เศรษฐี ๒ ตระกูล
ในกรุงราชคฤห์นั้นมีเศรษฐีอยู่ ๒ ตระกูล
ตระกูลแรก คือ ตระกูลของท่านปุณณเศรษฐีผู้เป็นสัมมาทิฐิมีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย
เมื่อครั้งท่านเศรษฐีทำบุญขึ้นบ้านใหม่และงานฉลองฉัตรพระราชทานแสดงตำแหน่งเศรษฐี ท่านปุณณเศรษฐีได้ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเป็นเวลา ๗ วัน ครั้งนั้นพระศาสดาทรงอนุโมทนาทาน ตรัสอนุปุพพิกถาแก่เขา เมื่อจบพระกถา ปุณณเศรษฐีและธิดาชื่อนางอุตตราได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
การบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน คือ การเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา หลุดพ้นจากความรู้สึกว่าเป็นกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม หรือกายอรูปพรหม เป็นตัวตนที่แท้จริง เพราะกายเหล่านั้นเป็นแค่ที่อาศัยอยู่ชั่วคราว แต่กายธรรมนี่แหละคือตัวตนที่แท้จริง และเป็นตัวพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพระโสดาบันจึงหายสงสัยเรื่องที่พึ่งที่ระลึก เรื่องพระรัตนตรัยและจะไม่ทำบาปเลย มีศีล ๕ เป็นปกติ อีกทั้งจะไม่ประพฤติข้อวัตรปฏิบัติอย่างอื่นที่งมงาย ไม่เป็นสาระ ใครจะมาขู่ฆ่าบังคับให้ทำบาป ให้ฆ่าสัตว์ ฆ่ามนุษย์ ให้ลักทรัพย์ ให้ประพฤติผิดในกาม ให้พูดปด ให้ดื่มสุราเมรัย ไม่เอาเลย แม้จะฆ่าให้ตายก็ไม่เอา เพราะกลัวบาป มีหิริโอตตัปปะ แต่ยังครองเรือนมีลูกมีครอบครัวได้ เพราะราคะยังไม่สิ้น จะไม่ตกนรกเลย จะมาเกิดท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกกับโลกมนุษย์ไม่เกิน ๗ ชาติ
ตระกูลที่สอง คือ ตระกูลของท่านราชคหเศรษฐี ผู้เป็นมิจฉาทิฐิมีบุตรชาย ๑ คน ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิเหมือนกัน
ทั้งสองตระกูลนี้เป็นเพื่อนสนิทกัน ต่อมาท่านราชคหเศรษฐีได้ขอธิดาของท่านปุณณเศรษฐีให้มาเป็นสะใภ้ในเรือนของตน ด้วยความเกรงใจในสหายรัก ปุณณเศรษฐีจึงมอบธิดาให้แก่บุตรชายของท่านราชคหเศรษฐี
ทั้งสองตระกูลเป็นเศรษฐีเหมือนกันแต่มีทิฐิต่างกันตระกูลหนึ่งเป็นสัมมาทิฐิ แต่อีกตระกูลเป็นมิจฉาทิฐิ ทั้งนี้เป็นเพราะทำบุญแล้วอธิษฐานมาไม่เหมือนกัน ถ้าอธิษฐานประกอบไปด้วยดวงปัญญา เช่น ขอให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานหรือขอให้มีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญสุข มรรคผลนิพพาน เป็นต้น ก็จะเป็นสัมมาทิฐิ แต่ถ้าขาดดวงปัญญาก็จะอธิษฐานขอให้รวยอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเวลามาเกิดก็จะรวยจริงแต่ว่ามีความเห็นผิด