ผู้เป็นศูนย์รวมใจ ตอนที่ ๓

วันที่ 24 ธค. พ.ศ.2564

641224_%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2-3.jpg

ผู้เป็นศูนย์รวมใจ ตอนที่ ๓
          ในช่วงที่คุณยายอายุประมาณ ๗๐ ปี เศษ ท่านยังแข็งแรง การทำงานทุกอย่างท่านจะเข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย แม้ท่านเข้มงวดมาก แต่ลูกหลานก็ชอบที่จะเข้าใกล้ท่าน เพื่อจะได้ฟังธรรมะ ได้ไปช่วยคุณยายทำภารกิจต่างๆ ทำความสะอาดเสนาสนะ หรือไปช่วยปลูกต้นไม้ อยากได้ฟ้งธรรมะดีๆ จากคุณยาย

           คุณยายก็มักจะสอนว่า พวกเราถ้าอยากเป็นอย่างยาย ต้องขยัน อย่าเป็นคนขี้เกียจ พยายามอบรมตัวเองอยู่เรื่อยๆ พยายามสอนตัวเอง แล้วก็พยายามใกล้ชิดครูบาอาจารย์ อย่าเป็นคนห่างครูบาอาจารย์ เราใกล้ชิดเพื่อจะรับใช้ท่าน ฟังธรรมตามที่ท่านพูด และก็ไตร่ตรองตาม เอามาปรับปรุงแก้ไขตัวเองเหมือนยาย พยายามอยู่ทำวิชชากับหลวงพ่อวัดปากนํ้าและกับยายทองสุขยายไม่ค่อยขอลาไปทำธุระที่ไหนๆ เหมือนคนทำวิชชาคนอื่นๆ ยายจึงรองรับวิชชาของหลวงพ่อวัดปากนํ้าไว้ได้มาก จนหลวงพ่อชมยายว่า ลูกจันทร์เป็นหนึ่งไม่มีสอง

          คุณยายเคยเล่าว่า แม้ยายทำงานหยาบ ใจก็จะดิ่งธรรมะตลอดเวลา ใจดิ่งอยู่กับธรรมะไปเรื่อยๆ บางทียายทำงานไป ระลึกชาติไป ระลึกไปถึงการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นพระองค์นี้ ระลึกไปถึงการสร้างบารมีของพระอรหันต์องค์นั้นองค์นี้ แล้วก็ดิ่งธรรมะแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ไปบ้าง ค้นธรรมะไปบ้าง

           ในขณะเดียวกัน ถ้าพวกเราไปช่วยคุณยายทำงาน คุณยายก็ชำเลืองดูพวกเราว่า เออ ไอ้ลูกหลานมันทำงานได้เรื่องหรือเปล่า ถ้าเกิดทำงานไม่ได้เรื่อง คุณยายก็สอนอีก ทำอย่างนี้สิ ทำอย่างนี้ดีกว่า ทำอย่างนี้เร็วกว่า ทำอย่างนี้ได้ผลกว่า สะอาดกว่า ดูดีกว่าอะไรทำนองนั้น แล้วก็จะบอกเสมอๆ เรื่องการฝึกธรรมะ ยายทำจนชำนาญแล้ว ฝึกทำจนเชี่ยวขาญ สมัยอยู่กับหลวงพ่อวัดปากนั้า พระมงคลเทพมุนี ทำให้ยายสามารถทำธรรมะได้ทุกอิริยาบถ แล้วก็ค้นธรรมะได้ จนกระทั่งมาสอนพวกคุณน่ะแหละ

           บางทีคุณยายก็มาบอกมาเล่าให้หลวงพ่อทัตตฟัง เอาไว้เทศน์สอน คุณยายรู้ว่า หลวงพ่อทัตตชีโวเป็นพระที่ชอบเทศน์ชอบสอนคน แม้ท่านศึกษาธรรมะแตกฉานในพระไตรปีฎก แต่บางครั้งอ่านไปท่านก็ไม่เข้าใจบางเรื่องต้องมาถามคุณยายว่า เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรเรื่องนี้มีรายละเอียดว่าอย่างไร มีเหตุมาอย่างไร เพราะบางเรื่องไม่มีบอกไว้ในพระไตรปิฎก

