เรื่องสิ่งที่ต้องเจอ (คุณแคแสด)

วันที่ 14 สค. พ.ศ.2562

เรื่องสิ่งที่ต้องเจอ (คุณแคแสด)

                ผีรายนี้ศิษย์วัดพระธรรมกาย ซึ่งเคยขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนดอยสุเทพรู้จักกันดีที่สุด เราเรียกเธอว่า คุณแคแสด แต่เดิมมีศาลพระภูมิอยู่หลังหนึ่งทางด้านตะวันออกของอุทยานดอยสุเทพ ต่อมาเมื่อมีการก่อสร้างบ้านพักเพิ่มเติม คนงานได้รื้อศาลโยนทิ้งลงไปในหุบเขาข้างล่าง อสุรกายซึ่งอยู่ในศาลได้พยายามติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้ที่ไปปฏิบัติธรรม โดยปรากฏให้เห็นในสมาธิบ้าง ในความฝันบ้าง

                ในที่สุดเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายให้ลูกศิษย์ผู้มีทิพยจักขุไปตรวจและไต่ถามดู จึงได้ทราบความเป็นไปว่า หญิงที่ตายเป็นชาวบ้านตายด้วยอุบัติเหตุ เมื่อไม่มีที่อยู่
จึงนั่งอยู่บนต้นแคแสด ต่อมาเมื่อพวกเราแบ่งบุญกุศลให้บ้าง พระเดชพระคุณหลวงพ่อใช้ให้เขาคอยปลุกคนที่เกียจคร้านไม่นั่งกรรมฐานตามเวลาบ้าง คุณแคแสดจึงได้รับบุญกุศล ทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้นเรื่อยๆ
และมีความเป็นกันเองกับพวกเราที่ปฏิบัติธรรมที่นั่น

 

                 ข้าพเจ้าจะเล่าเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับตนเองส่วนที่เกี่ยวกับผู้อื่นมีมากมายหลายเรื่องจะไม่เล่าไว้ในที่นี้ ที่พบกับตนเองเรื่องแรก คือ คืนหนึ่ง ขณะที่เลิกนั่งสมาธิกันแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งกลับที่พักเพราะปวดท้อง มีเพื่อนคนหนึ่งวิ่งนำหน้าข้าพเจ้าวิ่งมาจวนจะถึงที่พักอยู่แล้ว เพื่อนก็หยุดวิ่ง ข้าพเจ้าจึงมองข้ามไหล่เขาไป
เพราะเขายืนในที่ต่ำกว่า ดูว่าหยุดวิ่งเพราะอะไร พอมองไปตามสายตาของเขา จึงเห็นของบางอย่าง เป็นเหมือนหมอกทึบๆสีขาว รูปร่างคล้ายคนตัวเล็กๆ ทำอาการวิ่งจากเก้าอี้นั่งหน้าบ้านพักลงบันไดแล้วเลี้ยวหาย
เข้าใต้ถุน เห็นกันอย่างชัดเจน เพราะตรงเก้าอี้นั่งนั้นมีไฟนีออน สว่างไสวส่องอยู่

 

                   ข้าพเจ้าถึงกับหายปวดท้องเป็นปลิดทิ้ง เพราะใครๆ ถ้าได้เห็นเหมือนเรา สองคนก็ต้องรู้ว่าถูกผีหลอก เมื่อความทราบถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ และพวกมีทิพยจักขุญาณ ก็ได้ให้ความรู้แก่พวกเราว่า
คุณแคแสด เขาย้ายติดตามเรามาอยู่บ้านพักใหม่ ไม่อยู่หลังเดิมซึ่งมีข้าราชการ บางพวกมาพักและดื่มสุรามึนเมากัน คุณแคแสดอยากอยู่กับผู้ที่กำลังทำบุญกุศลจึงย้ายตามมา แต่ปรากฏว่าพวกเราลืมเขา ไม่มีใคร
นึกถึงเลย จึงต้องปรากฏตัวให้เห็น จะได้ทราบว่าเขาอยู่ด้วย

 

                  ตามจริงแล้ว ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยกันก็รู้สึกดังนั้นจริงๆ พอเราย้ายออกจากบ้านหลังเก่ามา เราก็คิดว่าเราไม่ต้องอยู่กับผีอีก ลืมเขาจริงๆ ไม่นึกเลยว่าผีก็ย้ายบ้านได้ การพบกันครั้งที่สองนั้นสืบเนื่องจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว รองเจ้าอาวา ฯ ท่านไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่นด้วย เมื่อท่านฟังเรื่องที่คุณแคแสดทำอย่างโน้นกับคนนี้ ทำอย่างนี้กับคนนั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องปลุกให้ลุกขึ้นเมื่อถึงเวลาทำกรรมฐาน ใครยังมัวเกียจคร้านอยู่ บางทีคุณแคแสดก็จะไปนั่งเรียกใกล้ๆ ดังนี้เป็นต้น

