สุชาดาเทพนารี (ตอนที่ 7)

วันที่ 18 พค. พ.ศ.2563


สุชาดาเทพนารี (ตอนที่ 7)

             “ลูกรัก ทำไมจึงยังไม่ยอมออกไปสู่ที่ประชุมเล่า พ่อให้เขามาตามตั้งหลายครั้งแล้ว เจ้าก็ยังนิ่งเฉยอยู่”


            ท้าวเวปจิตติ ตรัสในขณะที่ทรงด่วนดำเนินเข้าไปหาพระธิดา  ซึ่งน้อมองค์ลงบังคมแล้วก้มพักตร์นิ่ง ท้าวเธอจึงทรงประคองให้ลุกขึ้นแล้วให้ประทับอาสนเดียวกัน จุมพิตเหนือนลาฏด้วยเสน่หาสุดซึ้ง  เมื่อมิได้เห็นธิดาทูลตอบประการใด จึงตรัสประโลมว่า


           “ใครๆ ที่ปรารถนาเจ้ามาสู่ขอเจ้าต่อพ่อ พ่อก็ให้เห็นไปว่า เขาเหล่านั้น ไม่คู่ควรกับเจ้าผู้มีรูปโฉมงดงามกว่านางสวรรค์ชั้นใด ๆ  บัดนี้สิ อายุของเจ้าก็สมควรจะมีคู่ครองแล้ว พ่อจึงให้ประชุมอสูรทั้งหลาย เพื่อให้โอกาสแก่เจ้า ที่จะได้เลือกคู่เอาเองตามความพอใจ เจ้ามีข้อขัดข้องสิ่งใดหรือ?”


            “หม่อมฉันยังไม่ปรารถนาที่จะมีคู่ครองเพคะ พระบิดา”

 

             สุชาดาอสุรธิดาทูลตอบเสียงแผ่วเบา มิอาจจะทูลความในใจได้ว่า ทุกทิวาราตรีเหมือนมีเสียงกระซิบบอกนางว่า นางถือกำเนิดมานี้มิใช่เพื่อผู้ใดอื่น นอกจากท้าวสักกะ คู่อริพระบิดานั้นเอง


            “ไม่ได้ดอกลูกรักของพ่อ ธรรมดานารีย่อมมีสวามีเป็นที่พึ่งเจ้าจะฝ่าฝืนกฎนี้ไปได้อย่างไร จงออกไปเลือกดูเถิดลูก” ท้าวเธอตรัสพลาง ลูบหลังธิดาอย่างเอาใจ นางถวายอัญชลี ทูลว่า


            “ได้โปรดเพคะพระบิดา หม่อมฉันยังปรารถนาที่จะได้อยู่ในสำนักพระบิดา ได้ถวายการรับใช้พระบิดาต่อไปเพคะ”


            “อย่าดื้อเลยลูกเอ๋ย พ่อนี้อยากจะได้ปลูกฝังลูกให้มีความสุข มีฐานะสมศักดิ์ศรีเสียแต่เนิ่น ๆ  อนิจจังไม่เที่ยงนะลูก พ่อเองก็ชรามากแล้ว จะหมดบุญไปเมื่อไรก็ไม่รู้เลย”


             พระสุรเสียงของท้าวเธอเครือเศร้า เมื่อรำลึกถึงความหลังที่เตือนพระทัยอยู่เสมอ ครั้งที่เคยเสวยสุขอยู่บนทิพยวิมาน แต่ต้องมาตกอยู่ในภพอสูรด้วยความประมาทมึนเมา


            นางสุชาดาจำต้องอนุโลมตามพระทัยพระบิดา ค่อยเยื้องกรายออกสู่ที่ประชุมด้วยความโทมนัส ด้วยคิดว่าทำไฉนจึงจะล่วงรู้ไปถึงสหัสนัยน์ผู้ที่เธอจงรักอยู่ ให้ทรงมาหาแลรับเธอไปอยู่ด้วย ท้าวสักกะทรงทราบด้วยทิพยสัมผัสว่า นางสุชาดากำลังออกสู่ที่ประชุมเพื่อเลือกคู่ครอง จึงจำแลงเป็นอสูรแก่มาสู่ที่ประชุมนั้นด้วย


           “ครั้นเมื่อนางสุชาดาได้เห็นอสูรชราจำแลง ให้มีดวงจิตปฏิพัทธ์ ด้วยอำนาจบุพเพสันนิวาส ลืมพระบิดา ลืมท้าวสักกเทวราช ลืมความตั้งใจเดิม ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง โยนพวงมาลัยให้แก่อสูรจำแลงนั้น ทันทีท้าวเธอก็รับไว้ได้ ฝ่ายอสูรทั้งปวงก็พากันติเตียนด้วยความเสียใจว่า


           “พระธิดาแห่งนายเรานี้ช่างกระไร เลือกเอาอสูรแก่ๆไม่มีสง่าราศีเป็นสวามี ช่างไม่สมศักดิ์ศรีเสียเลย!”


