ธรรมสโมธาน

วันที่ 09 กย. พ.ศ.2558

 

ธรรมสโมธาน

            การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งปรารถนาที่จะหลุดพ้นและพาสรรพสัตว์ทั้งหลายไปสู่ฝั่งพระนิพพานนั้น เพียงแค่คิดก็ยากแล้ว แต่พระบรมโพธิสัตว์ก็หมั่นตอกย้ำในเป้าหมายมโนปณิธานที่แน่วแน่ไม่ได้คิดคำนึงถึงเวลาว่าอีกกี่เดือน กี่ปี กี่ภพชาติจึงจะสมความปรารถนา ซึ่งไม่สามารถที่จะล่วงรู้ก่อนได้เลย ซึ่งเมื่อไรที่บารมีแก่รอบเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้วเมื่อนั้นก็จะสำเร็จสมปรารถนาได้อย่างแน่นอน บุคคลผู้มีความปรารถนาเช่นนี้จึงเป็นบุคคลที่มีใจเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปทั้งหลาย เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ได้ทำแบบธรรมดาที่บุคคลอื่นทั่วไปทำกัน แต่กลับทำด้วยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันอย่างสุดชีวิตสุดกำลัง แม้ตายก็ยอม

 

            พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงเป็นสุดยอดของนักสร้างบารมีที่แท้จริง ได้ทุ่มเทชีวิตในการสร้างบารมีจนตลอดชีวิตมาหลายภพหลายชาติ แม้ไม่รู้ว่าหนทางนั้นจะยาวไกลเพียงใด ก็ไม่ยอมย่อท้อต่ออุปสรรค มีแต่จะเร่งสร้างบารมีอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง เพียงแค่คิดว่า สักวันก็จะสามารถบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ เปรียบเสมือนกับบุคคลที่ขยันเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือหรือบุคคลที่ขยันทำงาน แล้วค่อยๆ ฝึกฝนตนเอง พร้อมกับเรียนรู้ในงานที่ตนได้รับมอบหมายอย่างตั้งใจและเต็มที่ ก็จะทำให้สั่งสมความรู้และประสบการณ์ในการทำงานได้อย่างมากมาย บุคคลที่คิดจะมาสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ขยันในการสร้างบารมีพร้อมทั้งฝึกฝนตนเองด้วยความตั้งใจและอดทน สั่งสมบารมีที่ละชาติแล้วสักวันเมื่อบารมีเต็มเปี่ยมก็สามารถที่จะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้เช่นกัน

 

            ดังนั้น เมื่อจะสร้างบารมีเพื่อปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องประกอบพร้อมด้วยคุณสมบัติ 8 ประการ ที่เรียกว่า ธรรมสโมธาน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการสร้างบารมีให้การเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นผลสำเร็จได้ในอนาคต เพราะธรรมสโมธาน เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่จะต้องมี ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้แล้ว ก็จะไม่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ซึ่งทำให้ไม่แน่ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หรือไม่ แต่ถ้าประกอบพร้อมด้วยคุณสมบัตินี้แล้ว ก็จะได้รับพุทธพยากรณ์ ซึ่งเป็นการยืนยันได้เลยว่า จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตได้อย่างแน่นอน ซึ่งธรรมสโมธานมีอยู่ทั้งหมดดังนี้

1.ปรารถนาความเป็นมนุษย์ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักทรงพยากรณ์แต่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น ถึงแม้จะเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่แค่ไหนก็ตามพระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด นอกจากนี้การเป็นมนุษย์ยังสามารถสร้างบารมีได้ดีกว่า เทวดา พรหม อรูปพรหม หรือสัตว์เดรัจฉาน การที่ได้เกิดเป็นมนุษย์นี้จึงมีความสำคัญ

2.ความถึงพร้อมด้วยเพศ เพราะการที่จะมีโอกาสได้รับคำพยากรณ์นั้น จะได้ก็แต่เฉพาะชาติที่ไม่เป็นเพศวิบัติหรือไม่เป็นอภัพพบุคคล คือ เป็นบุรุษเพศเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเพศหญิง เป็นบัณเฑาะก์ เป็นกะเทยหรือเป็นบุคคลมี 2 เพศที่เรียกว่า อุภโตพยัญชนก พระพุทธองค์จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด เนื่องจากบุรุษเพศมีลักษณะที่ใกล้เคียงลักษณะมหาบุรุษมากที่สุด และสามารถสั่งสมบุญบารมีได้ดีที่สุดด้วย

3.ถึงพร้อมด้วยเหตุ คือ มีอุปนิสัยแห่งพระอรหัตในขันธสันดานอย่างแรงกล้า เพราะหากว่าเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุ คือความเป็นพระอรหัตยังไม่เกิดขึ้น ไม่มีความแก่กล้าในขันธสันดาน พระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด เนื่องจากถ้ามีโอกาสฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ก็สามารถตรองตามและบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ เพียงแต่ท่านยังไม่ปรารถนาจะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ แต่ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ซึ่งข้อนี้แสดงให้เห็นว่า พระพุทธองค์ได้สั่งสมความรู้และฝึกฝนตนเองมาต่อเนื่อง เพื่อเตรียมตัวที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