                    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจึงพูดดังๆ ว่า "แคแสดอยู่ที่ไหน มาปรากฏให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อเห็นหน่อย ให้เห็นกันด้วยตาเนื้อทีเดียวนะ" ท่านพูดอย่างนี้ในตอนกลางวัน คืนนั้นดึกสงัด คงจะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว อากาศหนาวเย็น
 

                    ข้าพเจ้าลุกขึ้นเพราะปวดปัสาวะบ่อย เพิ่งนอนไปได้เพียงตื่นเดียว บ้านหลังที่ข้าพเจ้าพักอยู่ใกล้บ้านที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโวท่านพัก ในบ้านที่ข้าพเจ้าพักมีอยู่ ๓ ห้อง แต่ละห้องมีคนอยู่เต็ม ข้าพเจ้าสมัครใจนอนอยู่ห้องโถงเพียงคนเดียว มีส้วมอยู่นอกห้องเพียงส้วมเดียว นอกนั้นมีอยู่ภายในห้อง ๒ ห้อง จึงเหลืออีกเพียงห้องเดียวที่ต้องออกมาใช้ส้วมร่วมกับข้าพเจ้า
 

                  ข้าพเจ้าลุกขึ้นเปิดไฟทั้งที่กลางห้องโถงและหน้าส้วม ยังได้ยินเสียงกรนของคนในบ้าน ห้องปิด สนิท แสดงว่าไม่มีใครออกมา พอข้าพเจ้าเอื้อมมือเปิด สวิตช์ไฟภายในส้วมและมีแสงไฟสว่างขึ้นนั้น ความงัวเงียของข้าพเจ้าก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็นว่ามีนิ้วมือของคนจับประตูส้วมอยู่ ลักษณะเหมือนเจ้าของมืออยู่ในส้วมและกำลังจะเปิดส้วมออกมา
 

                 ข้าพเจ้าตกใจ คิดว่าเป็นเพื่อนในห้องออกมาเข้าส้วม จึงหันกลับไปที่ประตูห้องที่ใช้ส้วมร่วมกัน ทดลองผลักดูก็เห็นว่าข้างในใส่กลอน ก็ทราบว่าไม่มีใครออกมาแน่ เพราะถ้าเป็นเพื่อนออกมาเข้าส้วมก็จะต้องเปิดไฟ ข้าพเจ้าเริ่มใจคอผิดปกตินิดหน่อย เพราะอยู่คนเดียวในที่นั้น

                   เมื่อหันมาที่ประตูส้วมก็ยังเห็นนิ้วมือจับอยู่นิ่งๆ ไม่ไปไหน จึงรวบรวมกำลังใจทั้งหมดพูดออกไปว่า "นี่แคแสด ชั้นไม่ได้ให้เธอมาให้ชั้นเห็นตัวนะ โน่นพระเดชพระคุณหลวงพ่อต่างหากที่อยากให้เธอไปปรากฏตัวให้ท่านเห็น โน่น บ้านโน้น อย่ามาผิดบ้านซี ชั้นน่ะ ยังไงๆ ก็ไม่อยากเห็นเธอเลย วันก่อน เห็นเป็นก้อนหมอกวิ่งได้ทั้งที่ไม่มีลมพัดเลย ชั้นก็หายปวดท้องหมด นี่จะมาทำให้หายปวดอีกหรือไง ไปๆ ไม่เอา ไม่อยากเห็น" พอพูดจบข้าพเจ้าเห็นนิ้วมือค่อยเลื่อนช้าๆ ข้าพเจ้ามองตามจนปลายนิ้วหดหายไปพ้นประตูจึงตัดใจว่า "เราจะผลักประตูให้กว้างแล้วจะเข้าไปนั่งที่โถส้วมแหละ จะเห็นกันเป็นตัวทั้งตัวก็เอา จะได้คุยกันให้รู้เรื่องไปเสียที จะเอายังไง ขยันหลอกอยู่แต่ยายชีนี่แหละ" แล้วก็ผลักประตูเข้าไป ว่างเปล่าไม่มีอะไร
 

