การรักษาสมดุลโครงสร้างของร่างกายให้ติดเป็นนิสัย

วันที่ 16 พค. พ.ศ.2560

การรักษาสมดุลโครงสร้างของร่างกายให้ติดเป็นนิสัย
 

GB 410 การรักษาสุขภาพตามพุทธวิธี , ความรู้ทั่วไปทางพระพุทธศาสนา , DOU , ดุลยภาพบำบัดในสมัยปัจจุบัน , การรักษาสมดุลโครงสร้างของร่างกายให้ติดเป็นนิสัย

      ความรู้ในแต่ละบทที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นทั้งหลักการและวิธีปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมให้โครงสร้างของร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลเป็นปกติเสมอ แต่ทว่าความรู้ดังกล่าวนี้จะเกิดประโยชน์แก่นักศึกษามากน้อยเพียงใดหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับตัวนักศึกษาว่า ได้นำไปปฏิบัติอย่างไร หากรู้และเข้าใจทฤษฎี แต่ไม่ไหด้ลงมือปฏิบัติ ประโยชน์ย่อมไม่เกิดแก่ตัวนักศึกษาอย่างแน่นอน หรือได้ลงมือปฏิบัติ แต่ไม่ต่อเนื่อง ประโยชน์ก็จะไม่เกิดแก่ตัวนักศึกษาเช่นกัน แต่เมื่อใดนักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่องจนติดเป็นนิสัย เมื่อนั้นประโยชน์จะเกิดแก่ตัวนักศึกษาตลอดชีวิตโดยสรุปก็คือ ถ้านักศึกษาขยันปฏิบัติตามหลักการและวิธีการรักษาสมดุลโครงสร้างของร่างกายได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องจนติดเป็นนิสัย นักศึกษาก็จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ โรคภัยไข้เจ็บใดๆ ไม่กล้ามารบกวน

1. นิสัยคืออะไร
      นิสัย คือ พฤติกรรมเคยชิน ซึ่งเกิดจากการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดบ่อยๆ จนติด เมื่อติดแล้ว ถ้าไม่ได้ทำอีก ก็จะรู้สึกหงุดหงิด กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ นิสัยเป็นเสมือนโปรแกรมประจำตัวที่กำหนดพฤติกรรมทางกาย วาจา และใจของแต่ละบุคคล ใครมีนิสัยอย่างไรก็จะทำตามความเคยชินอย่างนั้นโดยอัตโนมัติ

        บุคคลที่มีนิสัยดี ย่อมเลือกคิด พูด และทำ แต่สิ่งที่ทำให้ตนเองหรือผู้อื่น หรือรวมทั้งตนเองและผู้อื่นได้รับความเย็นกายเย็นใจอยู่เสมอ เช่น นิสัยตรงต่อเวลา นิสัยรักความสะอาด นิสัยชอบให้ทาน นิสัยชอบฟังธรรม ฯลฯ นิสัยดีๆ เหล่านี้ย่อมเป็นคุณต่อทั้งตนเองและผู้อื่น

       บุคคลที่มีนิสัยไม่ดี ย่อมเลือกคิด พูด และทำแต่สิ่งที่ทำให้ตนเองหรือผู้อื่น หรือทั้งตนเองและผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ เช่น นิสัยติดอบายมุข นิสัยเกียจคร้าน นิสัยเอาเปรียบเกี่ยงงาน นิสัยพยาบาท นิสัยตามใจตัวเอง ฯลฯ นิสัยไม่ดีเหล่านี้ มีแต่จะก่อโทษให้แก่ทั้งตนเองผู้อื่นและสังคม


