อัจฉริยะสร้างได้

วันที่ 28 มีค. พ.ศ.2551

 

      ในพระพุทธศาสนาของเรา ก็มีบุคคลอัจฉริยะเหมือนกัน แต่เราเรียกว่า เอตทัคคะ หลาย ๆคนคงจะเคยได้ยินคำนี้แล้ว เฉพาะที่เป็นพระภิกษุนี่ คือพระอสีติสาวก มีทั้งหมด 80 รูป เป็นเอตทัคคะในด้านต่างๆ คือเป็นเลิศ พูดง่ายๆ ว่าเป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆ นั่นเอง ทางวิทยาศาสตร์เขาแบ่งเป็น 7 ถึง 8 ด้านด้วยกัน เป็นต้น แต่ในทางพุทธศาสตร์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแบ่งอัจฉริยะออกถึง 80 ด้าน ฝ่ายพระก็มี 80 รูป แล้วยังมีภิกษุณี รวมไปถึง อุบาสกอุบาสิกา ก็มีเช่นกัน แบ่งกันละเอียดยิบเป็นเลิศในด้านต่างๆ ทั้งหมด ล้วนแล้วเกิดขึ้นจากการสร้างขึ้น ได้มาจากการฝึกฝนตัวเองกันทั้งสิ้น ทั้งในปัจจุบันชาติและในอดีตชาติที่สั่งสมกันมา

 

      ถามว่า แล้วจะฝึกตัวเองให้เป็นอัจฉริยะต้องทำอย่างไร โดยสรุป อันที่ 1. คือว่า จะต้องมีความปรารถนา มุ่งมั่น อยากที่จะเป็นเลิศในด้านนั้นๆ จริงๆ ไม่ใช่ว่าแค่อยากวูบๆ วาบๆ อย่างนั้นยังไม่ได้ พร้อมที่จะทุ่มเทฝึกฝนตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ อุปสรรคอะไรจะเกิดขึ้นมาก็ไม่ได้ย่อท้อ ถึงจะมีสิทธิ์ ซึ่งในพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการที่ได้เห็นบุคคลต้นแบบ คือ ในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ไปเห็นว่า มีพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ได้รับการยกย่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศ เช่น เป็นเลิศในการแสดงธรรม รู้สึกประทับใจมาก อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เกิดแรงบันดาลใจ ตั้งอธิษฐานจิตว่า ด้วยอำนาจแห่งบุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาดีแล้ว ขอให้ได้เป็นเลิศทางด้านการแสดงธรรม ในพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งข้างหน้า แล้วก็ตั้งใจฝึกตัวเองมาข้ามภพข้ามชาติ นับกันเป็นแสนมหากัปทีเดียว จนกระทั่งสุดท้ายก็สำเร็จสมปรารถนา

 

      ประการที่ 2 คือ การฝึกตัวเอง ต้องพร้อมที่จะทุ่มเท ฝึกจริงๆ เลย ถ้าเอาจริงๆ ล่ะก็ เราจะพัฒนาศักยภาพตัวเราเองขึ้นมาได้ มีตัวอย่าง เช่น อิสราเอลี เป็นนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งของประเทศอังกฤษ มีผลงานโด่นเด่นมาก มีวาทศิลป์ พูดแล้วก็สะกดผู้ฟังให้หยุดอยู่เลย ประเด็นแม่นเฉียบแหลม ลีลาวาทะกินขาดกันเลย แต่ทว่าเชื่อไหมว่า อิสราเอลีเมื่อตอนเด็กๆ เป็นคนพูดติดอ่าง จนกระทั่งโต เลยขัดใจตัวเองเพราะอยากจะเล่นการเมือง อยากจะเป็นผู้นำประเทศ สุดท้ายเลยไปกักตัวเองอยู่ในถ้ำ เขาเล่าว่า เอาดาบนี่นะ แขวนไว้รอบตัวเลย เวลาพูดต้องยืนนิ่งๆ ถ้าขยับตัวแล้วล่ะก็ คมดาบมันจะบาดตัวเอา เรียกว่าต้องตั้งสติดีๆ ตัวและใจสงบนิ่ง แล้วเขาค่อยๆ พูดออกมา จนสุดท้าย ฝึกจนกระทั่งเอาชนะการติดอ่างตัวเองได้

