เรียนอย่างไร ให้มีความสุข

วันที่ 11 พค. พ.ศ.2550

  

 

        บรรยากาศในรั้วมหาวิทยาลัยคงเป็นบรรยากาศที่แปลกใหม่ต่างจากชีวิตในโรงเรียนมาก เมื่ออยู่ชั้นประถมชั้นมัธยม ถึงเวลาแปดโมงต้องไปโรงเรียน อาจารย์ก็เช็คชื่อเข้าห้องเรียน ห้ามเบี้ยว ถ้าโดดเรียนอาจารย์ก็รู้ เลิกเรียนกลับบ้าน มีเครื่องแบบนักเรียนใส่อยู่ในกรอบที่มีครูอาจารย์คอยดูแลใกล้ชิด

 

       แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย ถือว่าโตแล้วต้องรับผิดชอบตนเอง ไม่มีใครเช็คชื่อ จะเข้าเรียนหรือไม่ก็แล้วแต่ความพอใจ เรียนก็ไม่เต็มวันเหมือนกับในโรงเรียน สัปดาห์หนึ่งเรียนประมาณ

 

       20 ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อให้นักศึกษาเอาชั่วโมงว่างไปค้นคว้าด้วยตนเอง ไม่ใช่เรียนในลักษณะครูป้อนให้เหมือนกับในโรงเรียน แต่ว่านักศึกษาบางคนกลับเอาเวลาไปเที่ยวเล่นแทน ไม่เฉพาะชั่วโมงว่าง แม้ชั่วโมงเรียน บางคนก็คิดว่าโดดเรียนก็ไม่เป็นไรถึงเวลาก็สอบให้ได้แล้วกัน ชีวิตเสรีกว่า ผลคือ สำหรับบางคนแล้วเป็นเรื่องอันตราย

 

       อาตมภาพมีเพื่อนคนหนึ่ง เรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามาด้วยกัน พอสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ เขาไปเข้าคณะวิศวะ อาตมภาพอยู่คณะแพทย์ แต่ก็ไปซ้อมกีฬาด้วยกัน ชีวิตในมหาวิทยาลัยเสรีมาก เทอมแรกเขาก็เลยใช้ความเสรีอย่างเต็มที่ ทั้งที่เดิมเป็นเด็กเรียนดี จึงสอบเข้าคณะวิศวะ จุฬาฯ ได้ แต่เชื่อไหม ผลการสอบเทอมแรกออกมาปรากฎว่า ได้เกรด 0.7 เจ้าตัวเห็นใบเกรดแล้วช็อคเลย ทั้งคุณพ่อคุณแม่ญาติพี่น้องทุกคนช็อคหมด เขารู้ว่าถ้าแก้ไม่ได้ก็ถูกรีไทร์แน่นอน เพราะว่าเกรดที่ถือว่าผ่านต้อง 2.00 ขึ้นไป ถ้าหากสิ้นปีแรก ใครต่ำกว่า 2 ก็ถือว่าติดโปรเบชั่น ถ้าหากเกรดต่ำกว่า 1.75 ก็ต้องเรียนซ้ำชั้น แต่ถ้าต่ำกว่า 1.5 จะถูกรีไทร์ คือไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเลย

 

       เมื่อเกรดเทอมแรกได้ 0.7 นี่ ถือว่าต่ำมาก มีโอกาสถูกรีไทร์สูงมาก ถ้าเทอมสองไม่รีบแก้ตัว ดึงเกรดเฉลี่ยขึ้นมาให้ได้ละก็เสร็จแน่นอน ดังนั้นพอเกรดเทอมแรกออก เขาหยุดการเล่นทุกอย่าง กลับเข้าห้องเรียนและทุ่มเทกับการเรียนเต็มที่ เทอมสองได้เกรด 3.4 เกรดเฉลี่ยจึงได้ 2.1 พอรอดตัว พ้นรีไทร์ไปได้ นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าหวาดเสียวมาก

 

       ถ้าเขาเจอเกรดเทอมแรก 0.7 แล้วช็อค เสร็จแล้วเทอมสองยังช็อคต่อ ผลก็คงถูกรีไทร์ให้ออกจากมหาวิทยาลัย อนาคตเปลี่ยนไปหมดเลย จากที่ภูมิใจสอบเข้าวิศวะ จุฬา ฯ ได้ เพียงปีเดียวทุกอย่างจะเหมือนตกจากฟากฟ้าลงมากองอยู่ที่พื้น

 

       จึงขอฝากถึงน้องใหม่ หรือแม้พี่เก่าในรั้วมหาวิทยาลัยก็ตามว่าอย่าเพลินจนเกินไป เมื่อไม่มีครูอาจารย์จ้ำจี้จ้ำไช เหมือนสมัยอยู่ประถมมัธยม เรายิ่งต้องจ้ำจี้จ้ำไชตัวเอง ต้องรับผิดชอบตัวเอง ต้องมีวินัยในการศึกษาเล่าเรียน ถึงเวลาเรียน เรียน ถึงคราวว่างจะเล่น เล่น รับผิดชอบตัวเองได้ แยกให้ออก

 