           คุณยายบอก ยายไม่รู้หนังสือ ยายไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก ยายก็ได้แต่นั่งเข้าที่ระลึกชาติไปตรวจดูเหตุการณในยุคนั้นสมัยนั้น หาคำตอบมาให้ท่านให้ได้ บอกว่า ยายช่วยได้เท่านี้ คุณยายเคยบอกอาตมาว่า การจะตอบเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ ตอบส่งเดชไปไม่ได้นะ ยายต้องเข้าที่ไประลึกชาติย้อนไปดูเหตุ ตรวจดูจริงๆ ไปให้เห็นจริงๆ เลย เหมือนเราเข้าไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์แล้วถึงจะมาตอบได้

641224_%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2-1.jpg

          หลวงพ่อวัดปากนํ้ากำชับไว้นักหนาว่า เป็นครูเขาเวลาสอนต้องสอนให้เขารู้ถูกเห็นถูก ตรงตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกประการ แล้วก็ต้องสอบสวนทบไปทวนมาดูให้ดี ให้แน่ชัดว่า มันถูกต้องจริงๆ จะด้นเดาเอาไม่ได้ ให้ถูกต้องตามเส้นทางพระรัตนตรัย ตามเส้นทางพระนิพพาน ถ้าสอนเขาถูกแล้ว เขาเอาไปสอนต่อ คนที่ฟังต่อๆ ไปก็ได้ฟังเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าสอนผิดไป คนรับฟังไปถ่ายทอดต่อ คนที่ฟังต่อๆ ไปก็ผิดหมด เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ถ้าจะตอบคำถามเกี่ยวกับธรรมะคุณยายจะต้องใช้เวลา ต้องไปสอบสวนดูจริงๆ 

          มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อหัตตชีโวเข้าไปถามคุณยายว่า พระได้อ่านเรื่องพระองคุลิมาลหลายเที่ยว องคุลิมาล ตอนที่ยังไม่บวช ได้ไปอยู่กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ แรกๆ อาจารย์ทิศาปาโมกข์ก็รักองคุลิมาลมาก รักอย่างกับลูก เพราะองคุลิมาลเป็นบุรุษที่ร่างกายสูงใหญ่ รูปงาม ฉลาด ขยัน ช่างพูดช่างเจรจา ขยันทำกิจการงานทุกอย่างในบ้านของอาจารย์ ทำหมดไม่ต้องรอให้สั่งเลย อาจารย์รักอย่างกับลูกทีเดียว

          แต่ทำไมนะยาย พออาจารย์ทิศาปาโมกข์ไปเจอศิษย์สอพลอบางคนเป่าหูนิดหนึ่ง ความรักนั้นเปลี่ยนไปเป็นความชัง จากคนที่เคยคิดจะให้ กลายเป็นคนที่คิดจะฆ่า สองคนนี้ มีเหตุในอดีตกันมาอย่างไร หลวงพ่อหัตตชีโวถามคุณยายอย่างนี้ คุณยายบอก เดี๋ยวขอเวลายายไปตรวจดูก่อน พรุ่งนี้เย็นๆ หลวงพ่อทัตตะค่อยมาเอาคำตอบนะ ในขณะทำงานปลูกต้นไม้ไป คุณยายก็ดค้นธรรมะไป ระลึกชาติไปเรื่อย ค้นไปเรื่อย กลางคืนคุณยายก็นั้งเข้าที่ไปค้นดูเรื่องนี้

