ผลดีของการเกิดสัมมาทิฏฐิ

วันที่ 04 เมย. พ.ศ.2563

ผลดีของการเกิดสัมมาทิฏฐิ


                  สัมมาทิฏฐิ ๘ ข้อ มีฤทธิ์อย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า  ผู้มีสัมมาทิฏฐิเพียงคนเดียว เกิดขึ้นที่ไหน ก็เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นความสว่างให้ได้ถึงที่นั่น  ก็พบความจริงเหล่านี้  จึงได้นำมาฝากกับพวกเรา และเพื่อเพิ่มพูนให้มากขึ้นเต็มรูปแบบ ถ้าจะพูดในเชิงวิชาการก็ต้องบอกว่า ความเข้าใจถูก ในระดับที่เรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิขั้นต้น  มันจะเป็นผลในกระบวนการลูกโซ่ของตัวเรา (Chain reaction) สัมมาทิฏฐิจะให้ผลเป็นอย่างไร?

 

               สัมมาทิฏฐิหรือความเข้าใจถูกขั้นพื้นฐาน จะกลายเป็น ข้อมูลประจำใจ เมื่อมีอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเองก็จะมีแนวคิด ไปในทางที่ถูก เพราะคิดถูก ก็เลยทำให้พูดถูก เพราะว่าความคิดดี คำพูดก็พลอยดี พูดถูกไปด้วยเพราะพูดถูก ส่งผลให้ทำในสิ่งที่ถูก จากทำถูก  แม้เมื่อถึงคราวมีอาชีพ  ก็จะประกอบ แต่อาชีพที่ถูกต้อง เรื่องจะประกอบมิจฉาอาชีวะก็ไม่เอา จะเป็นข้าราชการก็เป็นข้าราชการที่ซื่อตรง จะเป็นพ่อค้าก็เป็น พ่อค้าที่ซื่อตรง จะเป็นครูบาอาจารย์ เป็นทหาร ก็จะซื่อตรง จะเลือกประกอบอาชีพที่ถูกต้อง อาชีพแสบๆ ไม่เอา ผลจากการที่คิดถูก จะเป็นผลให้พูดถูก  จากการที่พูดถูก ในที่สุดก็ทำถูก ส่งเป็นทอดๆ  จากการที่ทำถูกแม้ ในการประกอบอาชีพก็เลือกอาชีพถูกต้อง เมื่อเลือกอาชีพ ที่ถูกต้อง  ก็ทำแต่ความดีมาอย่างนี้

               

               ความระมัดระวังหรือ ความไม่ประมาทก็จะเกิดแก่เขา เมื่อความไม่ประมาทเกิดขึ้น ต่อแต่นี้ เขายิ่งได้แต่เห็นผลดี เขาก็เลยทุ่มเทได้มากขึ้น ทั้งทุ่มเทที่จะทำความดี ทุ่มเททำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ ในทางสร้างสรรค์ ผลมันก็ออกมาก่อให้เกิดความเข้าใจถูกในอีกระดับ หนึ่งเป็นวงกลม  แต่เป็นวงกลมในลักษณะเหมือนขันน็อต เป็นเกลียวๆ รอบต่อไป ก่อให้เกิดความเข้าใจถูก แล้วก็ จะก่อให้เกิดความคิดถูกขึ้นอีกระดับหนึงอีก  เหมือนขันน็อต เข้าไป  คือยิ่งขันยิ่งเข้าใจถูกลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ วงจรนี้ เรียกว่า มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่

 

๑) สัมมาทิฏฐิ คือ เข้าใจถูก

๒) สัมมาสังกัปปะ คือ คิดถูก                                                                                                    ๓) สัมมาวาจา คือ พูดถูก

๔) สัมมากัมมันตะ คือ ทำถูก หมายถึงทำอะไรก็ได้ที่เป็นความดี แต่ไม่เกี่ยวกับ การประกอบอาชีพ

๕) สัมมาอาชีวะ คือ ประกอบอาชีพถูก

๖) สัมมาวายามะ คือ มีความเพียรถูก

๗) สัมมาสติ คือ ระลึกถูก

๘) สัมมาสมาธิ คือ มีใจตั้งมั่นถูก


                     แล้วก็ย้อนมาสัมมาทิฏฐิ อีกรอบ เป็นวงจรแล้ว วงจรเล่า ขันเข้าไปๆ  เมื่อขันเข้าไปหลายเกลียวหนักเข้าๆ ก็จะดีจนได้ เราก็จะเห็นว่าคำสอนในพระพุทธศาสนาจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องลึกลับแต่สามารถตรองได้   แล้วทุกคนมีสิทธิ์ที่ จะทำเพียงแต่ว่าจะมีกำลังใจทำเมื่อไรกันสักทีอยู่ตรงนี้เมื่อเราเห็นวงจรชัดเจนอย่างนี้  เราก็จะพบว่าเราเชื่อได้ว่า พระสัมมาสัมพทุธเจ้ามีจริง ไม่ใช่เรื่องแปลกปลอม หลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ก็มีพร้อม หลักศิลาจารึก ซึ่งเป็นสถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ ยังมีปรากฏอยู่ในประเทศอินเดียจนกระทั่งทุกวันนี้ ผู้เป็นพระอรหันต์ก็มีหลักฐานทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังดู ทางประวัติศาสตร์อีกเยอะแยะ  ก็เป็นหน้าที่ของพวกเรา

