กุญชโรปมกถา (ตอนที่ ๑)

วันที่ 15 มีค. พ.ศ.2546

 

 

.....พระธรรมราชานุวัตร (หลวงเตี่ย) ท่านได้แสดงไว้ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็น พระเทพโสภณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม แสดง ณ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๗ เวลา ๐๘.๐๐ น.

 

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะฯ

อัปปมาทะระตา โหถะ สจิตตะมนุรักขะถะ

ทุคคา อุทธะระถัตตานัง ปังเก สันโนวะ กุญชะโรติ ฯ

 

.....บัดนี้ จะแสดงพระธรรมเทศนาใน กุญชโรปมกถา เพื่อเป็นเครื่องประดับปัญญาความรอบรู้ และเป็นเครื่องประคับประคองสติ คือ ความระลึกได้ ให้สำเร็จประโยชน์แก่สาธุชนผู้ยินดีในการสดับฟังธรรม โดยสมควรแก่เวลาวันนี้เป็นวันธัมมัสสวนะ วันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ เหลือเวลาอีกวันพระเดียวก็จะออกพรรษาแล้ว ท่านสาธุชนผู้ใฝ่ใจในธรรมปฏิบัติ ซึ่งได้ตั้งสัตย์อธิฐานจิตในการบำเพ็ยกุศลกรรมในระหว่างกาลเข้าพรรษานี้ คงจะมีความปีติยินดีที่สามารถรักษาความดีงามอันเป็นเงาประจำตัวได้มาจวนจะตลอดพรรษาอีกพรรษาหนึ่งแล้ว และคงจะได้สำรวจตรวจสอบตนเองเพื่อเพิ่มพูนอัปปมาทธรรมอีกส่วนหนึ่ง จึงขออนุโมทนาสาธุการไว้ ณ โอกาสนี้


.....ก็แล บรรดาสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่เป็นที่รักของคนนั้น จะมีสิ่งอื่นเสมอด้วยตนไม่มี ถ้าเราไม่รักตัวเองแล้ว จักไม่รู้จักรักคนอื่นสิ่งอื่นเลยทีเดียว แต่เพราะเรารักตัวเรา เราจึงรักคนอื่นและสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา หรือที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเรา จะเห็นได้ว่าในเวลาที่มีทุกข์ มีภัยอันตรายเกิดขึ้น จะต้องนึกถึงตัวเองก่อนสิ่งใด ๆ คือ คิดช่วยตัวให้พ้นทุกข์ให้ปราศจากภัยอันตรายก่อน แล้วจึงนึกถึงคนอื่น สิ่งอื่นในภายหลัง ความรักตัวยิ่งกว่าสิ่งอื่นนี้ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองแก่คนทุกคน ตลอดทั้งสรรพสัตว์ที่มีชีวิตทั่วไป พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า นัตถิ อัตตะสมัง เปมัง ไม่มีความรักอื่นเสมอด้วยตน ดังนี้

 

.....เมื่อตนเป็นที่รักของตนยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในโลกแล้ว ทุกคนควรทำตนให้เป็นผู้มีความสามารถช่วยตนเองได้ อย่างที่เรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ถ้าไม่สามารถช่วยตนเองได้ ก็ชื่อว่าตกอยู่ในห้วงแห่งทุกข์ในห้วงแห่งภัยอันตราย ไม่อาจเอาตัวรอดไปได้ เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นว่า คนที่รักตัว แต่ถ้าไม่สามารถช่วยตัวเองแล้วก็เท่ากับไม่รักตัวนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ทุกคนจะต้องพยายามทำตนให้มีความสามารถช่วยตัวเองได้ อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งของตน


.....อันบุคคลผู้จะทำตนให้มีความสามารถช่วยตนเองได้นั้น จะต้องอาศัยคุณธรรมภายในตนเองเป็นกำลังช่วย ๓ ประการ คือ ความไม่มาท ๑ ความคุมใจของตนให้อยู่ในอำนาจ ๑ ความพยายาม ให้ติดต่อกันเนืองนิตย์ คือ ความไม่เกียจคร้าน ๑ เพราะว่าถ้าประมาทไม่รู้ค่าของเวลาเสียแล้ว มัวเพลินเล่นเพลินสนุกเสีย ไม่รีบทำงานที่ควรทำ เวลาก็ล่วงไปหมดไปเปล่า โดยไม่ได้ประโยชน์อะไร เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถจะช่วยตนให้พ้นจากหล่ม คือ ความโง่เขลา ความยากจน ความเสื่อม และความชั่ว มีแต่จะจมลง และติดแน่นถอนไม่ขึ้น เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนไว้ว่า