2. อานิสงส์ของการสร้างนิสัยดี
    คนเราทุกคนล้วนประกอบด้วยกายกับใจ แต่ทั้งกายกับใจล้วนมีโรคติดมาตั้งแต่วันคลอดโรคที่ติดมากับร่างกายย่อมพร้อมที่จะแสดงอาการให้ปรากฏในทันทีที่ร่างกายอ่อนแอลงส่วนโรคร้ายที่แอบแฝงอยู่ในใจคน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "กิเลส" ถ้าสบโอกาสเมื่อใดกิเลสก็จะกำเริบออกฤทธิ์เช่นกัน คือ ทั้งกัดกร่อน ทั้งบีบคั้น ทั้งหมักดองใจให้เสื่อมคุณภาพลงแล้วส่งผลให้บุคคลคิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดีตามมา หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้นานวันเข้า ก็จะกลายเป็นนิสัยไม่ดีติดตัว

     บุคคลที่มีนิสัยไม่ดีติดตัว ย่อมมีความโน้มเอียงที่จะก่อกรรมชั่วบ่อย ๆ เมื่อก่อกรรมชั่วบ่อยๆย่อมได้บาปบ่อยๆ บาปนั้นย่อมเผาผลาญใจของเขาให้เสื่อมทรามลงเรื่อยๆ จนขาดปัญญาตรองไม่เห็นคุณค่าของความดี แม้จะมีผู้หวังดีหรือกัลยาณมิตรมาชักนำส่งเสริมสนับสนุนให้สร้างแต่กรรมดี เขาก็จะทำกรรมดีอย่างเหยาะแหยะ เพราะการทำกรรมดีแต่ละครั้งนั้นจะต้องสวนกระแสกิเลสที่ฝังแน่นอยู่ในใจของเขาอย่างมาก

         ด้วยเหตุนี้การสร้างนิสัยดีให้เกิดขึ้นในแต่ละคนจึงจำเป็นต้องมีการปลูกฝังกันตั้งแต่เยาว์วัยก่อนที่จิตใจจะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสเมื่อนิสัยดีเกิดขึ้นในใจอย่างมั่นคงแล้ว คนเราย่อมมีปัญญาตรองเห็นคุณประโยชน์อย่างแท้จริงของกรรมดี ตรองเห็นอันตรายของกรรมชั่ว จึงพากเพียรทำกรรมดีบ่อยๆ เมื่อทำกรรมดีบ่อยๆ ก็ได้บุญบ่อยๆ บุญนั้นย่อมส่งผลให้มีความสุขและความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ชีวิตจึงประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองนี่คืออานิสงส์ของการสร้างนิสัยดี


3. การสร้างนิสัยดีตามพุทธวิธี
         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้บทฝึกสำหรับการสร้างนิสัยดีไว้บทหนึ่ง คือ ให้พิจารณาโดยแยบคาย ก่อนบริโภคใช้สอยปัจจัย 4 ดังนี้

       ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงใช้สอยจีวร เพียงเพื่อป้องกันความหนาว ป้องกันความร้อนป้องกันสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย รวมทั้งเพื่อปกปิดอวัยวะที่ก่อให้เกิดความละอาย

      ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว จึงฉันบิณฑบาต ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน ความเมามันตลอดจนเพื่อประดับ ตกแต่ง แต่ฉันเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ เพื่อให้ร่างกายนี้ดำเนินไปได้ เพื่อระงับความลำบากทางกาย เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ อีกทั้งระงับเวทนาเก่า คือ ความหิว และไม่ทำให้ทุกขเวทนาใหม่เกิดขึ้น ย่อมทำให้ดำรงชีวิตด้วยความไม่มีโทษ และอยู่โดยผาสุก

       ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงใช้สอยเสนาสนะ เพียงเพื่อป้องกันความหนาว ป้องกันความร้อน ป้องกันสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย รวมทั้งเพื่อบรรเทาอันตรายจากดินฟ้าอากาศ ตลอดจนเพื่อความเป็นผู้ยินดีอยู่ในที่หลีกเร้นสำหรับภาวนา

        ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว จึงบริโภคเภสัชบริขารอันเกื้อกูลแก่คนไข้เพียงเพื่อบำบัดทุกขเวทนาอันเกิดจากการเจ็บป่วยและเพื่อความเป็นผู้ไม่มีโรคเบียดเบียน