                   ต่อแต่นี้ไป  ไม่ว่าเราจะอยู่ทางโลกหรือทางธรรม ก็ขอให้ ตั้งใจสร้างบารมีกันไปเถอะ  สร้างบุญสร้างบารมีกันไปใน ระดับแบบชาวโลกของเรา อย่าไปท้อไปถอย พระภิกษุท่านก็สร้างบุญสร้างบารมีไปตามเส้นทาง ของท่าน เราก็สร้างบารมีตามเส้นทางของเรา จะต้องเลี้ยงลูก เลี้ยงภรรยา ปกครองบริหารงาน  ก็ทำกันไป  ไม่มีใครว่า ทำในระดับที่ตัวเองทำเต็มกำลังได้  

 

                 ถ้าอย่างนี้ชีวิตนี้ก็จะ ประสบความสุข ความสำเร็จโดยทั่วหน้ากัน อุปสรรคมันก็ มีบ้าง แต่คนที่เข้าใจสัมมาทิฏฐิ ๘ ประการนี้แล้ว ถึงคราว เจออุปสรรค จะไม่โทษดวงชะตาฟ้าดิน ถามจริงๆ เถอะ เคยผูกดวงกับเขาไหม? ขอฝากไว้ ก็แล้วกัน ในพระพุทธศาสนานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ เคยสอนให้เชื่อดวงเลย  พระองค์สอนให้เชื่อกรรม ให้เว้น กรรมชั่ว แล้วทำแต่กรรมดี  ถ้าพูดในเชิงโหราศาสตร์ก็ ต้องบอกว่า พระพุทธศาสนาสอนให้ฝืนดวง ไม่ใช่ปล่อยไป ตามดวง ยกตัวอย่างง่ายๆ ชาวโลกโดยนิสัยก็จะกอบโกย ความ สุขเข้าตัวใช่หรือไม่ ? พระพุทธองค์สอนตั้งแต่ก้าวแรกเลย ให้ปันกันกินปันกันใช้ คือ ทาน  ขั้นต้นก็   ฝืนดวงแล้ว เพราะฉะนั้นต้องฝืนดวง อย่าไปปล่อยตามดวง  คนทางโลกโกรธกันก็ฆ่ากันก็รังแกกัน  แต่ถ้า       องคุลีมาลปล่อย ตัวเองไปตามดวง ก็เป็นโจรจนตาย  แล้ววันหนึ่งคงจะถูก เขาฆ่าตาย

 

                   แต่เมื่อมาเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์สอนให้โยนดาบทิ้ง แล้วปฏิบัติธรรมตามท่าน จากโจรก็มา เป็นพระอรหันต์ ถามว่าฝืนดวงไหม ? ใช่  ท่านไม่ยอม ปล่อยไปตามดวง แม้แต่ตัวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองถ้าปล่อยตามดวง พระองค์เป็นเจ้าชาย วันหนึ่งก็ต้องได้เป็นกษัตริย์ พระองค์ท่านก็ไม่เอา พระองค์ก็ฝืนดวงของพระองค์ ออกบวช มาเป็นศาสดาให้เรากราบ เพราะฉะนั้น นี่คือชะตาชาวพุทธ            ถ้าปล่อยไปตามดวงใช้ไม่ได้ ไม่ใช่พุทธศาสนิกชน ไม่ใช่พุทธมามกะ พระองค์ฝืนให้ดูแล้ว แทนที่จะเป็นกษัตริย์ พระองค์ไม่เอา

 

                    กษัตริย์อย่างมากก็ยิ่งใหญ่อยู่แค่ไม่กี่ปี  ใหญ่อยู่แค่แคว้นเดียว ออกบวชดีกว่า ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกของโลกมาตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปี คนยังไม่ลืม เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นผู้นำทางความคิด  นักปกครอง นักบริหาร หรือจะประกอบสัมมาชีพอะไรก็ตามที พอเริ่มต้นก็ต้องฝืนดวงกันแล้ว ห้ามเชื่อดวง ให้เชื่อว่าทาน ดีจริงควรทำ การยกย่องบูชาคนดีควรทำ คือไม่ว่าดวงของ เขากับเรามันจะเป็นอย่างไร  จะกินกันหรือไม่กินกันก็ช่างดวงมัน เพราะถ้าเป็นคนดีแล้ว เป็นต้องยกย่องกัน  การปฏิสันถารต้อนรับดีจริง ควรทำ กรรมดี กรรมชั่วมีผลจริง คือจะเลือกทำแต่กรรมดี 



                      เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เราเป็นชาวไทยและเป็นชาวพุทธ  มีหน้าที่จะต้องช่วยกันพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง  เราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเอง สร้างความ เชื่อมั่นและความดีให้แก่พี่น้องคนไทยด้วยกัน แล้วสังคม จะราบรื่น บ้านเมืองก็ร่มเย็น ขอฝากให้ไปพิจารณาเรื่องสัมมาทิฏฐิขั้นต้นทั้งหมด นี้  เอามาเทียบกับงานที่เราทำกันมาตลอดชีวิตก็แล้วกันว่า มีอะไรที่เราหลุดไปจากสัมมาทิฏฐิบ้างไหม?  ถ้ามี  ให้รีบแก้ไขเสีย  ถ้าตรวจดูแล้วเราว่าไม่ผิดคำสอนพระพุทธเจ้าเลย  ก็จะได้ชื่นใจตัวเองว่า เราก็ลูกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

จากหนังสือ สัมมาทิฏฐิ รากฐานการพัฒนาชีวิต

                                                                                 โดยคุณครูไม่เล็ก

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.013847168286641 Mins