" โมเดลไต้หวัน "

วันที่ 25 มีค. พ.ศ.2557

 

" โมเดลไต้หวัน "


... ในปี พ.ศ. 2492 ประชากรไต้หวันที่เป็นชาวพุทธจริงๆ รู้จักศีล 5 รู้จักเจ้าชายสิทธัตถะ มีเพียงราว 1% ที่เหลือนับถือลัทธิเต๋า ไหว้เจ้าบ้าง นับถือลัทธิขงจื้อบ้าง นับถือศาสนาอื่นๆบ้าง

ประธานาธิบดีเจียงไคเช็ก และลูกชายคือประธานาธิบดีเจียงจิงกัว เป็นคริสต์ ปกครองประเทศแบบเผด็จการต่อเนื่องกันเกือบ 40 ปี

ในยุคนั้น การเป็นชาวพุทธเป็นเรื่องน่าอาย ต้องปกปิดไม่ให้ใครรู้ ถ้าเป็นข้าราชการ ตำแหน่งจะไม่ก้าวหน้า

... แต่ปัจจุบันประชากรไต้หวันเป็นชาวพุทธถึง 80% การเป็นชาวพุทธเป็นเรื่องมีเกียรติ แม้ระดับผู้นำประเทศอย่างอดีตประธานาธิบดีเฉินสุยเปี่ยน เมื่อมีข้อครหาเรื่องทุจริต ก็ยังต้องพยายามฟื้นคะแนนนิยม โดยเข้าวัดไปกราบพระมหาเถระที่มีชื่อเสียง เอานักข่าวทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี ไปด้วยมากมาย เพื่อถ่ายทอดข่าวให้ประชาชนเห็นว่า มากราบพระผู้ใหญ่เพื่อขอโทษในความผิดแล้ว ประชาชนจะได้ให้อภัย

ู!!! น่าทึ่งว่า ไต้หวันทำได้อย่างไร ?

> สี่วัดใหญ่ในไต้หวัน

ในไต้หวันมีวัดใหญ่ 4 วัด ซึ่งเอ่ยชื่อแล้ว คนรู้จักกันทั้งไต้หวัน คือ

1. วัดฝอกวงซาน เด่นเรื่องการเผยแผ่ มีสาขาอยู่ทั่วโลกกว่า 300 แห่ง

2. วัดฝากู่ซาน เด่นเรื่องการศึกษา มีมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาที่มีคุณภาพมากที่สุด

3. วัดจงถายฉานซื่อ เด่นเรื่องการทำสมาธิ มีนักศึกษาและประชาชนมาปฏิบัติธรรมมากมาย

4. วัดฉื่อจี้ เด่นเรื่องสังคมสงเคราะห์ มีอาสาสมัครช่วยงานสังคมสงเคราะห์หลายล้านคน

>> วัดใหญ่ทั้ง 4 นี้ มีความโดดเด่นคนละด้าน แต่เขาไม่โจมตีกัน แม้จะมีทัศนะในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไม่เหมือนกัน แต่เขาจะไม่วิพากษ์วิจารณ์กล่าวร้ายต่อวัดอื่นเลย แต่ละวัดก็ก้มหน้าก้มตาทำงานตามที่ตนถนัดและเห็นว่าเป็นประโยชน์ <<

ธรรมชาติของมนุษย์มีจริตอัธยาศัยต่างกัน ใครชอบวัดไหนก็ไปวัดนั้น ผลลัพธ์คือ ประชาชนเห็นว่าพระพุทธศาสนามีผลงานมากมายหลากหลายด้าน ภาพลักษณ์พุทธดี คนจึงเข้าวัดมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 1% กลายเป็น 80% ในปัจจุบัน ทุกวัดรวมวัดเล็กๆทั่วประเทศก็ล้วนมีคนเข้าวัดมากขึ้น และมีวัดใหม่ๆที่โดดเด่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

พุทธในไต้หวันเจริญ เพราะทำตามพุทธโอวาทที่ว่า

“ สุขา สังฆัสสะ สามัคคี

ความสามัคคีของหมู่สงฆ์ ทำให้เกิดสุข”

@ ลองสมมุติในทางกลับกันว่า ถ้าลูกศิษย์วัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้เอาแต่โจมตีด่าว่าวัดอื่นไม่ดี วัดตนดีที่สุด ป่านนี้พระพุทธศาสนาคงสูญจากไต้หวันไปแล้ว

เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนคิดเหมือนกัน แต่แม้คิดต่าง เราก็ต้องอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสงบสุข แล้วช่วยกันสร้างความเจริญก้าวหน้าแก่พระพุทธศาสนา และนำศีลธรรมความสงบร่มเย็นมาสู่สังคม ^__^

__ ลองเปรียบเทียบทางโลกดู __

ขนาดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายหลักของประเทศ เขียนด้วยภาษากฎหมาย พยายามใช้ถ้อยคำให้ชัดเจนรัดกุมที่สุด คนยังเข้าใจไม่ตรงกันเลย แม้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญรับผิดชอบโดยตรง การวินิจฉัยคดีแต่ละคดี มติก็มักจะออกมาเป็น 6 : 3 บ้าง 7 : 2 บ้าง 5 : 4 บ้าง น้อยมากที่จะออกมา 9 : 0

ถ้าตุลาการเสียงข้างมาก ออกมาโจมตีตุลาการเสียงข้างน้อย ว่าตีความรัฐธรรมนูญผิด ทำรัฐธรรมนูญให้วิปริต ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ต้องกำจัดให้หมดไป ต่างฝ่ายต่างปลุกระดมโจมตีกันบ้านเมืองก็คงแตกแยกวุ่นวาย การกระทำนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญของประเทศเลย มีแต่นำความเสื่อม ความวุ่นวายแตกแยกมาสู่ชาติบ้านเมือง

มีนักปรัชญากล่าวไว้ว่า ข้อความเดียวกัน เมื่อตีความตามความคิด จะไม่มีใครเลยที่ตีความเข้าใจเหมือนกันหมด จะต้องมีบางแง่มุมในรายละเอียดที่เข้าใจต่างกัน คนร้อยคนก็จะมีความเข้าใจร้อยแบบ

เราจะเข้าใจตรงกันได้ เมื่อก้าวข้ามพ้นความเข้าใจด้วยความคิด ขึ้นไปสู่ระดับความรู้แจ้งด้วยภาวนามยปัญญา เหมือนพระอรหันต์ทั้งหลายก็จะเข้าใจธรรมะตรงกัน

>>> ดังนั้น ขอให้รักษาคำสอนในพระไตรปิฎกไว้ให้ดีที่สุด เป็นแม่บทที่รวมของพระธรรมวินัย แม้ในเบื้องต้นอาจมีความเห็นในบางแง่มุมต่างกันบ้าง ก็อย่าทะเลาะวิวาทกัน ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมไปให้เต็มที่ เมื่อบรรลุธรรมเข้าถึงด้วยตนเองแล้ว เราก็จะเข้าใจตรงกัน


 
" บำเพ็ญประโยชน์ตน --- ด้วยการตั้งใจปฏิบัติธรรม"

บำเพ็ญประโยชน์ท่าน --- ด้วยการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเต็มที่

เมื่อบำเพ็ญประโยชน์ทั้งสอง --- ด้วยความไม่ประมาท

..... ตัวเราก็ย่อมมีความสุขความเจริญ .....

..... พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรือง .....

...... สังคมก็สงบร่มเย็น ..... "
 
 
 
 
 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0095702489217122 Mins