โอวาทและ บุญกิริยาวัตถุ ๓

วันที่ 03 กค. พ.ศ.2562

โอวาทและ บุญกิริยาวัตถุ ๓

           พวกเราได้เรียนจากพุทธประวัติแล้วว่า ในวันมาฆบูชา  พระพุทธองค์ได้ทรงสรุปหลักพระพุทธศาสนาให้แก่เหล่าพระอรหันต์ สาวก ๑๒๕๐ รูป ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต ทรงสั่งสอนเรื่องเดียวคือเรื่องกรรม ประกอบด้วยเรื่องของ กรรมดี กับ กรรมชั่ว หรือเรื่องของ บุญ กับ บาป
หลักการสร้างกรรมดีนั้น มีอยู่ ๓ ประการ
๑. หมั่นหักห้ามใจไม่ให้คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ทุกๆ ชนิด
๒. หมั่นทำแต่ความดีทุกวันให้เต็มที่
๓. หมั่นรักษาใจให้มีความผ่องใสอยู่เป็นประจำ

 

            หลักการสร้างกรรมดีทั้ง ๓ ประการนี้ เรียกว่า โอวาท ๓ ประการ ส่วนว่าเมื่อใครตั้งใจสร้างกรรมดีไปแล้ว สิ่งที่เกิดตามมา หรือ ผลของกรรมดี คือ บุญ และแน่นอนถ้าใครสร้างกรรมชั่ว ผลของกรรมชั่ว คือ บาป

            พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้ทำกรรมชั่ว หรือทำบาป เพราะทรงทราบดีว่า ผลของกรรมชั่ว คือ บาป แม้เพียงนิดเดียวก็ทำให้เป็นทุกข์ได้
 

วิธีสร้างกรรมดีก็มีอยู่ ๓ ประการ ทรงเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๓ ได้แก่ การทำทาน การรักษาคืล การเจริญภาวนา ซึ่งชาวพุทธมักนิยมเรียกว่า การทำบุญ
 

           ในการทำบุญตามหลักพระพุทธศาสนานี้ เรื่องใหญ่ที่ชาวโลก มีความสงสัยกันมาก ก็คือ บุญคืออะไร
บุญ คือ ธรรมชาติบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นในใจมนุษย์ทุกครั้งที่ลงมือสร้างกรรมดี คือ
๑. หักห้ามใจไม่ให้คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว
๒. ดั้งใจคิดดี พูดดี และทำดี
๓. หมั่นทำใจให้ผ่องใส

 

เพราะฉะนั้น เมื่อเชื่อมโยงเรื่องโอวาท ๓ ประการ กับ บุญฺกิริยาวัตถุ ๓ นี้ เข้าด้วยกันได้แล้ว เราก็สามารถสรุปได้ข้ดเจนว่า ทั้งสองเรื่องนี้คือเรื่องเดียวกันคือการละชั่ว ทำความดี และ กลั่นใจให้ผ่องใสเป็นเรื่องหลักการทำบุญ ส่วนทาน คืล ภาวนา เป็นวิธีทำบุญ
 

นั่นก็หมายความว่า เรื่องใหญ่ที่พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ไม่ว่าจะมีกี่อสงไขยพระองค์ก็ตาม ทุกๆ พระองค์ทรงสั่งสอนแต่เรื่องการลั่งสมบุญ อย่างสุดชีวิตของพระองค์ซึ่งเรียกว่าอีกอย่างว่า กุศลกรรม

 

และแน่นอนว่า ในทางตรงกันข้ามก็เท่ากับพระองค์สอนเรื่อง การไม่ทำบาป หรือ การไม่ทำอกุศลกรรม ไปด้วยในตัว คราวนี้เมื่อเราตั้งใจละชั่ว ท่าความดี กลั่นใจให้ผ่องใส ผ่านบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทำทาน รักษาคืล ภาวนาอย่างเต็มที่เป็นประจำทุกวันๆ แล้ว


ถามว่าสิ่งที่เราได้นอกเหนือจากบุญคืออะไร
 

                สิ่งที่เราได้ไปด้วยกันกับบุญ ก็คือ การถางกิเลสออกจากใจ แต่เนื่องจาก กิเลสไม่ได้เพิ่งมาเกิดในใจของเราเป็นชาตินี้ชาติแรก แต่กิเลสมันหมักดองเน่าเหม็นอยูในใจเรามานับภพนับชาติไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น ถ้าจะอุปมาว่าใจของเราเหมือนกับอะไร ก็ต้องบอกว่า ใจของเราอุปมาก็เหมือนอย่างกับปลาร้าค้างปีที่หมักจนกระทั่งเหม็นเน่าหึ่ง
 

