนี่ไปกราบขอโทษสามียอมรับผิดง้องอนเค้าเสีย ให้กําลังใจเค้าใหม่ ช่วยกันคิดทำมาหากินเรื่องอื่น ทําเรื่องค้าขายที่หนูทําอยู่ด้วยความตั้งใจ เอาใจใส่ก็จะเจริญรุ่งเรืองได้ ให้กําลังใจสามีให้มาก ถึงเวลานี้แล้ว จะวางตัวใหญ่ข่มเค้าต่อไปไม่ได้แล้ว ป้าพูดนี่หนูเห็นด้วยมั้ย”

        เธอผู้นั้นพนมมือกราบข้าพเจ้า ใช้มือทั้งสองของเธอบีบมือข้าพเจ้าไว้แน่น

    “ป้าจ๋า ทําไมหนูถึงคิดไม่ออก ป้าพูดถูก หนูเสียเงินแล้วทําไมจะต้องให้เสียใจ และเสียครอบครัวอีก ป้าคะ หนูสัญญา หนูจะทําตามที่ป้าแนะนำ กลับไปบ้านทําเดี๋ยวนี้แหละ หนูต้องเอาความอบอุ่นในครอบครัวหนูกลับมาให้ได้ หนูยังมีบ้านเหลือ มีอาชีพเหลือ ให้สามีช่วยหนูประกอบอาชีพก็ได้ หนูจะยกให้เขาเป็นหัวหน้า ให้ตัวหนูเป็นลูกน้อง หนูรู้เค้ายังรักหนูอยู่ เพียงได้กําลังใจจากหนูเท่านั้น ชีวิตเค้าก็จะสดชื่นขึ้นใหม่ได้ หนูมันเจ้าทิฏฐิมากไปเอง”

   รายนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเธอทําสําเร็จมากน้อยเพียงใด เพราะเราพบกันในที่ประชุมแห่งหนึ่ง เธอไม่รู้จักว่าข้าพเจ้าเป็นใคร อยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าเองก็ลืมถามที่อยู่หรือแม้เบอร์โทรศัพท์ของเธอ เพราะไม่คิดว่าจะจำเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านฟัง

    นี่คือการรู้จักคิด คิดให้เป็นก็จะคิดได้ คิดได้ก็จะได้คิด ได้คิดแล้วก็จะเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ไม่ยึดถือเอาเป็นเรื่องของตนไปเสียหมด ความทุกข์ก็จะลดลง


 

 

 

 

ชื่อเรื่องเดิม เเชร์ล้ม

Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล

จาก ความทรงจำเล่ม ๔

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0048421859741211 Mins