        จากบทพิจารณาปัจจัย 4 นี้จะเห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำเอาเรื่องที่ทุกชีวิตต้องคิด พูด และทำ ในชีวิตประจำวันมาเป็นบทฝึกนิสัย ด้วยการสั่ง อนให้เป็นผู้รู้จักมี ติเตือนตนอยู่เสมอว่า ตนกำลังทำอะไร เหมาะสมหรือไม่อย่างไร รู้จักพิจารณาหาเหตุผล จนมองทะลุว่าวัตถุประสงค์หลักในการใช้สิ่งของต่างๆ เหล่านั้นเพื่ออะไร ทำไมจึงต้องใช้ แล้วจึงค่อยใช้สิ่งของเหล่านั้น

        เมื่อได้พิจารณาเตือนตนอยู่ทุกๆ วัน นิสัยดื้อรั้น เอาแต่ใจตัว ตลอดจนความมักง่ายต่างๆก็จะค่อยๆ ลดลง ทำให้รู้สึกยินยอม ใช้สอยปัจจัย 4 ตามมีตามได้ ทั้งไม่คิดแสวงหาในทางที่ผิดในทางที่ไม่สมควร คราใดที่เกิดความปรารถนาสิ่งใด เมื่อไม่ได้ ก็ไม่กระวนกระวายใจ หรือได้แล้วก็ไม่ติดใจ ไม่หลง ไม่พัวพันและมองเห็นโทษของความรู้สึกนึกคิดเช่นนั้น พร้อมกันนั้นก็เกิดปัญญาคิด ลัดตนออกจากกองทุกข์ กิเลสในตัวจึงค่อยๆ ลดลง นิสัยดีๆ ก็บังเกิดขึ้นแทน และเป็นอุปการะต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อการบรรลุธรรม หมดกิเล เข้าสู่พระนิพพาน


4. บทฝึกสำหรับการสร้างนิสัยดี
       ได้กล่าวแล้วว่า นิสัยเกิดจากการคิด พูด และทำ เรื่องใดเรื่องหนึ่งซ้ำๆ บ่อยๆ อยู่เป็นประจำจนติดเป็นความเคยชิน เรื่องที่แต่ละคนต้องทำซ้ำๆ บ่อยๆ ตลอดชีวิตนั้น มีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ คือ

      1. กิจวัตรประจำวันของตนเอง ได้แก่ การใช้สอยดูแลเรื่องปัจจัย 4 เป็นหลัก นับตั้งแต่ดูแลใช้สอยบริโภคเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค (รวมไปถึง การอาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาสุขอนามัย)

       2. หน้าที่การงานที่ตนเองต้องรับผิดชอบ เช่น งานอาชีพ งานเลี้ยงลูก งานดูแลพ่อแม่งานสังคมสงเคราะห์ งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ฯลฯ

      เพราะฉะนั้น บทฝึกสำคัญสำหรับใช้เป็นหลักในการสร้างนิสัยดี จึงอยู่ที่การใช้ ติพิจารณาสิ่งที่เราทำซ้ำๆ บ่อยๆ อยู่เป็นประจำทุกวันอย่างแยบ คายพิจารณาทบทวนไปมา ด้วยหลักเหตุผลว่าสิ่งใดดีไม่ดีสิ่งใดควรไม่ควรสิ่งใดยังกุศลให้เกิดขึ้นสิ่งใดยังอกุศลให้เสื่อมไป เมื่อได้ประจักษ์แก่ใจตนแล้ว ก็หักดิบเลิกทำสิ่งที่ไม่ดี เลิกพฤติกรรมที่ไม่ดีให้เด็ดขาด เลือกทำเฉพาะสิ่งที่ถูกต้องดีงาม และมีคุณประโยชน์ โดยเริ่มตั้งแต่คิดดี พูดดี และทำดี อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เกี่ยวกับเรื่องกิจวัตรประจำวันก่อน แล้วตามมาด้วยงานอาชีพ


