นิสัยสำเร็จยุค Gen Y

วันที่ 19 สค. พ.ศ.2563

19-8-63-5-b.jpg

นิสัยสำเร็จยุค Gen Y

 

ในปัจจุบันคนหนุ่มสาวยุค

Millennial หรือ Generation Y

กำลังเติบโตเเละก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในเเต่ละองค์กร

ซึ่งเเน่นอนว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ย่อมต้องการ

ความสำเร็จในอาชีพการงานของตนเอง

 

 

สร้างนิสัยประสบความสำเร็จให้คนในยุค Gen Y

                       คนยุค Gen Y คือ คนที่เกิดในช่วงปี 2523 จนถึง ปี พ.ศ. 2543 ถ้าเทียบกับปีปัจจุบัน จะมีอายุประมาณ 19-39 ปี


                       คนกลุ่มนี้ ปัจจุบันเริ่มกลายเป็นกำลังหลักขององค์กรต่างๆ เพราะเริ่มทยอยจบการศึกษา แล้วเข้าไปมีบทบาทอยู่ในองค์กรต่างๆ เนื่องจากคนแต่ละยุคมีอุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน ความเข้าใจ และจัดสรรคนใน Generation ต่างๆ ลงในบทบาทหน้าที่ที่เหมาะสม จึงมีความสำคัญเพื่อใช้สอยคนให้เหมาะที่สุด สร้างศักยภาพสูงสุด


                      องค์กรต่างๆ มีแนวโน้มให้คำแนะนำว่า ไม่ควรมองคน Gen Y ว่าดีกว่า หรือ ด้อยกว่าคนรุ่นอื่นๆ แต่ให้มองว่า “เขาแตกต่าง” เท่านั้น และควรส่งเสริมจุดเด่นเเก้จุดด้อยให้เขาเป็นหลัก


                       คน Gen Y มีช่วงอายุประมาณ 19-39 ปี ก็จริง แต่มีการคำนวณมาแล้วว่าในปี พ.ศ. 2568 คนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มคนที่เข้ามาอยู่ในภาคธุรกิจหลักถึง 44% ซึ่งสูงที่สุดในทุก Generation


                      มีการสำรวจของบริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์ของสหรัฐอเมริกา โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยคนกว่า 1,000 คน พบว่างานที่คนGen Y รู้สึกอยากทำเป็นอันดับหนึ่งคืองานที่ใช้เวลาไม่มาก เพื่อพวกเขาจะได้มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น


                      สองคืองานที่สร้างแรงจูงใจ และแรงผลักดันที่ทำให้พวกเขา เกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จเป็นขั้นๆ ให้ความสำคัญกับผลงาน เรียกได้ว่า เงินสำคัญน้อยกว่าผลงานนั่นเอง


                       คน Gen Y เป็นพวกใช้เทคโนโลยีทำงาน เป็นคนจำพวก Multitasking คือทำอะไรได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน เพราะเขาเติบโตมากับเทคโนโลยี เขาจึงอยากใช้ศักยภาพของตนเองที่มีให้เต็มที่นั่นเอง


                       คน Gen Y คือหัวใจขององค์กรในอนาคต แต่เขาจะเติบโตได้ดีหรือไม่ จะได้เป็นผู้บริหารหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติพื้นฐาน ซึ่งเราจะมาดูกันว่าคุณสมบัติพื้นฐานที่ควรจะสร้างขึ้นมานั้นมีอะไรบ้าง


                        ข้อแรก “สร้างกิจวัตรประจำวันให้แข็งแรง” มีวินัย มีความสม่ำเสมอ และวางแผนเรื่องต่างๆ ก่อนเข้านอน ไม่เล่นเกม ปิดหมดทุกอย่างเพื่อที่จะสงบจิตใจ แล้วทำให้พักผ่อนได้เต็มที่ ตื่นเช้าสติจะมาเต็ม สมาธิมาเต็ม ประสิทธิภาพร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นกว่าคนที่เล่นเกมแล้วนอน ทำให้เช้าวันต่อๆ ไปเราจะได้ใช้ศักยภาพของสมองและจิตใจได้อย่างเต็มที่


                        ข้อสอง “สุขภาพดีต้องมาก่อน” จริงๆ แล้วกลุ่มคน Gen Y ชอบเข้าฟิตเนส และมักจะไปออกกำลังกายในแบบที่ตนเองชื่นชอบอยู่แล้ว