                 การพบกันเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ไม่เห็นตัว ได้ยินแต่เสียง เวลานั้นประมาณเกือบ ๕ ทุ่ม ข้าพเจ้าเข้านอนเรียบร้อย นอนกำหนดใจในอารมณ์การภาวนาเรื่อยๆ ไปสักครู่ต้องถอนจิตออกมา เพราะได้ยินเสียง
คนวิ่งมาตามถนนแล้ววิ่งมายืนบนนอกชานหน้าบ้าน เวลานั้นข้าพเจ้าอยู่ในบ้านพักคนเดียว คนอื่นๆ เขาครบกำหนดเวลาจำนวนวันในงวดของการปฏิบัติธรรม ก็กลับกรุงเทพฯ กันหมดในตอนเย็น มีอุบาสกเหลือ๒ - ๓ คน และหลวงพี่อีกรูปหนึ่ง

                ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเสียงฝีเท้าของอุบาสก ท่านหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกัน ซึ่งชอบมาแวะดื่มเครื่องดื่มที่บ้านพักของข้าพเจ้าเป็นประจำ จึงเรียกชื่อเขาออกไปพร้อมกับถามว่า "จะทานกาแฟหรือไง?"  ไม่มีเสียงตอบ ทุกอย่างเงียบสนิท ข้าพเจ้ารู้สึกผิดปกติจึงลุกขึ้นนั่ง ขอรับรองว่าขณะนั้นไม่มีอาการง่วงนอนอะไรอยู่เลย จึงส่งเสียงถาม ออกไปใหม่ว่า
 

"นั่นใครน่ะ ใครมาที่หน้าประตู ใคร? ?" ข้าพเจ้าถามคำว่าใคร ซ้ำๆ ๒ - ๓ หน  ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องนั่งตัวแข็ง เหมือนหัวใจหยุดเต้นไป ชั่วครู่ เมื่อมีเสียงกระซิบแผ่วๆ แทบติดหูว่า "คน"  ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ประตูก็ใส่กลอนแล้ว เสียงมาจากไหน ความกลัวเมื่อมีเต็มที่ก็เปลี่ยนเป็นโกรธ นึกในใจว่า เรื่องผีนี่ กลัวอย่างไรก็หนีไม่พ้น เพราะเขาเป็นกายละเอียด ปิดประตูหน้าต่างอย่างไรก็ผ่านเข้าไปผ่านออกมาได้อยู่ดี จึงส่งเสียงดุไปว่า
 

"แหม ตัวเองเป็นผี มาบอกว่าเป็นคน จะมากไปหน่อยละนะ ไปไหนก็ไปซะ ชั้นจะนอนแล้ว"
ข้าพเจ้ารีบล้มตัวลงนอน ห่มผ้าหลับตาปี๋ รู้สึกว่าหัวใจเต้นโครมคราม จึงรีบค่อยๆ กำหนดอารมณ์เจริญภาวนาทันที

 

                   ต่อไปเป็นครั้งที่สี่ วันนั้นเป็นตอนบ่าย วันรุ่งขึ้นจะมีคณะผู้ปฏิบัติธรรมชุดใหม่ขึ้นมาอีก มีเด็กสาวซึ่งเพิ่งสึกจากการบวชชีมาคุยกับข้าพเจ้า เธอเห็นข้าพเจ้าเก็บของสำหรับถวายพระไว้ไม่สวยงาม เธอจึงได้นำมาจัดเรียงให้เป็นระเบียบเรียบร้อย พอเธอจากไปสักพัก คุณหญิงท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงก่อนผู้อื่น เพราะมาทางเครื่องบิน ได้มาถามข้าพเจ้าว่า ใครจัดข้าวของให้ เป็น ระเบียบเรียบร้อยเหลือเกิน

                    ข้าพเจ้าจึงบอกให้ทราบ คุณหญิงเข้าไปใน ห้องพักของท่านแล้วออกมาบ่นกับข้าพเจ้าว่าส้วมไม่สะอาดนัก เวลานั้นเป็นตอนเย็น เราคุยกันด้วยเรื่องต่างๆ แล้วย้อนไปชมเชยเด็กสาวที่ช่วยจัดบ้านให้อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นกันจนค่ำจึงกลับมาที่พัก กำลังนั่งคุยกันต่อเพียงครู่เดียว เราทั้งครู่ก็ได้ยินเสียงผิดสังเกต ในห้องคุณหญิง

                    มีเสียงเหมือนคนจัดสิ่งของดังก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก กระทั่งมีเสียงเหมือนกระป๋องแป้งที่ใช้โรยตัวหล่นจากหิ้งถึงพื้นห้องดังเพล้งเสียงชักโครกในส้วมดังลั่น น้ำไหลเสียงดัง คุณหญิงกับข้าพเจ้านั่งมองหน้ากันนิ่งเงียบ อยู่กันมาเป็นเดือนๆส้วมไม่เคยชักโครกเองได้!
 

