ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้

วันที่ 07 สค. พ.ศ.2563

ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้

                     กุฏิใหม่ของคุณยายเป็นอาคารปูน สร้างคล้ายเรือนปั้นหยา ๒ หลัง มีระเบียงเป็นตัวเชื่อมอาคารให้เดินถึงกันได้ รอบ ๆ กุฏิจะปลูกต้นไม้ที่ให้ร่มเงา เช่น ต้นสัตบรรณ ลั่นทม ทองหลาง กร่าง ฯลฯ และไม้หอมเช่น ปีบ แก้ว บุนนาค ประยงค์ ชมนาด เขี้ยวกระแต ฯลฯ เมื่อถึงคราวออกดอก ไม้หอมเหล่านี้ จะส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณกุฏิ

 

                      เรือนหลังแรกมีโรงจอดรถ ถัดจากโรงจอดรถเป็นสนามหญ้าที่ถูกตกแต่งเป็นเนินดินมีแผ่นหิน
สี่เหลี่ยมวางรองเป็นขั้นบันไดเรียงรายต่อกันไปที่คลองเล็ก ๆ ที่มีท่าน้ำไว้สำหรับให้อาหารปลา

 

                     วันไหนอากาศดี แดดร่มลมตก พี่อารีพันธุ์จะพาคุณยายมาที่ท่าเลี้ยงปลานี้ และวันนี้...ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้เป็นผู้ตระเตรียมเก้าอี้ ผ้ารองตัก ถุงมือ และอาหารสำหรับเลี้ยงปลา ซึ่งมีทั้งขนมปังและอาหารปลาที่ทำจากเศษเนื้อปลานำมาอัดเป็นเม็ดเล็ก ๆ

 

                      เมื่อคุณยายมาถึงที่ท่าเลี้ยงปลา ข้าพเจ้าจะสวมถุงมือยางและปูผ้ารองตักให้ท่าน จากนั้นจึงใช้นิ้วมือดีดลงไปในน้ำ ดีดน้ำเรียกปลามากินอาหารสักครู่ ปลาทั้งหลายก็มาลอยตัวอยู่ที่ท่าน้ำนี้ มีทั้ง ปลานิลแดง ปลาหมอเทศ ปลาดุก ปลาสวาย ปลาตะเพียน ฯลฯ
 

                       คุณยายโยนขนมปังให้ปลาที่มาลอยตัวให้เห็น แล้วท่านก็บอกให้น้าเล็ก พี่อารีพันธุ์ และข้าพเจ้าช่วยกันโยนอาหารไปให้ปลาด้วย

 

                       ปลาเยอะมาก ข้าพเจ้ารู้สึกสนุกจังเลย สักครู่คุณยายก็หันมาบอกข้าพเจ้าว่า "โยนไปไกล ๆ ไอ้หลานน้อย ตรงโน้นยังไม่ได้กิน" ข้าพเจ้ารีบโยนไปตามที่คุณยายบอก ทั้งที่ใจยังคิดไปว่า "ตรงโน้นไม่มีปลาหรอกยาย มันมาตรงนี้หมดแล้ว" แต่ภาพที่ปรากฏให้เห็นในขณะนั้นกลับสวนทางกับความคิดของข้าพเจ้า อาหารที่ข้าพเจ้าโยนไปนั้นเป็นเหมือนของขวัญอันโอชะของปลาตะเพียนน้อย และปลานิลแดงที่ไม่สามารถฝ่าฝูงปลาดุก และปลาสวายเข้ามาได้
 

                          ข้าพเจ้าได้แต่รำพึงในใจว่า "ทำไมหนอคุณยายจึงมองไกลและมองได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนั้น"

 

                         ท่ามกลางฝูงปลาดุกและปลาสวาย ยังมีปลาหมอเทศผู้เชื่องช้า ดำผุดดำโผล่ คอยหาจังหวะที่จะแย่งอาหารให้ได้บ้าง แต่แย่งไม่ได้สักทีคุณยายเห็นปลาหมอเทศแย่งอาหารไม่ทัน ท่านก็รอคอยจังหวะที่จะโยนอาหารเฉพาะเจาะจงให้กับปลาหมอเทศ จนในที่สุดปลาหมอเทศก็ได้รับอาหารที่คุณยายโยนให้ถึง ๓ ครั้ง

 

                      สักครู่หนึ่ง พี่อารีพันธุ์เห็นว่า คุณยายมีเหงื่อออกมาบ้างแล้ว จึงพาท่านกลับเข้ากุฏิ เพื่อให้ท่านได้พัก ส่วนข้าพเจ้าก็เก็บอุปกรณ์ที่นำมาใช้ให้เรียบร้อย เพื่อให้ท่าเลี้ยงปลานี้สะอาดว่างเปล่าเหมือนเดิม ขณะที่กำลังเก็บอยู่นั้น..ก็ได้แต่คิดรำพึงในใจว่า "คุณยายนอกจากจะมองไกลแล้ว  สายตาของท่านยังละเอียดถี่ถ้วนอีกด้วย"

 

                      วันต่อมา..หลังจากเสร็จภารกิจภายในกุฏิแล้ว ข้าพเจ้าออกมาเดินเล่นนอกกุฏิ และมาหยุดยืนอยู่ที่ท่าน้ำที่ให้อาหารปลา ก้มดูผืนน้ำให้เห็นเงาหน้าของตัวเอง นอกจากจะได้เห็นหน้าของตัวเองแล้ว ยังมีหน้าปลาหมอเทศโผล่มาให้เห็นอีกด้วย ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่า จะเป็นตัวเดียวกับเมื่อวานหรือเปล่า จึงก้มลงดูให้แน่ใจ เห็นปานดำปรากฏชัดที่หัวของมัน ก็รู้ว่า ใช่ตัวเดียวกันจริง ๆ

 

                      วันต่อมา...เวลาเดิม ข้าพเจ้ามายืนแกว่งแขนที่ท่าเลี้ยงปลา มองทิวสนที่ไหวไปตามกระแสลมอ่อน ๆ มองนกที่กำลังบินกลับรัง ได้ยินเสียงปลาตอดน้ำดังจ๋อม ๆ ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจกับเสียงนั้นเลย ยังคงแกว่งแขนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรับรู้ได้ว่า เสียงนั้นดังขึ้นและถี่ขึ้น จึงก้มหน้ามองไปที่ผืนน้ำนั้น แล้วก็ต้องร้องอุทานขึ้นในใจว่า "เฮ้ย ! ปลาหมอเทศตัวเดิมนี่นา มาอีกแล้วหรือ" ข้าพเจ้ารีบวิ่งจากท่าเลี้ยงปลานั้น เพื่อไปนำอาหารมาให้มันให้เร็วที่สุดเท่าที่ขาทั้งสองของข้าพเจ้าจะทำได้

 

                        วันนี้..ไม่มีคุณยายมาที่ท่าเลี้ยงปลานี้อีกแล้ว  แต่ภาพนั้น..ยังคงปรากฏชัดให้เห็นเป็นภาพลักษณ์ของคุณยาย ที่ท่านแสดงให้เห็นว่า กระแสแห่งความเมตตาอันบริสุทธิ์ที่ไม่มีประมาณนั้น ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นได้

 

ความเมตตาของคนโดยทั่วไปอาจเกิดขึ้น
เพราะเลือกที่รัก แต่สำหรับคุณยายแล้ว
มีให้เสมอเหมือนกันหมด ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม


"นั่นคือ เมตตาที่แท้จริง"

 

จากหนังสือ ดวงจันทร์กลางดวงใจ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0018809000651042 Mins