                        ข้อสาม “เริ่มต้นวันอย่างมีสติ” เรียกว่า Make A Good Start คือการเริ่มต้นที่ดี ตื่นมาออกกำลังกายข้างเตียงก็ได้ ห้องนั่งเล่นก็ได้ เพื่อเป็นการเริ่มต้นวันที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง และให้ความสำคัญกับอาหารเช้า เเล้วหมั่นวางเเผนงานในวันใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยใช้เวลาอย่างน้อย 30-45 นาที ก่อนที่จะตรวจสอบอีเมล ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก เพราะคนยุคนี้อยากทำงานน้อยๆ ได้ผลงานมากๆ ดังนั้น ถ้าวางแผนงานในแต่ละวันไม่ดี จะทำให้ทั้งวันต้องทำงานอย่างไม่จบสิ้น


                        ข้อสุดท้าย “ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ” คนสมัยนี้เข้านอนค่อนข้างดึกเกินไป ซึ่งผิดเวลาของนาฬิกาชีวิต ทำให้ตื่นเช้ามาเราลุยงานได้ไม่เต็มที่ เพราะสมองจะเบลอทำให้คุณภาพงานเสีย ถ้าเราไม่อยากให้เพื่อนแซงหน้า ชีวิตเราจะต้องมีแรงบันดาลใจตลอดเวลาโดยต้องเริ่มต้นที่คุณภาพการนอนก่อน คือเริ่มต้นจากกิจวัตรที่ดีของตนเองก่อน

 

                       นิสัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จคือต้องทำสะพานเชื่อมช่องว่างของคนทุกกลุ่มวัย เราต้องมีปฏิสัมพันธ์ได้กับทุกคนรอบข้างอย่าให้ช่องว่างระหว่างวัยมาเป็นอุปสรรค ต้องหาสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ให้เจอ ความจริงคือให้เราเข้าใจว่าไม่มีใครดีกว่ากัน แต่มันเป็นแค่ความแตกต่างเท่านั้น


                        ให้พยายามรู้จักเข้าสังคมที่มีกลุ่มเดียวกันเพื่อสร้างเครือข่าย ถ้าเรามีเครือข่ายมาก เครือข่ายก็จะช่วยให้เราทำงานได้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น


                        นอกเหนือจากการทำกิจวัตรอย่างมีวินัยสม่ำเสมอ การสร้างเครือข่ายและการปฏิสัมพันธ์กับคนทุกกลุ่มแล้ว เราต้องมีความมุ่งมั่น บากบั่นและมีมานะอดทน ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก ถ้าเราล้มเลิกกลางคันโดยไม่อดทน ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างง่ายดาย


                        ต้องเข้าใจว่าความสำเร็จไม่มีทางลัดทุกอย่างจะได้มาต้องเอาความเพียรเข้าสู้ เช่น เราอยากเก่งภาษา เราก็ต้องฝึกฟัง พูดอ่าน และเขียนทุกวัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องแลกด้วยความพยายามจนเกิดความสำเร็จ ให้นึกว่าเรากำลังปลูกต้นไม้ ต้นไม้จะค่อยๆ เติบโต ไม่มีทางที่ปลูกแล้วจะออกดอกผลทันที


                        คน Gen Y อายุยังน้อย ถึงจะมีความรู้มากก็ต้องหาอะไร ที่เป็นอาหารสมองมาเพิ่มเติม ต้องหาที่ปรึกษาที่ดี เลือกคบหาคนเก่งๆ เราก็จะเก่งเร็วขึ้น เพราะฉะนั้น ต้องไม่มองข้ามที่จะเข้าหาพูดคุยกับคนเก่งๆ อยู่เสมอ แล้วเขาจะกลายเป็นที่ปรึกษาที่ดีของเราได้ในอนาคต


                       ในการทำงานต่างๆ หากเราตั้งเป้าหมายไว้ใหญ่มาก ไกลมากเกินไป บางครั้งก็อาจเกิดความรู้สึกท้อได้ ให้แก้ไขด้วยการตั้งเป้าหมายย่อยในแต่ละวัน ตั้งเป้าหมายเล็กๆ 3 ข้อที่สามารถทำสำเร็จได้ในหนึ่งวัน พอเราทำข้อที่ 1 2 และ 3 สำเร็จแล้ว แต่ละครั้งให้ทำเครื่องหมายถูกไว้ด้วยเสมอ