พอตั้งสติได้แล้ว ข้าพเจ้าทำใจแข็งชวนคุณหญิงไปดูในห้องท่าน กระป๋องแป้งยังอยู่ที่เดิมไม่มีอะไรหล่นทั้งสิ้น เรามองหน้ากัน ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนวันนั้นคุณหญิงขอย้ายมานอนในห้องอีกห้องหนึ่งข้างๆ ข้าพเจ้า
นอน ในญาณของผู้ที่ใช้ทิพยจักขุไปถามคุณแคแสด เธอตอบว่าเธอเป็นคนทำเอง จัดห้องคุณหญิงและทำความสะอาดส้วม เพราะอยากได้รับคำชมเชยบ้าง นี่เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึง


                   ต่อไปเป็นครั้งที่ห้า สร้อยทองคำขาวแขวนจี้เพชรของคนงานหญิงคนหนึ่งหล่นหาย ขณะที่รีบวิ่งมาทำอาหารถวายพระตอนเช้า ข้าพเจ้าสงสารเธอมาก เพราะเป็นของที่สามีซื้อให้ จึงช่วยกันเดินหาอย่างละเอียด โดยเฉพาะตรงที่เธอเข้าใจว่าน่าจะหล่น แต่ก็หาไม่พบ ของชิ้นนี้หายตอนเช้าตรู่ ตอนกลางวันมีเศรษฐีใจบุญท่านหนึ่งขึ้นไป ท่านไม่ต้องหา เดินไปก็มองเห็นเอง ข้าพเจ้าได้ไปดูตรงที่ท่านเก็บได้ ก็เป็นที่ที่ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้อื่นตรวจกันแล้วอย่างถี่ถ้วน ชนิดเดินเรียงหน้ากระดานหาทีเดียว
 

                  เมื่อมีการถามคุณแคแสด ก็ได้รับคำตอบว่า เขาต้องการให้ความสำคัญกับเศรษฐีใจบุญท่านนั้นเพราะรู้สึกรักมาก ข้าพเจ้านึกในใจว่า ผีนี่ก็เลือกที่รักมักที่ชังเหมือนคนเลย  นี่ข้าพเจ้าเล่าถึงผีตนนี้ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า คนเราถ้าตายด้วยอุบัติเหตุ (เข้าใจว่าคงเป็นรถชนตาย เพราะเท่าที่เห็นกายของเขาใน
สมาธิครั้งแรกมีเลือดเกรอะกรังเต็มตัว) มักจะไม่รู้ตัวว่าตาย เขาจะคิดว่าตัวเขาเป็นคนอยู่เสมอ เหมือนที่ตอบข้าพเจ้าในที่นอนว่า "คน"

                 กายของเขาเมื่อแรกตาย จึงถือว่าเป็นภูมิของอสุรกายชนิดหนึ่ง แต่บังเอิญได้รับบุญจากผู้ปฏิบัติธรรมบ่อยมากเข้า จึงค่อยได้ สติขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายสวยงามขึ้น จนกระทั่งรับส่วนบุญได้ เท่ากับค่อยเลื่อนฐานะให้ได้เป็นสุขขึ้น จะเรียกว่าเป็นเปรตชนิดดีขึ้นก็ได้  ผีชนิดนี้ คือประเภทที่ต้องตายด้วยเหตุการณ์กะทันหัน เมื่ออยู่ในภูมิอสุรกายมักไม่รู้จะไปไหน จะทำอะไร จะงงอยู่กับ สถานที่ที่เกิดเหตุ
 

              นี่สำหรับคนที่ไม่เคยประกอบการบุญกุศลไว้เลยส่วนผู้ที่หมั่นประกอบกุศลกรรมต่างๆ อยู่เสมอเป็นอาจิณณกรรม หากเกิดเหตุทำนองนี้ เวลาเป็นอสุรกายแล้ว จะนึกถึงบุญกุศลที่เคยทำได้ บางทีสามารถเดินไปยังที่ที่ตนเคยกระทำอาจิณกรรม เช่นเคยไปวัด ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตายแล้วยังไม่มีผู้ใดมารับเพราะตายก่อนกำหนด อสุรกายนั้นก็จะเดินทางไปวัดเอง

 

จากหนังสือ จากความทรงจำเล่ม1

อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล

* ชื่อเรื่องเดิม คุณเเคเเสด

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0017760157585144 Mins