 

       อีกตัวอย่างหนึ่ง อัลเบิร์ด ไอน์สไตน์ ที่ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ในรอบ 100 ปี ที่ผ่านมา แต่เชื่อไหม ไอน์สไตน์ตอนเรียนชั้นประถม ถูกอาจารย์ให้ออกจากโรงเรียน บอกว่าเรียนไม่ไหวหรอก หัวทึบ แต่อาศัยแม่มีความเข้าใจ ค่อยๆ สอนเขา จนกระทั่งค่อยๆ เรียนขึ้นมา จนเป็นอัจฉริยะของโลกได้

 

       แต่สิ่งที่พิสูจน์ความเอาจริงของไอน์สไตน์อย่างหนึ่งก็คือว่า เวลาเขาคิดเรื่องอะไร ใจจดจ่อจะทุ่มไปทั้งตัวเลย อย่างมีคราวหนึ่งไปต่อแถวที่อำเภอ ต่อคิดยาวเลย เพื่อจะไปลงทะเบียนเสียภาษีหรืออะไรทำนองนี้ ระหว่างที่ยืนรอคิดเนื่องจากมันยาว ใจก็คิดถึงเรื่องโจทย์ฟิสิกส์ไป ทีนี้ พอมาถึงคิวตัวเองปั๊บ เสมียนถามคุณชื่ออะไร งง ตอบไม่ได้ เพราะใจไปจดจ่อกับโจทย์ฟิสิกส์ตรงนั้น งงอยู่พักหนึ่ง กำลังคิดว่าตัวเองชื่ออะไร เสมียนเห็นว่ายืนงงๆ ก็บอกว่า เสียเวลา คุณไปต่อคิวใหม่แถวหลังสุด ก็ต้องยอม ตอนนั้นเป็นนักฟิสิกส์ชั้นหนึ่งแล้วนะ

 

       แต่คนส่วนใหญ่มักจะเป็นลักษณะคิดอะไร ทำอะไรก็ฉาบฉวย ผิวๆ ยังไม่ได้ทุ่มเทอย่างจริง จัง ถ้าเราเองอยากจะค้นพบสิ่งที่สำคัญ อย่างน้อยจะต้องเอาจริงเอาจัง มีใจจดจ่อ มีสมาธิตั้งมั่น แล้วเราจะเอาศักยภาพในตัวเราเองมาใช้ได้อย่างเต็มที่

 

       เราสังเกต เด็กเกิดใหม่ดูตาเด็กสิ จะลืมโพลง เห็นตาแบ๋วเลย คือเขาจะอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัวทุกอย่างเลย แล้วพยายามสังเกต เอ๊ะ..คุณแม่พูด ขยับปากอย่างนี้ มีเสียงออกมายังไง มีเสียงอย่างนี้แล้วคนอื่นมีปฏิกิริยาอย่างไร ค่อยๆ สังเกต เด็กค่อยๆ จับได้ว่า อ๋อ..คำว่าแม่ นี่คือคำเรียกแม่ ออกเสียงว่าแม่เมื่อไหร่ปุ๊บ แม่หัน ออกเสียงว่าพ่อเมื่อไหร่ พ่อหัน ค่อยๆ เรียนรู้ ประมาณปีหนึ่งพูดได้ ทานข้าว พูด คลาน ยืน วิ่งได้ ในเวลาเพียงแค่ ปีสองปี เด็กเรียนรู้อะไรได้มากมาย เป็นเพราะว่าเขาพร้อมจะเรียนรู้ทุกอย่าง

 

นอกจากนี้ วิธีการฝึกตัวเองให้เป็นอัจฉริยะ คือ จะต้องไม่ดูเบา หรือดูหมิ่นคนอื่น

 

     มีตัวอย่างมาแล้วในครั้งพุทธกาล พระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อว่า จุลบัณฑก พระพี่ชายชื่อมหาบัณฑก เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เลยมาชวนน้องชายไปบวช ตั้งใจจะสอน ฝึกน้องให้เป็นพระอรหันต์ตามมาด้วย ปรากฏว่า แค่สอนคาถาๆ เดียว มีอยู่ 4 บาท บาทหนึ่งก็ประมาณราวๆ สัก ครึ่งบรรทัดให้น้องท่อง ปรากฏว่า จุลบัณฑก พระน้องชาย เรียนอยู่ 4 เดือน แม้แต่บาทเดียว คือ ครึ่งบรรทัดยังท่องไม่ได้เลย จนพระพี่ชายบอกว่าไม่ไหว น้องตัวเองหัวทึบเกินไป คงไม่มีวาสนาในการบวชแล้ว บอกให้ สึกเถอะ