                        การจะเปลี่ยนนิสัยไปสู่ความสำเร็จของคน Gen Y ต้องไม่มัวนั่งรอโชคชะตา แต่ให้เราสร้างมันขึ้นมาเลย เพราะความโชคดีไม่เคยมาหาคนที่ไม่ไขว่คว้า


                        ที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะสร้างความแตกต่างให้ตนเองด้วย สมัยนี้ตัวเลือกมีมาก การแข่งขันมีสูงเพราะเป็นยุคโซเชียลมีเดีย ถ้าผลิตภัณฑ์ของเรา การบริการของเราสามารถสร้างความแตกต่างได้ เราก็จะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเหมือนผูกขาดทางการตลาดเลยทีเดียว เพราะจะไปหาคนอื่นเข้ามาทำแทนเราไม่ได้


                      สำหรับคน Gen Y ความสำเร็จไม่ได้อยู่ไกลเกินไป เพราะพวกเขาเป็นคนที่รอบรู้อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามความสำเร็จไม่มีทางลัด แต่มีเคล็ดไม่ลับคือต้องใช้ความพยายาม ความมุ่งมั่นอดทน


                       ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค รวมทั้งใช้ความคิดสร้างสรรค์ ถ้าใช้เคล็ดไม่ลับเหล่านี้มาวางแผนและเลือกอย่างชาญฉลาด รวมทั้งลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

                     คน Gen Y ใช้เทคโนโลยีคล่องมาก ต่างจากคนรุ่นเก่าๆ ที่มองแล้วตาลาย สงสัยว่าคนสมัยนี้ทำไมทำอะไรได้รวดเร็วนักประเด็นคือคน Gen Y ใช้เทคโนโลยีมาตั้งแต่เล็กจนกระทั่งเหมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งไปแล้ว นี่คือจุดเด่นของคน Gen Y ไม่ว่าจะอยากรู้เรื่องอะไรก็สามารถหาคำตอบได้จากแหล่งข้อมูลที่มีมากมาย ไม่เหมือนกับคนรุ่นเก่าๆ ที่พออยากจะรู้อะไรก็ต้องไปหาอ่านหนังสือในห้องสมุด ไปค้นหาจากแหล่งข้อมูลที่มีอย่างจำกัด อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ดูโทรทัศน์ที่มีไม่กี่ช่องบ้าง


                     ยุคนี้อยากรู้อะไรเข้า Google มีหมด อยากจะค้นคว้าเรื่องอะไรที่น่าเชื่อถือมีหมด เนื้อหาละเอียดยิ่งกว่าเอนไซม์โคลพีเดียเป็น10 เท่า ข้อมูลมีมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้น คนรุ่นนี้เขาได้เห็นอะไรมากกว่าคนรุ่นเก่ามาก จนบางครั้งทำให้เขาค่อนข้างมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ฟังผู้ใหญ่น้อยลงเพราะเขารู้สึกว่าหลายๆ เรื่องเขารู้ดีกว่า เขารู้มากกว่า เขาใช้เทคโนโลยีคล่องกว่าผู้ใหญ่ที่ใช้งานไม่ค่อยเป็น


                    ความเชื่อมั่นในตนเองที่มีมากคือลักษณะพิเศษของคน Gen Y ถ้าผู้ใหญ่ทำความเข้าใจแล้วใช้เขาให้เป็น จะได้งานที่สมบูรณ์พัฒนาก้าวหน้าไปไกล ในขณะเดียวกันถ้าคน Gen Y เข้าใจตนเองดีแล้วพัฒนาตนเองให้ดี ก็จะประสบความสำเร็จได้เป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุยังน้อยแบบไม่ยากเลย


                     คนรุ่นเก่านั้นกว่าจะตั้งตัวได้ต้องใช้เวลา ขยันทำงาน เก็บออม เอาเงินทองไปฝากธนาคาร แล้วค่อยๆ กินดอกเบี้ย อะไรที่เสี่ยงๆ ไม่ค่อยเอา เพราะสมัยก่อนดอกเบี้ยเงินฝากยังให้มากถึงร้อยละ 7-8% แต่สมัยนี้การหาช่องทางลงทุนคุ้มกว่าการนำเงินไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ย เช่น การลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น