4.ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ มีโอกาสได้บำเพ็ญกุศลใหญ่แล้วได้ตั้งความปรารถนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์ เพราะว่า การได้รับพยากรณ์จักเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยพุทธพยากรณ์ที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ หากได้พบแต่พระปัจเจกพุทธเจ้า ได้พบพระอรหันต์ หรือได้พบสถานที่อันเป็นสิ่งแทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น พระเจดีย์ เป็นต้น แม้จะมีความเลื่อมใสมากเพียงใด ก็จะไม่สามารถที่จะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้อย่างแน่นอน

5.ได้บรรพชา คือ มีอัธยาศัยน้อมไปในการออกบวช ไม่ว่าจะเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาหรือนอกพระพุทธศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีความเชื่อว่าบุญบาปมี ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว และมีความมั่นคงในเพศบรรพชิต เพราะถ้าดำรงเพศคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน แม้จะมีความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะเป็นได้ เนื่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงพยากรณ์ ถ้าไม่ได้บวช ภาระมากมายที่ติดพัน เปรียบเสมือนภรรยาเป็นห่วงคล้องแขน ลูกเป็นเสมือนห่วงคล้องขา ทำให้จะทำให้อะไรก็ตามจะติดขัดไปหมด ไม่สามารถที่จะทำได้อย่างสะดวกสบาย

6.ความถึงพร้อมแห่งคุณ คือ มีอภิญญาและฌานสมาบัติอันเชี่ยวชาญ เพราะเป็นคุณสมบัติพิเศษเกินคนธรรมดาสามัญจักมีได้ จึงจะได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าหากไม่มีคุณวิเศษ คือ อภิญญาและฌานสมาบัติ แม้จะดำรงเพศบรรพชิตก็จะไม่ได้รับคำพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การที่จะทำงานใหญ่แล้วจะต้องมีการฝึกสมาธิ เพราะถ้าไม่ฝึกสมาธิแล้วจะทำให้เกิดความเครียดแล้วท้อใจที่จะสร้างบารมีต่อไป แต่ถ้าได้ฝึกสมาธิแล้ว ก็จะทำให้ไม่เกิดสภาวะความเครียดที่จะท้อใจได้ เนื่องจากการที่คนเราใช้ความคิดจากสมองก็จะทำให้ความคิดนั้นไม่กว้าง มีขอบเขตจำกัดจึงทำให้เครียดง่าย แต่ถ้าใช้ความคิดจากใจที่ศูนย์กลางกายก็จะทำให้ความคิดนั้นมีขอบเขตกว้างขวาง และจะประกอบด้วยสติสัมปชัญญะที่จะช่วยกลั่นกรองให้ความคิดนั้นถูกต้อง ไม่ผิดพลาด

7.อธิการ คือ การกระทำที่ยิ่ง หมายถึง ได้ทำในสิ่งที่เหนือมนุษย์ทั่วไป สิ่งไหนเป็นความดี เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน แม้คนธรรมดาไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ แต่ท่านได้กล้าที่จะคิด กล้าที่จะพูด และกล้าที่จะทำในสิ่งนั้นได้สำเร็จ เช่น ได้เคยบำเพ็ญมหาทานบารมี โดยการสละชีวิตเพื่อแลกกับพระโพธิญาณมาก่อน เพราะเป็นปรมัตถมหาทานบารมีที่ได้กระทำอย่างยิ่ง โดยเอาชีวิตเลือดเนื้อเข้าแลกเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ ผู้ที่ได้ทำเช่นนี้จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การที่จะทำอะไรก็ตาม ต้องทุ่มเททำความดีสร้างบารมีอย่างเต็มกำลัง โดยฝึกทั้งตนเองให้มีความรู้ความสามารถ แล้วต้องฝึกคนอื่นหรือสร้างคนให้รู้จักการที่จะทำความดีสร้างบารมีอย่างเต็มกำลังเช่นกัน