       เรื่องนี้มีประสบการณ์ที่เคยพบมาด้วยตนเองคือนิสิตนักศึกษา ชมรมพุทธฯ จุมีลักษณะแปลกจากนิสิตอื่นอยู่บ้าง คือถ้าหากเป็นนิสิตนักศึกษาทั่วไป คนไหนที่ชอบโดดเรียนจนติดเป็นนิสัย เกรดก็มักจะรั้งท้ายปลายแถว หนึ่งกว่า ๆสองนิด ๆ แถว ๆ นั้น แล้วมักจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แต่ของนิสิตนักศึกษาชมรมพุทธฯ จะไม่ใช่ บางครั้งถ้าช่วงกิจกรรมกำลังหนัก เกรดอาจจะตกลงมาสักนิด แต่ว่าถ้าเป็นจังหวะปลอดกิจกรรมเมื่อใด เกรดพร้อมจะพุ่งปรู๊ดขึ้นไปทันที เพราะหากจะมีช่วงขาดเรียนอยู่บ้าง ก็ไม่ใช่เพราะชอบโดดเรียนหรือไปเที่ยวเตร่เฮฮา แต่ด้วยความจำเป็นของงานที่สร้างสรรค์ เป็น ประโยชน์แก่เยาวชนและต่อส่วนรวมของประเทศ

 

       อาตมภาพตอนเรียนอยู่ปี 3 คณะแพทย์ จุฬาฯ เมื่อปี 2524 เป็นปีแรกที่มีการจัดนิทรรศการร่วมกันระหว่างชมรมพุทธศาสตร์ 6 สถาบัน โดยจัดที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ชื่อนิทรรศการคนไทยต้องรู้เนื่องจากเป็นครั้งแรก และเป็นนิทรรศการการใหญ่ต้องใช้การเตรียมการมาก ตั้งแต่ช่วงเตรียมงานจนกระทั่งเสร็จงานสองสัปดาห์เต็ม ๆ อาตมภาพไม่ได้เหยียบเท้าเข้าไปคณะแพทย์เลยแม้แต่ก้าวเดียว เรียกว่าโดดเรียนสองสัปดาห์เต็มเลย นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ก้ต้องตัดใจเพราะว่างานมันรออยู่และมีความสำคัญ ช่วงสองสัปดาห์นั้นก็ไม่ห่วงเรียนเลย ไปลุยงานเต็มที่ จนกระทั่งถึงตอนประชุมสรุปงาน พอแนะนำตัวนักศึกษาชมรมพุทธรามคำแหงใหม่ ๆ หลายคนยังแปลกใจ เพราะนึกว่าอาตมภาพเป็นนักศึกษารามคำแหงด้วยกัน เนื่องจากเห็นทำงานขลุกอยู่ตลอด

 

       งานถือว่าประสบความสำเร็จมาก มีคนมาชมนิทรรศการประมาณสามหมื่นคน แต่พอเสร็จงานเก็บงานเรียบร้อย รีบกลับเข้าห้องเรียน เหลือเวลาอีก 7 วันจะสอบมิดเทอม ไปยืมสมุดโน้ตเพื่อนที่เข้าเรียนเพื่อนที่เข้าเรียนไปถ่ายเอกสาร รวมหนังสือทุกวิชาว่ามีเนื้อหาเท่าใด วางแผนเลย 7 วันนี้จะต้องทำอะไรบ้าง ทุ่มดูหนังสือเต็มที่แล้วก็สอบเรียนอย่างนี้มาตลอดก็เลยไม่ได้เกียรตินิยมกับเขา ได้เกรดสามเศษ ๆ พอเอาตัวรอดได้ แต่บางจังหวะถ้าเป็นช่วงกิจกรรมไม่หนักนัก คะแนนก็พร้อมจะพุ่งขึ้นมาท็อปได้เหมือนกัน ลักษณะของนิสิตนักศึกษาชมรมพุทธฯ จะเป็นอย่างนี้

 

       นั่นเป็นสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ยุคนั้นเป็นยุคบุกเบิกของชมรมพุทธฯ งานขยายใหญ่เป็นงานระดับประเทศ แต่คนทำงานยังไม่มากจึงต้องรับงานกันหนักหน่อย แต่ช่วงหลังมาผลงานของชมรมพุทธ ฯ ขยายกว้างชัดเจน คนช่วยงานมีมากขึ้น สามารถแบ่งงานกันได้ จึงไม่หนักมากเหมือนก่อน เห็นน้อง ๆ หลายคนรับปริญญา แล้วเอาปริญญามาให้ดู ชาวชมรมพุทธฯ นี่เกียรตินิยมเยอะนะ อย่างนี้ถือว่าเยี่ยม ได้ทั้งวิชาความรู้ ได้ทั้งการฝึกตัวเองในการทำงานจริง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก

 

       โดยสรุปคือ ขอให้นิสิตนักศึกษาใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยรักษาระเบียบวินัยในการศึกษาเล่าเรียน รักษาวินัยเรื่องเวลาให้ดี ถึงเวลาเรียนก็เรียน ถึงเวลาทำกิจกรรมก็ทำ เวลาเรียนไม่ห่วงงานเวลาทำกิจกรรมก็ไม่ห่วงเรื่องเรียน จัดสรรเวลาให้ดี การศึกษาของเราจะไปได้ แล้วเราก็จะใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างมีความสุข สำเร็จการศึกษาเป็นบัณฑิตที่สมบูรณ์.

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.029494118690491 Mins