                     สมัยนี้พอมีอะไรที่น่าสนใจก็แห่กันไปลงทุน หาช่องทางการลงทุน แล้วพยายามเป็นเจ้าของกิจการ ตั้งบริษัทสตาร์ตอัป (Start up) ซึ่งเป็นบริษัทใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีไอทีเป็นฐาน ถ้าทำดีๆ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว


                     ยกตัวอย่างบริษัทสตาร์ตอัปแถวซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ที่สุดของโลก คนรุ่นใหม่ที่หลายคนชื่นชอบอย่าง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ก็ถือว่าเป็นคนรุ่น Gen Y เขาอายุเพียง 34 ปี แต่รวยมีสินทรัพย์กว่า 1 ล้านล้านบาทแล้ว พอคนรุ่นใหม่เห็นก็อยากจะรวยเร็วอย่างนั้นบ้าง อยากจะมีชีวิตอย่างนั้นบ้าง
 

4 ข้อ ของคนอยากรวยเร็ว

                     เมื่ออยากรวยเร็วก็ต้องมองหาช่องทางลงทุน และพร้อมที่จะเปลี่ยนงานที่คิดว่ามีอนาคตดีกว่าให้ผลตอบแทนมากกว่า คราวนี้ก็จะประสบความสำเร็จเป็นคน Gen Y ที่มีชีวิตรุ่งโรจน์ได้จริง ซึ่งจริงๆ มีหลักแค่ 4 ข้อ ที่คน Generation อื่น ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้เช่นเดียวกัน


ข้อที่ 1 “ต้องศึกษาให้รู้จริง”

                    ไม่ใช่ว่ารู้เรื่องไอทีก็รู้แบบทั่วไปแต่ไม่ได้เก่งจริง ต้องรู้ให้แน่จริง เก่งจริงอย่างน้อยสักหนึ่งเรื่อง เช่น ถ้าเราเก่งจริงเรื่องทำก๋วยเตี๋ยว พอเปิดร้านลูกค้าก็แห่กันมาหา แค่นี้ก็รวยได้แล้ว ถ้าใครใช้หลักการนี้ไม่ว่า Generation ใดก็รวยได้ทั้งนั้น


                    ทำอะไรก็ตามให้พัฒนาฝีมือจนเก่งจริงๆ ช่างตัดผมฝีมือดีไม่ต้องอยู่บนห้างฯ ถึงแม้จะเปิดร้านในซอยลึก ลูกค้าอยู่ถึงต่างจังหวัดก็จะดั้นด้นเดินทางตามมาตัดผมด้วยอย่างแน่นอน คิดราคาหัวละ 700 ยังต้องจองคิวเป็นเดือนเลยก็มี รายได้ต่อเดือนหลักแสนบาท


                  ดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามขอให้เก่งจริง ถ้าอยากจะรวยเร็วต้องเก่งจริง มีอย่างน้อยหนึ่งอย่างที่เชี่ยวชาญแตกฉานจริงๆ เท่านั้นเอง


ข้อที่ 2 “สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์"

                  เมื่อเริ่มทำธุรกิจ Connections นั้นสำคัญมาก เริ่มคนเดียวมันลำบาก ต้องมีคู่คิดมีหุ้นส่วน จะกี่คนก็แล้วแต่ แต่ต้องมีคู่คิดจับมือกันไป ช่วยกันทำถึงจะไปได้ไกล บางทีอยู่คนเดียวนึกอะไรไม่ออก พอได้คุยกันก็เกิดไอเดียขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น เชื่อมสัมพันธ์กับคนเก่งด้วยกัน คนที่เอาจริงด้วยกัน คนดีด้วยกันแล้วจะไปได้ไกล แต่ถ้าเราไปจับมือกับคนขี้เหล้าเมายา ชอบเล่นการพนัน ต่อให้เก่งเท่าไรก็จะพากันล้มในที่สุด


                 ความสัมพันธ์นั้นมีค่ามาก คนจีนส่วนใหญ่ต้องการเป็นเถ้าแก่ เขาขยายกิจการได้อย่างรวดเร็วเพราะเขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มาก มีศัพท์ที่รู้กันทั่วไป คำว่า “กวานซี่” แปลว่า “ความสัมพันธ์” คนจีนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก พอมีแขกไปใครมา เขาจะดูแลอย่างดี เพื่อหวังสร้างความสัมพันธ์เกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกันและกันนั่นเอง