8.ความพอใจ คือ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติ จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน ขอให้มีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง ไม่ได้ท้อแท้ต่ออุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตน เพราะผู้ที่มีฉันทะปรารถนาพระโพธิญาณเป็นกำลังเกินคนธรรมดา ไม่ได้หวาดผวาต่อภัยต่างๆ แม้จะให้ทนอยู่ในนรกอย่างทุกข์ทรมานตลอด 4 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เพื่อแลกกับพระสัมมาสัมโพธิญาณก็ยอม ผู้ที่มีความพอใจอย่างนี้จึงจะสามารถที่จะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้อย่างแน่นอน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์มีความรักอยากที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สุด และยังอยากให้คนอื่นได้มีความรักในการสร้างบารมีอีกด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นธรรมสำคัญ 8 ประการ ที่เรียกว่า ธรรมสโมธาน เป็นความปรารถนาที่พิเศษและเป็นมโนปณิธานที่เป็นไปเพื่อการให้ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคต ซึ่งเป็นความปรารถนาที่บุคคลธรรมดาไม่สามารถทำได้ แต่พระองค์ไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่เป็นบุคคลพิเศษที่ยากจะหาบุคคลใดเสมอเหมือนได้ เพราะธรรมสโมธานทั้ง 8 ประการ ถ้าได้ทำแล้วก็จะได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งอย่างแน่นอน ซึ่งต้องทำให้ครบทั้ง 8 ประการ ถ้าหากขาดข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะได้รับพยากรณ์ได้ ซึ่งก็เป็นเหตุที่ทำให้ไม่สามารถที่จะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตได้

 

            นอกจากนี้ ด้วยเหตุที่ประกอบพร้อมแล้วด้วยธรรมสโมธานทั้ง 8 ประการ ก็ทำให้ได้รับอานิสงส์ในการบ่มพระสัมมาสัมโพธิญาณให้แก่กล้าขึ้น โดยจะเป็นผู้ไม่เข้าถึงอภัพพฐานะ คือ จะไม่ไปบังเกิดในภพภูมิที่อาภัพ 18 ประการอีก เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาในการสร้างบารมีอีกต่อไป คือ

1.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนตาบอดแต่กำเนิด

2.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนหนวกแต่กำเนิด

3.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนบ้า

4.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนใบ้

5.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนแคระ ง่อยเปลี้ย

6.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดในชนชาติมิลักขะประเทศ คือประเทศป่าเถื่อน ที่ไม่มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน หรือไม่ได้พบกัลยาณมิตรที่คอยให้คำแนะนำตักเตือน

7.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดในท้องของนางทาสี เพราะไม่มีอิสระแก่ชีวิต ไม่เป็นไทแก่ตน ต้องอยู่ในความควบคุมของผู้อื่น

8.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนนิยตมิจฉาทิฏฐิ หมายถึง พวกที่มีความเห็นผิด ที่จะทำให้ไม่มีโอกาสหลุดพ้นจากวัฏสงสาร และเป็นผู้ถูกห้ามหนทางสวรรค์และหนทางมรรคผลนิพพาน

9.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นเพศหญิง หรือเป็นบัณเฑาะก์หรือเป็นกะเทย หรือเป็นบุคคล 2 เพศ(อุภโตพยัญชนก)

10.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่ทำอนันตริยกรรม คือ กรรมหนัก 5 อย่าง คือ ไม่ฆ่าพ่อของตนเอง ไม่ฆ่าแม่ของตนเอง ไม่ฆ่าพระอรหันต์ ไม่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้อพระโลหิต ไม่ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน

11.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนโรคเรื้อน โรคร้ายแรง

12.เมื่อกำเนิดในสัตว์เดรัจฉาน ย่อมเป็นสัตว์อยู่ในประเภทที่มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบและไม่ใหญ่กว่าช้าง

13.ไม่เกิดในขุปปิปาสิกเปรต คือ เปรตผู้หิวกระหาย และนิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตผู้ถูกความอยากเผาผลาญ และกาลกัญชิกาสูร คือ เปรตชนิดหนึ่งที่ตัวสูงใหญ่มาก

14.ไม่เกิดในอเวจีมหานรกและโลกันตนรก

15.เมื่อเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นกามาวจร ก็ไม่เป็นเทวดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ และไม่เป็นเทวบุตรมาร

16.ไม่เกิดเป็นอสัญญีพรหม ซึ่งเป็นพรหมที่มีแต่รูปร่าง ไม่มีความรู้สึกนึกคิด และไม่เกิดเป็น สุทธาวาสพรหม เพราะว่า สุทธาวาสพรหมจะต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์ในไม่ช้า

17.ไม่เกิดในอรูปภพ เพราะเป็นอรูปพรหมที่ทำฌานที่ไม่มีรูปมากำหนดเป็นอารมณ์ จักมีอายุยืนยาวมาก

18.ไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่น

นอกจากนี้ยังอานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ การทำอธิมุตตกาลกริยา คือ เมื่อพระองค์เกิดเป็นเทวดาหรือพระพรหม เกิดความเบื่อหน่ายในการเสวยสุขนั้น ปรารถนาที่จะสร้างบารมีในโลกมนุษย์ พระองค์ก็สามารถทำการอธิมุตต คือ อธิษฐานให้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันที ได้โดยง่าย ซึ่งเหล่าเทพเทวดาอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้

-------------------------------------------------------------------

GL 204 ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กลุ่มวิชาเป้าหมายชีวิต

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.014272797107697 Mins