5. วิธีสร้างนิสัยดีอย่างถาวร
     การที่คนเราจะสามารถดำรงรักษานิสัยดีของตนให้ถาวรสืบไป เพื่อป้องกันไม่ให้กรรมชั่วเดิมที่หักดิบแล้วย้อนกลับมากำเริบขึ้นอีก เพื่อป้องกันไม่ให้กรรมชั่วชนิดใหม่ล่วงล้ำเข้ามา ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างนิสัยดีใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น พร้อมทั้งพันานิสัยที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกควรยึดหลักปฏิบัติดังนี้

       1. อยู่ให้ห่างจากคนไม่ดีบุคคลรอบข้างตัวเรา ถ้าคนใดมีนิสัยไม่ดี เราต้องถอยให้ห่างไกลเพราะโอกาสที่เราจะถูกยั่วยุ เย้ายวน ชักจูงให้เข้าร่วมทำกรรมชั่วตามเขา มีอยู่เสมอ

     2. หมั่นเข้าใกล้คนดีบุคคลรอบข้างตัวเรา ถ้าคนใดมีนิสัยดี เคยช่วยให้เราหักดิบเลิกขาดจากกรรมชั่วได้ หรือมีข้อคิดดีๆ มีพฤติกรรมดีงามที่เราควรยึดถือเป็นแบบอย่างได้ พึงหมั่นเข้าไปคบหาให้ใกล้ชิดอยู่เสมอ เพราะนอกจากเราจะได้โอกาสซึมซับคุณธรรมความดีจากท่านเหล่านั้นแล้ว เรายังจะเกิดกำลังใจ กำลังความกำลังสติปัญญาที่จะต่อสู้ หักดิบเลิกนิสัยไม่ดีของเราได้อย่างเด็ดขาด และสามารถสร้างนิสัยดีให้เกิดขึ้นอย่างถาวรอีกด้วย

     3. หมั่นทำสมาธิให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ยิ่งทำสมาธิได้มากเท่าใด  ผู้ปฏิบัติก็จะเกิดกำลังใจและกำลังปัญญา ในการสั่งสมคุณความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป พร้อมทั้งหาวิธีคุ้มครองป้องกันตนให้ห่างจากความชั่วได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น


6. นิสัยดีมีอุปการะต่อการรักษาสมดุลโครงสร้างของร่างกาย
         การที่จะรักษาโครงสร้างของร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุลทุกอิริยาบถได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอนั้น ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เราจำต้องสู้สู้ด้วยการเอาชนะกิเลสที่ฝังอยู่ในใจตัวเราเอง

        ในช่วงเริ่มต้นอาจเป็นการยากสำหรับบุคคลส่วนใหญ่ เพราะเป็นการสวนกระแสของกิเลสที่บังคับให้คนเรามีนิสัยติดความสบาย ชอบปล่อยร่างกายตามใจตัวเอง อิริยาบถใดที่ทำให้รู้สึก บายเล็กๆ น้อยๆ แม้รู้ว่าเป็นอิริยาบถที่ผิดก็ไม่ฝนใจเลิก แล้วเลือกทำแต่อิริยาบถที่ถูกต้อง เนื่องจากอิริยาบถที่ถูก หากทำแล้วมักจะเกิดอาการปวดเมื่อยบ้าง รู้สึกไม่ บายบ้างซึ่งเป็นเฉพาะในระยะแรก ต่อภายหลังจากทำเป็นนิสัยได้แล้วก็จะสบายตัวสบายใจ

      ถ้าได้พิจารณาโดยแยบคายก็จะพบว่า ร่างกายของเรามีความเสื่อม ความชรา และความดับไปของสังขารคืบคลานมาอย่างช้าๆ เป็นไปอย่างเงียบๆ ทุกอนุวินาที โดยเราไม่รู้ตัว เพราะเหตุนี้จึงทำให้บุคคลบางกลุ่มหลงประมาทคิดไปว่า การกระทำท่าทางที่ผิดวิธีในอิริยาบถต่างๆ อย่างต่อเนื่อง มาถึงวันนี้ร่างกายของเขาก็ยังแข็งแรงดี ไม่มีความเจ็บป่วยอะไรเกิดขึ้นกับเขาเลยเขาจึงนึกไม่ออกว่าการระวังให้อิริยาบถถูกต้องอยู่เสมอ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเจ็บไข้ได้อย่างไร