          “แม้จะไม่เลือกเรา เราก็หาว่ากระไรไม่เลย ถ้านางได้เลือกเอาผู้ที่คู่ควรรับตำแหน่งพระบุตรเขย นี่อะไร เลือกอสูรแก่ช่างน่าทุเรศจริง!”


          “ผู้ชายในภพนี้คงจะไม่มีอีกแล้วละกระมัง จึงเลือกชายเช่นนี้เป็นสวามี”


          “คงเป็นเพราะนางเคยสร้างกรรมหนักมาก จึงได้เห็นผิดเป็นชอบไป”


           เสียงบ่นว่าดังอื้ออึงอยู่ไม่ขาด ท้าวสักกะจึงประกาศว่า


          “เราคือท้าวสักกะ” แล้วจับหัตถ์นางโอบอุ้มพาทะยานขึ้นเหนือนภากาศ บ่ายพักตร์กลับสู่เทวนคร อสูรทั้งปวงเมื่อหายตะลึงแล้ว  ก็พากันเหาะตามพระเทพบดีไปด้วยความคั่งแค้น มาตุลีซึ่งมาคอยรับอยู่ระหว่างทางเมื่อท้าวสักกะเสด็จขึ้นเทวพาหะแล้ว ก็รีบขับรถไปอย่างรวดเร็ว เกิดเสียงกัมปนาทไปทั่ว จนเมื่อเสด็จไปถึงป่าไม้งิ้ว ลูกครุฑพากัน ร้องด้วยความตกใจกลัว ท้าวเธอสดับแล้วตรัสถามว่า


           “มาตุลี นั่นเสียงอะไร?”


          “เสียงลูกนกครุฑพระเจ้าข้า”


          “มันร้องทำไม?”


          “มันได้ยินเสียงรถ กลัวตายจึงร้องพระเจ้าข้า”


           “เพราะเราผู้เดียวเจ้าพวกนี้จึงลำบากอย่าให้มันต้องตายเลย” ดำริแล้วจึงตรัสสั่งว่า


          “มาตุลี กลับรถเถิด”


           “ทำไมพระเจ้าข้า?”

           “อย่าทำให้สัตว์อื่นพลอยลำบากด้วยเราเลย


          “เหล่าอสูรตามใกล้เข้ามาแล้วพระเจ้าข้า จะหนีไม่พ้น สู้เขาก็ไม่ไหว เขามีมากนัก เรามีแต่เพียงสองเท่านั้น”
 

          “ช่างเถิด เราจะสู้ละ ถ้าเราไป สัตว์อื่นจะพลอยตายด้วยเรามาก เป็นบาปเป็นกรรมติดตัวไปเปล่าๆ เราตายแต่เพียงผู้เดียว ดีกว่า”


            มาตุลีเทพจำใจต้องกลับรถ หันไปเผชิญหน้ากับอสูรที่ไล่ตามติดเข้ามาใกล้ทุกที่ๆ


           ฝ่ายอสูรทั้งหลาย เมื่อเห็นดังนั้นก็พากันคิดว่า ท้าวสักกะคงจะได้พรรคพวกมาช่วยจึงได้กล้าหันมาสู้ จึงหันกลับหนีไปโดยเร็ว”


           ท้าวสักกะเทวราชจึงพานางไปยังเทพนคร  ตั้งให้นางเป็นหัวหน้านางอัปสร ๒ โกฏิครึ่ง นางได้ขอพรไว้ว่า


           “ขอเดชะพระมหาราชเจ้า หม่อมฉันสละพระบิดาและพระญาติพระวงศ์มาแต่ลำพัง ไม่มีที่พึ่งอื่น มีแต่พระองค์ผู้เดียวเป็นที่พึ่ง  ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใด ขอได้โปรดนำหม่อมฉันไปด้วยทุกครั้ง”


         “ได้” ท้าวเธอให้อนุมัติ


          ตั้งแต่นั้นมาเหล่าอสูรก็กลัวท้าวสักกะ ไม่กล้ามาย่ำยีเทพนครอีกเลย ท้าวสักกะทรงตั้งอยู่ในความยุติธรรม ให้ความเป็นธรรมแก่เทพบริวารทั้งปวง เทพเสนาทั้งหลายก็มีศีล มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นตั้ง ด้วยเหตุที่ได้เห็นโทษแห่งความประมาทมัวเมาของเหล่าอสูรเจ้าสวรรค์เดิม และได้ถืออานิสงส์แห่งศีลที่ช่วยให้นางสุชาดาพ้นจากดิรัจฉานชาติมา จนได้เสวยทิพยสมบัติในดาวดึงส์สวรรค์นั้นเอง

 

 

จากหนังสือ กำเนิดพระอินทร์  โดย ศิริกุล ศุภวัฒนะ

จัดพิมพ์: ฝ่ายวิชาการ วัดพระธรรมกาย  (มกราคม ๒๕๓๒)

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.014149232705434 Mins