                เรามาบวชหนึ่งพรรษานี่ ความเหม็นเน่าในใจ เพิ่งลดลงไปได้ นิดหน่อยเท่านั้นเอง อย่าคิดว่าได้อะไรไปมาก เพิ่งถางทางไปพระนิพพานได้ไม่เท่าไหร่ เพราะกิเลสมันหมักหมมอยูในใจมานาน ก็ต้องตั้งใจแก้ไขตนเองฝึกฝนตนเองผ่านการสั่งสมบุญให้เต็มที่กันต่อไปนะ
 

               กิเลสที่หมักดองอยูในใจมานานเวลามันแสดงความเน่าเหม็นออกมานั้น มันจะแสดงออกให้ชาวโลกเห็นทางนิสัยไม่ดีต่างๆ ของเรา  เราจำเป็นต้องก็แกัไขกำจัดความเน่าเหม็นของมันด้วยการฝึก มรรคมีองค์ ๘ เข้าไปให้เต็มที่

 

              เพราะมรรคมีองค์ ๘ แต่ละข้อก็คือ การละชั่ว ท่าความดี กลั่นใจให้ผ่องใส นั่นเอง  ดังนั้น มรรคมีองค์ ๘ ก็คือ กุศลกรรม ซึ่งโดยย่อก็คือ คีล สมาธิ ปัญญา

 

สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็คือ คืล
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็คือ สมาธิ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ก็คือ ปัญญา


เมื่อเราฝึกมรรคมีองค์ ๘ได้มากเท่าไหร่ นอกเหนือจากบุญที่ได้รับแล้ว ผลที่ได้จากการถางกิเลสออกจากใจอีกอย่างก็คือ นิสัยดีๆ  โดยเฉพาะนิสัยขันติ คือ นิสัยทรหดอดทนต่อการต่อสู้และกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป

 

                    เมื่อเรามีความทรหดอดทนในการถางกิเลสออกจากใจอย่างนี้การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ย่อมก้าวหน้าขึ้นไปทุกวันๆ ความเน่าเหม็น ของกิเลสที่ส่งกลิ่นออกมาภายนอกผ่านทางนิสัย ก็จะลดน้อยถอยลง
ไปทุกวันๆ บุญย่อมเกิดเป็นสายต่อเนื่องกันไปทุกวัน

 

                    เมื่อบุญเกิดต่อเนื่องได้มากใจย่อมมีความผ่องใสได้มาก เมื่อถึงคราวลงมือปฏิบัติธรรม ใจที่มีความผ่องใสอยู่มาก ย่อมหยุดนิ่งเป็นสมาธิได้เร็ว ความสว่างภายในย่อมเกิดขึ้นมาตามลำดับๆในที่สุดแล้ว ย่อมมองเห็นใจของตัวเอง

 

                  ปกติแล้ว ใจที่อาศัยอยู่ในกายของเรานี้ มันชอบคิดเที่ยวไป  พระพุทธองค์ตรัสว่า การมองเห็นใจได้เป็นเรื่องยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถมองเห็น

 

                   ผู้ที่สามารถมองเห็นใจได้ คือ ผู้ที่มีกิเลส,น้อย และผู้ที่มีกิเลสน้อย บุญย่อมเกิดเป็นสายได้มากใจย่อมมีความผ่องใสอยู่มาก เมื่อลงมือทำภาวนา ใจก็หยุดนิ่งเป็นสมาธิได้เร็ว
 

                  ในที่สุดแล้ว ความสว่างภายในที่สะสมมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ มาตามลำดับจนกระทั่งถึงตอนที่ใจเป็นสมาธิเต็มที่นี้เอง ความสว่างนั้นย่อมสว่างในระดับที่ทำให้มองเห็น ‘‘ใจ” ของตนเอง
 

                   เมื่อความสว่างภายในมากขึ้นไปอีก ก็สามารถมองเห็นธรรมะที่อยู่ในใจได้ชัดเจน แล้วเราก็จะพบว่า ธรรมะที่อยู่ในใจนี้เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เมื่อเข้าถึงแล้วย่อมทำให้ใจเกิดความบริสุทธิ์ผ่องใสตามไปด้วย
 

                   เมื่อเอาใจหยุดนิ่งจรดลงไปในกลางธรรมะที่เห็นนั้นความสว่างภายในก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก ทำให้สามารถเห็นดวงธรรมที่ซ้อนๆ อยู่ในดวงธรรมได้อย่างชัดเจนเพิ่มขึ้นไปอีกตรงนี้เองที่ทำให้เราเริ่มเกิดความ
เข้าใจคำที่พระองค์ตรัสว่า การเห็นธรรมในธรรม

 