      อย่างไรก็ตาม เมื่อใดความเสื่อมของอวัยวะที่เกิดจากการใช้อิริยาบถผิดวิธี ซึ่งสั่งสมมาจนถึงจุดที่อวัยวะนั้นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ความเจ็บป่วยย่อมบังเกิดขึ้นกับบุคคลกลุ่มนี้อย่างแน่นอน และยากที่จะแก้ไขให้คืนกลับมาดีได้

      สำหรับผู้มีปัญญาย่อมตระหนักดีว่าความเสื่อม ความชราและความดับไปของสังขารแม้จะเป็นเรื่องธรรมดาประจำโลก แต่ก็ต้องไม่ไปกระตุ้นให้ความเสื่อม ความชรา และความดับไปของสังขารนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ทั้งยังเชื่อมั่นว่าการปฏิบัติตัวเพื่อรักษาโครงสร้างของร่างกายให้สมดุลอยู่เสมอนั้น เป็นวิธีที่จะช่วยให้ตนมีอายุยืนยาวจนกระทั่งหมดอายุขัยไปตามธรรมชาติ

     ครั้นเมื่อพิจารณาต่อไปอีกก็จะพบว่า ร่างกายนี้เป็นรังแห่งโรคและโรคร้ายเหล่านั้น พร้อมที่จะกำเริบเป็นความเจ็บป่วยได้ตลอดเวลา ผู้มีปัญญาจึงคอยระวังรักษาสุขภาพของตนให้แข็งแรงอยู่เสมอ ระแวงภัยแม้เพียงเล็กน้อย อิริยาบถที่ผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ปล่อยผ่าน เพราะตระหนักว่า อาจส่งผลให้ร่างกายเกิดความเจ็บป่วยได้ในภายหลัง จึงระวังรักษาอิริยาบถต่างๆ ของตนให้ถูกต้องอยู่เสมอ เพราะประจักษ์ชัดในความจริงว่า การปฏิบัติตัวเพื่อรักษาโครงสร้างของร่างกายให้สมดุลอยู่เสมอ ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองสถานเดียว ไม่มีเสื่อมเลยนับตั้งแต่มีสุขภาพแข็งแรง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ มีอายุขัยยืนยาวสามารถใช้ร่างกายนี้สร้างความดีสร้างบารมีได้อย่างเต็มที่ มกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกสติให้อยู่กับตัวตลอดเวลา ย่อมเป็นอุปการะในการปฏิบัติธรรม ให้เข้าถึงธรรมภายในตัวได้โดยง่าย ฯลฯ

     เมื่อนักศึกษาได้พิจารณาเห็นประโยชน์ของการรักษาโครงสร้างของร่างกายให้สมดุลว่าจะทำให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ นักศึกษาก็ต้องหักดิบนิสัยไม่ดี นิสัยตามใจตัวเองให้เด็ดขาด

     ฝึกสติให้มั่นคงและฝนใจรักษาอิริยาบถให้ถูกต้อง หมั่นบริหารร่างกาย ออกกำลังกาย ซ้ำๆ บ่อยๆ ให้เกิดเป็นความเคยชินถึงขั้นที่ยามใดไม่ได้ทำก็จะรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างขาดหายไปหรือรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่ได้ทำ เมื่อใดที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้ ย่อมแสดงว่า การปฏิบัตินั้นได้เกิดเป็นนิสัยแล้ว

      นิสัยการรักษาสุขภาพเช่นนี้ จะคงอยู่ถาวรได้ต่อเมื่อเรามีกำลังใจมั่นคง คบหากัลยาณมิตรที่คอยชักชวน ให้คำชี้แนะ ให้กำลังใจ เป็นต้นแบบที่ดีซึ่งกันและกัน ที่สำคัญตัวเราเองต้องหมั่นนั่งสมาธิให้ใจผ่องใสอยู่เสมอ กำลังใจที่สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยตนเองจากสมาธินี้จึงเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอไม่ขาดสาย