                   ความสัมพันธ์เป็นต้นทุนที่สำคัญไม่แพ้เงินที่จะทำให้การงานของเราขยายและสำเร็จก้าวไปข้างหน้าได้ ถึงแม้เริ่มงานไปแล้วความสัมพันธ์ที่ถือเป็นคู่ค้าก็มีความสำคัญ เช่นเดียวกัน คน Generation ใดจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ต้องเป็นคนที่เห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ หรือ Connections เสมอ

 

ข้อที่ 3 “ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า”

                  จงอย่าใช้เวลาอย่างฟุ่มเฟือย มัวแต่เข้า Line เล่น Facebook วันๆ หนึ่งหลายชั่วโมง โทรศัพท์มือถือห่างมือไม่ได้ เข้าห้องเรียนยังต้องเอามานั่งกดอยู่ใต้โต๊ะ เสียสมาธิในการเรียน ทำงานไปก็กดโทรศัพท์มือถือไป ทำงานไปทุกๆ 10 นาที ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูว่ามีใครส่งข้อความมาไหม อย่างนี้สมาธิเสีย ประสิทธิภาพการทำงานย่ำแย่ สมองสับสน เพราะสมองคนเราคิดได้ทีละเรื่อง


                  ถ้าเราทำงานไปดูโซเชียลมีเดียไป ประสิทธิภาพในการทำงานย่อมลดลง คุณภาพของสมอง และคุณภาพของงานจะลดลงอย่างแน่นอน


                ดังนั้น เราควรใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ไม่ติดโซเชียลมีเดียจนเกินไป ถึงคราวเรียนคราวทำงานก็ปิดเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ถึงช่วงพักแล้วค่อยหยิบขึ้นมาตรวจดูข้อความ ไม่ด่วนก็ทิ้งไว้ก่อน ถ้าเรามีวินัยในการใช้โซเชียลมีเดียต่างๆ แล้วใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เราก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน


ข้อที่ 4 “ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย”

                   ถ้าอยากจะรวย รอให้รวยก่อนแล้วค่อยใช้จ่ายเพื่อหาความสุขส่วนตัว แต่ตอนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวนี้ เราควรรู้จักเก็บหอมรอมริบ เพราะการจะเริ่มต้นกิจการอะไรต้องใช้ต้นทุนทั้งนั้น ดังนั้นต้องประหยัดและรู้คุณค่าของเงิน


                  ต้นทุนที่เราเก็บหอมรอมริบไว้ แล้วใช้จ่ายอย่างประหยัด จะทำให้เรามีความมั่นใจในตนเอง จะทำอะไรก็กล้าลงทุน คนที่ฟุ่มเฟือยไม่ค่อยมีเงินเก็บ สมมุติว่าผ่านไป 10 ปี เก็บออมได้มาห้าหมื่น จะใช้เงินก้อนนี้ไปลงทุนทำอะไรก็ไม่กล้า เพราะรู้สึกว่าตนเองเก็บเงินมานาน เก็บไม่เป็น เหลือเงินน้อย ถ้าใช้ลงทุนไปแล้วหมด ก็ยากจะเก็บก้อนใหม่


                   แต่คนที่ประหยัดอดออม กินน้อยใช้น้อยแล้วมีเงินเก็บไว้ใช้ในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า ถึงคราวมีจังหวะดีในการเริ่มต้นกิจการก็จะมีเงินไปลงทุน แล้วต่อให้เป็นเงินก้อนใหญ่ก็กล้าลงทุนเพราะมั่นใจในตนเอง ว่าเรากินน้อยใช้จ่ายน้อยสามารถรับมือสถานการณ์ไม่คาดฝันทางร้ายได้


    ความกล้าหาญจะเกิดขึ้นมาเพราะความ
ประหยัดของตนเอง ถ้าทำได้อย่างนี้เราก็จะเป็น
คน Gen Y ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จใน
ชีวิตสูง แม้คน Generation อื่นก็เช่นเดียวกัน

 

 

จากหนังสือ PERFECTIONIST สไตล์พุทธะ

พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0058003822962443 Mins