                     เมื่อเอาใจหยุดนิ่งลงไปในกลางดวงธรรมที่ซ้อนอยู่ข้างในได้มากเท่าไหร่ กิเลสก็ถูกกำจัดออกไปได้มากเท่านั้น ยิ่งกิเลสถูกกำจัดออกไปได้มากเท่าไหร่ ใจก็สามารถหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมได้มากเท่านั้น
 

                     ในที่สุด เมื่อใจกับธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้สมบูรณ์กิเลส ก็ถูกปราบจนหมดสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เพราะฉะนั้น คนที่จะปราบกิเลสได้ ต้องสามารถมองเห็นใจตัวเองก่อน จึงจะสามารถมองเห็นธรรมะในธรรม แล้วจึงสามารถหลอมใจกับธรรมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวได้ กิเลสจึงถูกขุดรากถอนโคนออกไปได้หมดสิ้น
 

                        ขอให้เราตั้งใจฝึกมรรคมีองค์ ๘ เข้าไป เราฝึกมากเท่าไหร่  นิสัยรังเกียจความชั่ว รักความดี รักการทำใจให้ผ่องใส ย่อมเพิ่มพูน มากขึ้นเท่านั้น
 

                    คนมีนิสัยรังเกียจความชั่ว ก็เหมือนกับคนที่รังเกียจอุจจาระ ซึ่งไม่ว่าอุจจาระจะก้อนเล็กก้อนใหญ่ ก็ไม่ยอมเข้าใกล้ เพราะทำให้มีกลิ่นเหม็นติดตัวได้ทั้งนั้น
 

                    คนมีนิสัยรักความดี คือ คนที่เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นความดี มีโอกาสเป็นต้องทำเต็มที่ เพราะรู้ว่าได้บุญ
 

                     คมมีนิสัยรักการทำใจให้ผ่องใส คือ คนที่หมั่นทำภาวนาให้ใจใสเป็นประจำ จนกระทั่งสามารถเห็นความใสของใจ ผ่านออกมาเป็นความผ่องใสภายนอก คือ ใสจากข้างในจนกระทั่งแผ่ขยายออกมา
ทางหน้าตาผิวพรรณภายนอก

 

                   ใครมีนิสัยรังเกียจความชั่ว นิสัยรักความดี นิสัยรักการทำใจให้ผ่องใสมากเท่าไหร่ ย่อมสามารถฝึกมรรคมีองค์ ๘ ได้ตรงเป้ามากเท่านั้น   โอกาสที่จะบรรลุธรรมย่อมมากขึ้นเท่านั้น
 

                 เพราะฉะนั้น งานที่แท้จริงของทุกคนที่เกิดมาในชาตินี้ ก็คือ เราเกิดมาละชั่ว ทำดี กลั่นใจให้ผ่องใส เราเกิดมาสร้างบุญ เราเกิดมาสร้างกรรมดี  พูดง่ายๆ ก็คือ เราเกิดมาเพื่อขุดรากถอนโคนกิเลสให้หมด
ไปจากใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทรงสอนเหมือนกันอย่างนี้

 

                 แต่ในชีวิตประจำวัน เราไม่ค่อยได้ทำกัน ก็คือ การนั่งสมาธิ

 

                  ถ้านั่งสมาธิถูกส่วนเมื่อไหร่ มรรคมีองค์ ๘ ก็ครบถ้วนเมื่อนั้น ปฏิบัติต่อไปจนกระทั่งวางใจได้ถูกส่วนเมื่อไหร่ ก็มองเห็นใจของตัวเองเมื่อนั้น เมื่อเห็นใจแล้ว ก็เห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมแล้ว จึงเห็นกิเลส
เมื่อเห็นกิเลสแล้ว การถอนรากถอนโคนกิเลส จึงกลายเป็นเรื่องง่ายไป

 

                โดยสรุป ก็คือ การทำสมาธิ ย่อมทำให้มรรคมีองค์ ๘ ครบ ถ้วนได้สมบูรณ์ แล้วใจก็เริ่มเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมมากขึ้นตามลำดับๆ จนกระทั่ง ในที่สุด ใจกับธรรมก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสนิท กิเลสก็ถูกขุดรากถอนโคนอย่างเด็ดขาด ไม่สามารถงอกคืนมาใหม่ได้  ใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมตลอดเวลาอย่างนี้ ก็อุปมาเหมือน ดวงอาทิตย์ที่สว่างไสวค้างฟ้าที่ฆ่าความมืดให้หมดไปจากโลกได้ตลอดกาล

 

พระธรรมเทศนา โดย
พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

จากหนังสือ บวชไม่เสียผ้าเหลีอง สึกไม่เปลืองผ้าหลาย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0015169183413188 Mins