 

      จุลบัณฑกเสียใจมากเลย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เราคงไปไม่รอดแล้ว ก็เลยคิดว่าจะสึก ระหว่างกำลังน้อยอกน้อยใจในโชคชะตาวาสนาตัวเองว่าทึบ ขณะที่จะเดินไปสึก พระพุทธเจ้าพระองค์เห็น เลยเรียกจุลบัณฑก ถามว่าเธอจะไปไหน กราบทูลว่า จะมาลาสึก พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ต้องสึก แล้วก็ประทานผ้าขาวให้ผืนหนึ่ง บอกให้ถือผ้าขาวนี้แล้วก็ลูบไปนะ แล้วก็ให้บริกรรมภาวนาไปด้วยว่า ระโช หะระนัง ๆ แปลว่า ธุลี นี่นะ เอาธุลีออก จุลบัณฑกเองเมื่อไม่ต้องสึกก็ดีใจ เอาผ้าขาวมาลูบ ๆ ๆ แล้วภาวนาไป พอสายๆ หน่อย แดดส่อง เหงื่อก็ออก ลูบไป ๆ หลายๆ ชั่วโมงเข้า ลืมตาดู เอ๊ะ..ผ้าขาวมันเริ่มเป็นสีมอๆ แล้ว เปื้อนเหงื่อไคล เลยได้คิดว่า เออ.. เห็นว่าผ้าขาว ที่เคยขาวบริสุทธิ์ พอถูกต้องตัวของเรา มือของเรานานๆ เข้า มันยังเป็นสีมอๆ เลยนะ ตัวเรามันช่างไม่สะอาดจริงๆ เลย เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนันตา อย่างนี้

 

       พอใจเริ่มคลายความยึดมั่นถือมั่นตรงนี้ไปได้ สมาธิตั้งมั่นมากขึ้นๆ ดิ่งลงไปเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนสุดท้ายหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ตรงนั้นเอง บรรลุพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ 4 คือแตกฉานหมดเลย ทั้งแตกฉานในอรรถ แตกฉานในธรรม แตกฉานในนิรุต คือ เรื่องของภาษา ในปฏิภาณการแสดงธรรมทุกเรื่อง พรั่งพร้อมหมดทุกอย่างเลย แล้วสุดท้ายได้รับการยกย่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นผู้ที่เป็นเลิศเป็นอัจฉริยะ ทางด้านมโนฤทธิ มีฤทธิ์ทางใจมาก

 

       เหตุที่จุลบัณฑก คาถาบาทเดียว ท่อง 4 เดือนจำไม่ได้ เป็นเพราะว่า ภพในอดีตเป็นพระภิกษุเหมือนกัน ฉลาดมาก เห็นเพื่อนพระภิกษุรูปหนึ่งพยายามจะร่ำเรียนพุทธวจนะ แล้วก็จำไม่ค่อยจะได้ ปัญญาทึบ เลยไปหัวเราะเยาะเขา ว่าไม่ฉลาด โง่ วิบากกรรมนั้น ทำเกิดมาชาตินี้โง่ คาถาบาทเดียว 4 เดือน ยังจำไม่ได้

 

