เหตุการณ์สำคัญบางตอนในพระพุทธกิจทั่วไป (ตอนที่ ๒ )

วันที่ 02 กค. พ.ศ.2547

 

 

.....ทรงระงับข้อพิพาทระหว่างเหล่าภิกษุสงฆ์ที่กรุงโกสัมพี

แม้พระพุทธเจ้าของเราจะมีพระพุทธานุภาพมากเพียงใดก็ตาม แต่บางเรื่องก็ต้องปล่อยไปตามแต่อำนาจกิเลสของคนเหล่านั้น เช่น พระเทวทัต พระเจ้าสุปปพุทธะ ซึ่งถูกแผ่นดินสูบทั้งสองคน

หรืออย่างเรื่องการทะเลาะวิวาทของเหล่าภิกษุชาวเมืองโกสัมพีก็เช่นเดียวกัน ภิกษุผู้เป็นอาจารย์ทางฝ่ายพระนักเทศน์เข้าวัจจกุฎี (ส้วม) ใช้น้ำในภาชนะไม่หมด ไม่เทคืน แล้วหงายภาชนะไว้ อาจารย์ฝ่ายพระวินัย(พวกรักษาศีลเคร่งครัด) เข้าไปพบเข้า ออกมาต่อว่า ว่าผิดวินัย

อาจารย์ฝ่ายนักเทศน์ชี้แจงว่า ตนไม่ทราบ บัดนี้ทราบแล้วต่อไปจะไม่ทำอีก อาจารย์ฝ่ายพระวินัยตอบว่า เมื่อไม่ทราบก็ไม่ผิด ต่างฝ่ายต่างแยกกันไป แต่อาจารย์ฝ่ายพระวินัยอดไม่ได้ นำเรื่องไปเล่าให้ลูกศิษย์ของตนทราบ ฝ่ายลูกศิษย์ก็นำไปกล่าวเยาะเย้ยลูกศิษย์พระนักเทศน์ว่าวินัยเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่รู้ เมื่อความทราบถึงอาจารย์ฝ่ายพระนักเทศน์ก็บันดาลโทสะและต่างเพ่งโทษซึ่งกันและกัน จึงเกิดการทะเลาะวิวาทบานปลายกันใหญ่โต แตกแยกกันไปหมดทั้งเมือง ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ประชาชน จนตลอดเทวโลก และพรหมโลก

พระบรมศาสดาทรงทราบข่าว ได้ส่งคณะสงฆ์มาทำการไกล่เกลี่ยหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ แม้พระองค์เสด็จมาเองก็ทรงแก้ปัญหาไม่ได้ ไม่มีผู้ใดยอมฟัง กลับพูดจาไม่เคารพยำเกรงว่า ขอให้พระองค์ทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อยเถิด หมายถึงพูดทำนองว่า อยู่เฉยๆ เถิด ธุระไม่ใช่ พวกเขาอยากทะเลาะกัน พระองค์ทรงเห็นว่าสาวกดื้อรั้น จึงทรงปลีกตัวเสด็จตามลำพัง ไปอาศัยอยู่ในป่าเรไลยก์

ที่นั่นมีช้างเผือกหนึ่งเบื่อโขลง หนีออกมาอยู่ตามลำพัง เห็นพระบรมศาสดาก็บังเกิดความเสื่อมใส จึงเข้ามาปรนนิบัติต่างๆ นับตั้งแต่ใช้งวงถือกิ่งไม้ปัดกวาดทำความสะอาดที่พัก กลางคืนอยู่ยามป้องกันสัตว์ร้าย ตอนเช้าเข้าป่าหาผลไม้มาถวาย ตอนเย็นต้มน้ำให้สรงโดยใช้งวงสูบน้ำใส่แอ่งหินที่กลางวันมีแดดส่องจนร้อนจัด หรือมิฉะนั้นก็เอากิ่งไม้เขี่ยหินที่เผาไฟร้อนลงในแอ่งน้ำ

ส่วนลิงน้อยตัวหนึ่ง ออกมาอยู่นอกฝูงตามลำพัง เห็นช้างปรนนิบัติพระบรมศาสดา มีความพอใจใคร่ทำตามอย่าง จึงไปหักรวงผึ้งทั้งรวงมาถวาย พระองค์ทรงรับไว้ แต่ไม่ทรงฉัน ลิงพิจารณาดูเห็นตัวผึ้งอ่อนติดอยู่ จึงหยิบออกเสีย แล้วถวายใหม่เฉพาะที่เป็นส่วนน้ำผึ้ง ทรงรับแล้วเสวย ลิงดีใจกระโดดโลดเต้นพลัดตกกิ่งไม้ตาย ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

พระบรมศาสดาทรงจำพรรษาอยู่ ณ ป่าปาเรไลยก์นี้ตลอดพรรษา ฝ่ายในเมืองโกสัมพี เมื่อการทะเลาะวิวาทแผ่ไปกว้างขวาง จนเป็นที่เบื่อหน่ายของประชาชน อีกทั้งชาวเมืองทราบเรื่องที่เหล่าภิกษุดื้อดึงต่อพระพุทธเจ้า ทำให้พระองค์ต้องเสด็จไปหลีกเร้นอยู่ในป่า ชาวเมืองไม่มีโอกาสเข้าเฝ้า จึงพากันโกรธเคืองภิกษุเหล่านั้นพากันไม่ถวายอาหารบิณฑบาต ทำให้ภิกษุทั้งหลายอดอยากไปทั่วทั้งสองฝ่าย เมื่อต้องหิวโหย ทิฏฐิมานะก็ลดลง หันหน้าเข้าปรึกษาหารือกัน ยอมรับผิดทั้งสองฝ่าย แต่ชาวเมืองไม่ยอมให้อภัย ให้นำพระบรมศาสดาคืนมา

เหล่าภิกษุเมืองโกสัมพีจึงวิงวอนให้พระอานนท์ไปเฝ้าพระบรมศาสดา เพื่อกราบทูลให้ยกโทษ เมื่อพระอานนท์เดินทางไปถึง ช้างปาเรไลยก์เห็นแต่ไกล เข้าใจว่าจะมาทำอันตราย จึงเตรียมวิ่งเข้าไปทำร้าย พระบรมศาสดาตรัสห้ามไว้ ช้างฟังแล้วเข้าใจจึงคอยทีอยู่ แต่เมื่อเห็นพระอานนท์แสดงความเคารพเป็นอย่างยิ่ง ช้างจึงคิดเป็นมิตรด้วย พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้เหล่าภิกษุเมืองโกสัมพีเข้าเฝ้า ช้างจึงมีโอกาสหาผลไม้มาถวายเหล่าภิกษุ

เมื่อพระบรมศาสดาทรงรับการขมาโทษจากเหล่าภิกษุชาวเมืองโกสัมพีแล้ว ต้องทรงกลับออกจากป่าเพื่อแสดงพระธรรมเทศนาโปรดมหาชนต่อ ช้างเดินทางตามมาด้วย พอเข้าเขตหมู่บ้าน พระองค์ตรัสให้ช้างกลับเข้าป่าตามเดิม เพราะมาใกล้แดนมนุษย์มีอันตรายมาก ช้างยืนนิ่งส่งด้วยความเสียใจ เมื่อพระบรมศาสดาและเหล่าภิกษุจากไปลับตา หัวใจของช้างป่าเรไลยก์ก็แตกสลายตายไปบังเกิดในสวรรค์

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010195334752401 Mins