มโหสถบัณฑิตตอนที่๑๑ (สนองราชกิจ)

วันที่ 17 มค. พ.ศ.2550

 

.....การปฏิบัติธรรมเป็นหัวใจในการสร้างบารมี ใครอยากจะประสบความสำเร็จ ในการปฏิบัติธรรม ก็อย่าดูเบาในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของท่านั่ง การหลับตา หรือการทำใจให้สบายๆ ให้ปลอดโปร่ง ปลดปล่อยวางจากภารกิจการงาน ต่าง ๆ เป็นต้น โดยเฉพาะเรื่องปลิโพธความกังวลใจในชีวิตประจำวัน

 

.....เรื่องการทำ มาหากิน ครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย การศึกษาเล่าเรียน หรือแม้แต่การเดินทาง ปลิโพธ แปลว่า เครื่องกังวลใจ ใครที่มัววิตกกังวลกับเรื่องเหล่านี้ในเวลาปฏิบัติธรรม ใจจะหาความสงบได้ยาก ให้พวกเราทุกคนปรับปรุงพื้นฐานเหล่านี้ให้ถูกวิธี แล้วทำให้ชำนาญ การปฏิบัติธรรมนับเป็นกรณียกิจอันสูงสุด เป็นสาระสำคัญของชีวิตเรา เราต้องฝึกฝนอบรมให้ดี หมั่นพัฒนาแก้ไขไปเรื่อย ๆ การปฏิบัติธรรมของเรา ย่อมจะก้าวหน้า จะประสบความสำเร็จ ได้เข้าถึงธรรมกายกันทุก ๆ คน

มีวาระพระบาลีใน ขุททกนิกาย เตสกุณชาดกว่า

 

“ปญฺา สุตวินิจฺฉินี ปญฺา สิโลกวฑฺฒนี

ปญฺาสหิโต นโร อิธ ทุกฺเข สุขานิ วินฺทติ

 

.....ปัญญาเป็นเครื่องวินิจฉัยข้อความที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา ปัญญาเป็นเครื่อง เพิ่มพูนเกียรติคุณ และชื่อเสียง นรชนในโลกนี้ ประกอบด้วยปัญญาแล้ว ย่อมหา ความสุขได้ แม้ในท่ามกลางความทุกข์ที่เกิดขึ้น”

 

.....การจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขและปลอดภัย ต้องเป็นผู้ ที่เฉลียวฉลาด มีสติปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน คนฉลาดมากจะปกครองคนฉลาดน้อย ถ้าหากไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่น หรือไม่มีปัญญาความสามารถ จะประกอบอาชีพ ธุรกิจการงานใดก็จะหาความสำเร็จได้ยาก ยิ่งในภาวะปัจจุบันนี้ ถือกันว่า ปัญญา เป็นเครื่องวัดคุณภาพของประชากร ประเทศชาติใดที่หวังความเจริญรุ่งเรือง จำเป็นต้องมีบุคลากรผู้มีสติปัญญา ที่รู้จักศึกษาหาความรู้ใส่ตัว ปัญญาเป็นรัตนะ ของนรชน เป็นสิ่งที่จะช่วยอำนวยประโยชน์สุขมาสู่ตนและเพื่อนมนุษย์

 

.....*ครั้งนี้มีตัวอย่างเกี่ยวกับความเป็นผู้มีปัญญาของมโหสถ มาให้พวกเรา ได้ศึกษากันอีกเช่นเคย มโหสถบัณฑิตเป็นผู้มีดวงปัญญาเป็นเลิศยิ่งกว่า ใครในยุคสมัยนั้น ท่านได้อาศัยความมีปัญญามาก เข้ารับตำแหน่งบัณฑิต ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของพระเจ้าวิเทหราช ยิ่งเมื่อท่านได้เข้ารับตำแหน่งบัณฑิต ในราชสำนักแล้ว ก็ยิ่งได้ฉายแววแห่งความเป็นปราชญ์มากขึ้น ดังเช่นวันหนึ่ง มหาชนเห็นเงาของแก้วมณีเปล่งแสงสว่างไสวอยู่ในสระโบกขรณี จนเป็นที่อัศจรรย์ ของมหาชนที่ลงไปอาบน้ำ

(*มก. มโหสถบัณฑิต เล่ม ๖๓ หน้า ๓๕๖)

 