       เพราะฉะนั้น หาก เห็นใครเขาด้อยกว่าเรา ห้ามดูถูก ห้ามดูหมิ่นเขาเด็ดขาด วิบากกรรมจะเกิดนะ จริงๆ เกิดตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว วิบากกรรมเกิดแล้ว ยิ่งพูดยิ่งเกิด เกิดทั้งชาตินี้เกิดต่อไปทั้งชาติหน้า เพราะพอเราเองดูหมิ่นเขาปั๊บ ภาพของเขาเองจะปรากฏขึ้นใจของเราเอง ยิ่งดูหมิ่นมาก ยิ่งตอกย้ำ แล้วสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นมาเป็นผังในใจของเราเอง ฉะนั้นอย่าทำนะ ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความฉลาด หรือว่าเป็นเรื่องการพูด เห็นใครพูดติดอ่างก็อย่าไปดูถูกดูหมิ่นเขา เห็นใครเขาทำอะไรดีไม่เท่าเรา อย่าดูถูกดูหมิ่นเขาเด็ดขาดเลย ควรวางใจเรานิ่งๆ เฉยๆ เพราะว่าเราเองก็มีข้อบกพร่องกันอยู่มากมาย ที่ต้องฝึกตัวเองให้มากขึ้นต่อไป ให้มองดูแต่เพียงว่า ใครเขามีอะไรดี แล้วชื่นชมอนุโมทนาเขา น้อมนำมาเป็นต้นแบบ จดจำไว้ในใจของเราเอง เราจะได้ฝึกตัวเองรอบด้านให้ดีขึ้นๆ ๆ อย่างนี้ล่ะก็ เราถึงจะเป็นที่รวมของความดี ประหนึ่งมหาสมุทรเป็นที่รวมของน้ำ

 

      มีอีกอย่างหนึ่งคือ การกล่าวถึงเกี่ยวกับว่า สมองดี แล้วสมองกับใจทำงานกันอย่างไร ว่าจริงๆ สมอง เป็นเหมือนเครื่องมือของใจ ใจเป็นตัวควบคุม ใช้คำว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว จะเปรียบสมองก็เหมือนกับคอมพิวเตอร์ ใจก็คือยูเซอร์ สมองเป็นเครื่องมือ ใจเป็นผู้ใช้ผู้สั่งงาน ผู้กำกับดูแลทุกอย่าง แต่สมองเป็นเครื่องมือที่ปรับตัวเองได้ ใช้ทำอะไรบ่อยๆ ก็จะพยายามปรับตัวเองให้มีประสิทธิภาพในการทำงานนั้นให้ดีขึ้น ฉะนั้นเราเองพอตั้งใจฝึกตัวเองจริงๆ จังๆ ล่ะก็ สมองก็จะปรับตัวเอง อย่างที่บอก มีไขมันมาหุ้มนะ มีชวาลเซลล์มาหุ้ม ทำให้ไขมันทำงานได้คล่องแคล่วรวดเร็วขึ้น หลังจากทำต่อเนื่องไป 3 สัปดาห์ 22 วัน เหล่านี้เป็นต้น

 

     แต่หลักจริงๆ จะอยู่ที่ใจ ของสมองผลจะเกิดขึ้นในชาตินี้ แล้วส่งผลต่อเนื่องถึงใจ แต่เมื่อเราเองตั้งใจฝึกใจจริงๆ จังๆ ดีๆ แล้ว ผลจากสมองที่เนื่องถึงใจโยงใยกันแล้ว มันจะติดอยู่ในใจเราเองไปข้ามภพข้ามชาติได้ ความทรงจำที่อยู่ในใจ ข้ามภพข้ามชาติได้ เป็นล้านชาติ อสงไขยชาติก็ยังเก็บกันอยู่ได้ อยู่ในใจของเราตรงนี้ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก ถ้าเราตั้งใจฝึกตัวเองให้ใช้มันได้เต็มประสิทธิภาพ เต็มศักยภาพของมัน ที่จะทำให้เราเองประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วก็เป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆ ตามที่เราเองมุ่งหวัง

 

     ใช้สิ่งที่เกิดติดตัวมาตอนนี้ให้เต็มศักยภาพของมัน ตอนนี้เรายังใช้แค่ไม่ถึง 10 % เท่านั้นเอง จะทำได้ก็อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ตั้งแต่ มีความมุ่งมั่นปรารถนาอย่างนั้นจริงๆ ตั้งใจฝึกตัวเอง ใจจดอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ 21 -22 วัน แต่ว่ากันเป็นปี หลาย ๆ ปี แล้วไม่เก่งให้มันรู้ไป ไม่ดูเบา ไม่ดูหมิ่นใครเลย มองแต่คนที่เขาดี มีจุดเด่นที่ควรศึกษาแล้วเอาเป็นต้นแบบในใจ อย่างนี้จะเป็นอัจฉริยะได้ ไม่ใช่เพียงแค่ด้านเดียวนะ แต่จะเป็นอัจฉริยะได้รอบด้านกันทีเดียว

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0013274192810059 Mins