     ยิ่งไปกว่านั้น ยามใดที่เราเจ็บป่วยมีทุกขเวทนาแรงกล้า ใจที่ฝึกดีแล้วเป็นสมาธิมั่นคงย่อมสามารถบำบัดรักษาโรคให้ทุกขเวทนาทุเลาเบาบางลง หรือหายขาดได้เป็นอัศจรรย์เหนือการคาดคะเน

      ดังมีตัวอย่างปรากฏในพระไตรปิฎก ในพระสูตรชื่อ "คิริมานันทสูตร" ว่า พระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อ คิริมานนท์ ท่านอาพาธเป็นไข้หนักได้รับทุกขเวทนามาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งพระอานนท์ให้ไปเยี่ยมพระคิริมานนท์แทนพระองค์ และทรงอธิบายขยายความ "สัญญา 10 ประการ" ให้แก่พระอานนท์โดยพิสดาร พร้อมทั้งทรงยืนยันว่า เมื่อพระคิริมานนท์ได้ฟังพระธรรมเทศนานี้แล้ว อาการอาพาธของท่านก็จะสงบลงทันที

       ครั้นเมื่อพระคิริมานนท์ได้ฟังสัญญา 10 ประการ จากพระอานนท์จบลงจึงฉุกคิดได้ทันทีว่า ตนกำลังได้รับการเตือนสติจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงรีบรวมใจให้เป็นสมาธิทันทีครั้นแล้วอาการอาพาธของท่านก็สงบลงอย่างฉับพลัน ไม่ต้องทนทุกขเวทนาต่อไปอีก

        ใจที่ฝึกสมาธิดีแล้ว ย่อมผ่องใสแม้ในเวลาที่ต้องละสังขารจากโลก ย่อมมีสุคติเป็นที่ไปดังพุทธพจน์ที่ว่า

"จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา
เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป"

       ท้ายที่สุดนี้ นักศึกษาคงได้เห็นแล้วว่า การฝึกตนให้มีนิสัยดี นอกจากจะช่วยให้สามารถเอาชนะกิเลสในใจตนเองได้แล้ว ยังจะเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมให้นักศึกษาสามารถ รักษาสมดุลโครงสร้างของร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลให้นักศึกษามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ร่างกายที่มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์นี้จะเป็นอุปการะที่สำคัญต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมภายในตัวได้โดยง่ายธรรมภายในตัว คือที่พึ่งอันปลอดภัยของคนเรา ใครก็ตามที่เข้าถึงธรรมภายในตนเองอย่างมั่นคงย่อมประสบสันติสุขอันไพบูลย์ ขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็จะอยู่เป็นสุขอย่างแท้จริง เมื่อถึงคราวที่ต้องละโลกย่อมมีสุคติเป็นที่ไป ครั้นเมื่อใดบารมีเต็มเปียมสามารถขจัดกิเล ในตัวได้หมดสิ้นย่อมบรรลุมรรคผลนิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งปวงโดยไม่ยากเลย
 

การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปของสรรพชีวิตทั้งปวงเป็นเรื่องประจำโลก
เมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ด้วยการสร้างคุณความดีและการแสวงหาหนทางสู่พระนิพพาน
ดังนั้น ร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยจึงมีคุณค่าประเสริฐอย่างยิ่ง
ความสมดุลโครงสร้างของร่างกาย
มีส่วนสำคัญยิ่งในการช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง
ดังนั้น จึงต้องหมั่นรักษาสติให้ตั้งมั่น
เพื่อให้สามารถควบคุมภาวะสมดุลของร่างกายไว้เสมอ
สติจะตั้งมั่นได้ ต้องหมั่นฝึกควบคุมใจให้หยุดนิ่งด้วยการทำสมาธิ
ควบคู่ไปกับกิจวัตร กิจกรรม ทุกอิริยาบถ จนเป็นนิสัย

 

*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ GB 410 การรักษาสุขภาพตามพุทธวิธี
กลุ่มวิชาความรู้ทั่วไปทางพระพุทธศาสนา

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010240157445272 Mins