.....เมื่อทุกคนมั่นใจว่า ในบริเวณนั้นต้องมีแก้วมณีอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ทราบว่า อยู่ตรงไหน จึงกราบทูลพระราชาว่า มีแก้วมณีอยู่ในสระโบกขรณี พระราชาทรงเรียก เสนกะมาตรัสถามว่า “ท่านอาจารย์ ได้ยินว่ามีมณีรัตนะอยู่ในสระโบกขรณี ทำอย่างไร จึงจะนำแก้วมณีนั้นขึ้นมาได้” เสนกะทูลว่า “ไม่ยากเลยพระเจ้าข้า ควรให้ทหารช่วย กันวิดน้ำออกจากสระโบกขรณีจนหมด จะได้แก้วมณีตามพระราชประสงค์อย่างแน่นอน พระเจ้าข้า”

 

.....พระราชาทรงสดับ แล้วรับสั่งให้เสนกะเป็นหัวหน้าในการวิดน้ำออกจากสระให้ หมด แต่ถึงแม้จะวิดน้ำจนหมดถึงพื้นแล้ว ก็ยังไม่พบแก้วมณี จึงให้เติมน้ำเข้าสระจนเต็ม เมื่อน้ำเต็มสระโบกขรณี ความแวววาวของแก้วมณีก็ปรากฏอีก เสนกะอุตส่าห์ให้วิดน้ำ ออกอีก ขุดลงไปจนถึงดินดาน ทำเช่นนี้ถึง ๓ ครั้ง ก็ยังไม่พบแก้วมณี ทำให้เหนื่อยอ่อน ไปตามๆ กัน หมดหวังในแก้วมณีดวงนั้น

 

.....พระราชาทรงเห็นไม่เป็นผล จึงตรัสเรียกมโหสถ บัณฑิตมาเข้าเฝ้า และทรงเล่า เรื่องแก้วมณีพลางตรัสถามว่า จะนำแก้วมณีขึ้นมาได้หรือไม่ มโหสถกราบทูลว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท เรื่องนี้หาเป็นการหนักหนาอะไรไม่ ข้าพระองค์จัก นำแก้วมณีมาถวายตามราชประสงค์เองพระเจ้าข้า” พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับดังนั้น ทรงเบาพระทัยคิดว่า วันนี้เราจักเห็นกำลังปัญญาของมโหสถบัณฑิต จึงเสด็จไปสู่ สระโบกขรณีพร้อมด้วยข้าราชบริพาร

 

.....มโหสถบัณฑิตยืนอยู่ที่ฝั่ง มองดูแสงของแก้วมณีก็รู้ว่า แก้วมณีนี้ไม่ได้อยู่ในสระ โบกขรณี เพราะเห็นเพียงประกายวูบวาบเท่านั้น ครั้นตรวจตราดูรอบ ๆ เห็นต้นตาล ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ใกล้ ๆ สระ จึงมีความมั่นใจว่าดวงแก้วมณีนี้จะต้องอยู่บนต้นตาล จึงกราบทูลว่า “แก้วมณีไม่มีในสระโบกขรณี พระเจ้าข้า”

 

.....พระราชาทรงสดับเช่นนั้น ยังไม่ทรงเชื่อนัก เพราะความเห็นของมโหสถ กับของท่านอาจารย์เสนกะดูต่างกันเหลือเกิน มโหสถจึงให้นำภาชนะสำหรับขังน้ำมา ใส่น้ำจนเต็ม แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ทอดพระเนตรดูเถิด แสงของแก้วมณีไม่ได้ปรากฏเฉพาะในสระโบกขรณีเพียงแห่งเดียว แม้ในภาชนะนี้ ก็ปรากฏเช่นกัน แสดงว่าแก้วมณีไม่ได้อยู่ในสระโบกขรณี แต่อยู่ในรังกาบนต้นตาล โปรดให้ราชบุรุษขึ้นไปนำลงมาเถิด พระเจ้าข้า”

 

.....เมื่อราชบุรุษขึ้นไปบนต้นไม้ ได้พบดวงแก้วมณีอยู่ในรังกา ตามที่มโหสถบัณฑิต บอกไว้จริงๆ พระราชาทรงชื่นชมโสมนัสมาก ถึงกับพระราชทานสร้อยมุกดาหาร เครื่องประดับพระศอ ของพระองค์ให้มโหสถ พร้อมทั้งพระราชทานสร้อยมุกดามากมาย ให้กับเด็กผู้เป็นบริวารของมโหสถ เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ชื่อเสียงของมโหสถ เริ่มเป็นที่ประจักษ์ต่อมหาชนกันถ้วนหน้า ว่าเป็นผู้มีปัญญาเลิศกว่าท่านอาจารย์เสนกะ มากมายนัก

 