 

อัปปะมาทะระตา โหถะ สจิตตะมนุรักขะถะ

ทุคคา อุทธะระถัตตานัง ปังเก สันโนว กุญชโร

 

.....ท่านทั้งหลาย จงยินดีในความไม่ประมาท จงตามรักษาจิตของตน จงถอนตนขึ้นจากหล่มเหมือนช้างที่ตกหล่ม ถอนตนขึ้นจากหล่ม ฉะนั้น ความโง่เขลา เปรียบดังหล่ม เพราะบุคคลผู้โง่เขลา ไม่รู้ทางเสื่อมทางเจริญของตนและของหมู่คณะก็ไม่สามารถรักตนให้พ้นจากความเสื่อม และไม่สามารถประกอบการเพื่อช่วยตนให้ถึงความเจริญได้ แม้ตนเองก็ช่วยให้ถึงความเจริญไม่ได้ จักสามารถช่วยหมู่คณะของตนให้เจริญได้อย่างไร เพราะเหตุนี้ความโง่เขลา จึงเป็นเหตุแห่งความเสื่อม เป็นเหตุแห่งความยากจน และเป็นเหตุแห่งความติดอยู่ในห้วงทุกข์ ด้วยเหตุนี้ โลกจึงต้องการความฉลาด และต้องการคนฉลาด ความโง่เขลาจึงเปรียบเหมือนหล่ม


.....ความยากจนก็เปรียบเหมือนหล่มอีกประการหนึ่ง เพราะบุคคลผู้ยากจนขาดกำลังทรัพย์เป็นเครื่องบำรุงตนและผู้ที่ตนควรบำรุงให้เป็นสุขและขาดกำลังทรัพย์ที่จะเป็นต้นทุนสำหรับก่อสร้างความเจริญให้แก่ตน เช่น ในการแสวงหาความรู้ความฉลาด หรือในการแสวงหาเกียรติยศ ซึ่งต้องอาศัยทรัพย์เป็นต้นทุน คนยากจนไม่มีโอกาสจะทำได้จึงเท่ากับติดอยู่ในหล่ม ถอนไม่ขึ้น (ติดตามตอนที่ ๒ ฉบับหน้า วันที่…….)

 

กุญชโรปมกถา (ตอนที่ ๒)

 

.....พระธรรมราชานุวัตร (หลวงเตี่ย) ท่านได้แสดงไว้ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระเทพโสภณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม แสดง ณ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๗ เวลา ๐๘.๐๐ น.


.....ความชั่ว คือ ความประพฤติเสียทางกาย ทางวาจาและทางใจ เช่น ความเกียจคร้าน ความเป็นนักเลง การทำมาหากินผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย ความเห็นผิดจากคลองธรรมเหล่านี้ แต่ละอย่างเปรียบเหมือนหล่ม ผู้ใดมีความชั่วเหล่านี้อยู่ในตน ผู้นั้นไม่มีความเจริญมีแต่บ่ายหน้าไปสู่ความเสื่อมความล่มจม และทำผู้อื่นหมู่คณะตลอดถึงประเทศชาติ ให้พลอยเสื่อมไปด้วย เพราะคนเกียจคร้านไม่ประกอบการที่ควรประกอบ เช่น ไม่ศึกษาความรู้ ก็โง่เขลา ไม่ประกอบการทำกิน ก็ยากจน เป็นนักเลงต่าง ๆ เช่น เป็นนักเลงสุรา ก็ผลาญทรัพย์และทำลายสุขภาพ อนามัย ตลอดถึงกำลังปัญญาของตนให้ทรามลง และเป็นคนขาดสติ ไม่มียางอายทำความชั่วได้ต่าง ๆ ถึงความเสียชื่อเสียง เป็นนักเลงการพนัน หมกมุ่นกับการพนัน ไม่ทำมาหากิน ทรัพย์เก่าก็ร่อยหรอหมดไป ทรัพย์ใหม่ก็ไม่เกิดขึ้น แม้ทรัพย์ที่เป็นผลของการพนันจะเกิดขึ้นบ้าง ก็ต้องใช้จ่ายเป็นเครื่องหว่านล้อมป้องกันตัวหมดสิ้นไป ในที่สุดก็ถึงความล่มจมและไม่ใช่จะเลื่อมแต่ตัวเองเท่านั้น ยังชักพาผู้อื่นที่โง่เขลาเห็นแก่จะได้ให้พลอยล่มจมวอดวายไปตามกัน ผู้เป็นนักเลงการพนัน

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0097367842992147 Mins