.....วันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปพระราชอุทยานพร้อมด้วยมโหสถบัณฑิต มีกิ้งก่าตัวหนึ่งอยู่ที่ต้นไม้ มันเห็นพระราชาเสด็จมา ก็ลงจากต้นไม้หมอบอยู่ที่พื้นดิน พระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยาของกิ้งก่าแล้วอดสงสัยไม่ได้ จึงตรัสถาม มโหสถบัณฑิต ครั้นทรงทราบว่า กิ้งก่าตัวนี้ลงมาถวายความนอบน้อม จงรักภักดี ต่อพระองค์ จึงมีพระเมตตาอยากมอบของที่ระลึกให้มัน มโหสถกราบทูลแนะนำว่า ควรจะให้มันได้กินเนื้อเป็นประจำทุกวัน สมกับที่มันมีความเคารพนอบน้อม ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา กิ้งก่าจึงได้กินเนื้ออย่างดีมีราคาถึงครึ่งมาสก เมื่อถึงวันอุโบสถซึ่งชาวเมือง ไม่ฆ่าสัตว์ ราชบุรุษหาเนื้อไม่ได้ จึงเจาะเหรียญครึ่งมาสก เอาด้ายร้อยผูก เป็นเครื่องประดับที่คอมัน

 

.....เมื่อกิ้งก่าได้เหรียญแค่ครึ่งมาสกเท่านั้น ก็ทำตัวประหนึ่ง ว่ามีสมบัติมากมาย เกิดอาการเย่อหยิ่งพองตัว ครั้นพระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน กิ้งก่าก็ทำตน เสมอพระราชา ไม่ลงจากต้นไม้มาแสดงคารวะเช่นเคย แต่ยกหัวร่อนไปร่อนมา อยู่บนต้นไม้ พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นกิริยาของมัน จึงตรัสถามมโหสถ บัณฑิตว่า ทำไมเจ้ากิ้งก่าจึงมีกิริยาแตกต่างจากวันที่ผ่านมา มโหสถรู้ว่า ในวันอุโบสถคนจะไม่ฆ่าสัตว์ ราชบุรุษได้ให้ทรัพย์ครึ่งมาสกแก่เจ้ากิ้งก่า ด้วยทรัพย์เพียงแค่ครึ่งมาสกที่ราชบุรุษผูกไว้ที่คอ มันจึงถือตัวและแสดงอาการดังกล่าว

 

.....เมื่อพระราชาตรัสเรียกราชบุรุษมาตรัสถามว่า เป็นอย่างที่มโหสถกล่าวหรือไม่ ก็ได้รับคำยืนยันว่าเป็นจริงตามนั้น ทำให้พระราชาทรงเลื่อมใสในมโหสถมากยิ่งขึ้น จึงพระราชทานส่วยที่ประตูทั้งสี่แก่มโหสถ แต่ก็ทรงกริ้วกิ้งก่ามากที่บังอาจ มาทำตนเสมอพระองค์ ทรงปรารภจะให้ฆ่าเสีย อาศัยมโหสถทูลทัดทานไว้ว่า “ธรรมดาสัตว์เดรัจฉานหาปัญญามิได้ ขอพระองค์โปรดยกโทษให้มันเถิด เพราะความเมตตาเป็นคุณธรรม ที่พระองค์ควรจะธำรงไว้แม้ในสัตว์เดรัจฉาน” พระราชาสดับแล้ว ทรงมีพระทัยอ่อนโยน จึงไม่สั่งฆ่าตามคำทูลแนะนำของมโหสถ

 

.....นี่เป็นอีกตอนหนึ่งของการแสดงปัญญาอันเฉียบแหลมของมโหสถบัณฑิต เราจะเห็นได้ว่า นอกจากท่านจะเป็นคนมีปัญญาแล้ว ยังมีปฏิภาณเป็นยอด ช่างสังเกตเป็นเยี่ยม ปัญญาเป็นเครื่องตัดสินความรู้ และความสามารถที่ได้เล่าเรียนมา พวกเราทุกคนต้องหมั่นแสวงหาปัญญา ให้รู้จักนำความรู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาทั้งใน และนอกห้องเรียนมาใช้ประโยชน์ให้ได้อย่างเต็มที่ จะได้ชื่อว่ามีทั้งศาสตร์และศิลป์ ปัญญายังช่วยเพิ่มพูนเกียรติยศชื่อเสียง ทำให้เป็นที่ยอมรับอีกด้วย การเจริญสมาธิ ภาวนา จะช่วยให้ปัญญาเราบริบูรณ์ขึ้น ฉะนั้นให้หมั่นเจริญสมาธิภาวนาให้ได้ทุก ๆ วัน

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0090030829111735 Mins