641224_%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2-2.jpg

           วันรุ่งขึ้น หลวงพ่อทัตตชีโวมาเอาคำตอบ ยายก็เล่าให้ฟัง จากนั้นก็เล่าให้อาตมาฟังอีก เออ... เรื่องนี้ยายไปเล่าให้หลวงพ่อทัตตะฟังว่า คน ๒ คนนี่นะ องคุลิมาลกับอีตาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ๒ คนนี้เขาเคยเกิดร่วมกันมาหลายชาติ เคยสร้างบุญร่วมกันมาก็มาก เคยสร้างบาป ผูกเวรร่วมกันมาก็มาก พอล็อคบุญเปิด คนทั้งสองก็รักใคร่ เคารพกันดี พอหมดล็อคบุญ ล็อคบาปเกิดขึ้น ความรัก มันก็เปลี่ยนเป็นความชัง สมบัติมันก็เปลี่ยนเป็นวิบัติ แล้วก็วางแผน วางอุบาย หลอกไปให้คนอื่นฆ่า โดยใช้นิ้วมือของมนุษย์เป็นอุบาย ทำอย่างนี้มาหลายชาติแล้ว ผลัดกันทำ โชคดีมาเจอพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดซะก่อน มิฉะนั้นก็ยังผลัดกันหลอกไปฆ่า จนกว่าจะคลายความผูกเวรกัน

           เรื่องธรรมะที่คุณยายค้นมาสอนพวกเรา ท่านจะบอกผ่านมาทางหลวงพ่อทัตตชีโว หลวงพ่อทัตตชีโวก็มีคำถามไปถามคุณยายหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับในพระไตรปิฎก แล้วท่านก็เอามาประมวลกับการอ่านของท่าน จากหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ ก็มาเป็นตำรับตำราในพระพุทธศาสนา ที่น่าอ่านหลายเล่มจนปัจจุบัน ซึ่งความละเอียด ความลึกซึ้งในธรรมะจากตำรับตำรานั้นเอง ได้มาจากหลวงพ่อธัมมชโย และได้มาจากคุณยาย คุณยายแม้ไม่รู้หนังสือ อ่านหนังสือไม่ได้ แต่ท่านค้นมาจากในตัว ตามหลักวิธีที่ได้ฝึกมาจากหลวงพ่อวัดปากนํ้า พระมงคลเทพมุนี เอามาตอบหลวงพ่อทัตตชีโวได้ แล้วต้องการให้หลวงพ่อทัตตชีโว เอาธรรมะมาเทศน์สอนญาติโยม ให้ลูกหลานได้ศึกษาหาความรู้ หาความจริง เพื่อจะใช้ในการประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป

           ภารกิจประเภทนี้ คุณยายทำมาจนกระทั่งอายุประมาณ ๘๐ ปีเศษ มีผู้มาบวชมากขึ้น มีคนมาช่วยงานวัดมากขึ้น ก็เริ่มวางมือไปทีละเรื่อง แต่จะมีเรื่องเกี่ยวกับอาหารเท่านั้นที่ท่านยังดูแลอยู่ จนกระทั่งอายุประมาณ ๙๐ ปี ท่านเริ่มเดินไม่ไหว ตอนที่คุณยายยังแข็งแรง ท่านจะเดินเข้ามาดูงานในครัว วันละ ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง เป็นความภูมิใจของท่านที่ได้สร้างครัวสร้างโรงทานเอาไว้เลี้ยงพระ เลี้ยงเณร เลี้ยงผู้มีศีลมีธรรม เพราะฉะนั้น ท่านจึงมาตรวจตราครัวของท่านอยู่เสมอ

          จุดแรกที่ท่านจะเดินไปในครัวก็มักจะเดินไปตรงจุดที่อาหารเหลือจากพระจากเณรมา ท่านมักจะถามอาตมาบ้าง หรือไม่ก็ถามคนข้างเคียงว่า เออ... ทำไมอาหารเหลือเยอะ เอาไปจัดการอย่างอื่นได้ไหม ไปหาวิธีการที่จะปรับปรุงเปลี่ยนเมนูทำรายการอาหารใหม่ได้ไหม เพื่อที่จะให้เอามาใช้ประโยชน์ได้ดี มีคำถามอีกหลายๆ คำถามที่คุณยายจะถามเสมอว่า มี เจ้าภาพมาสม่ำเสมอทุกวันไหม มีคนเอาวัตถุดิบอะไรมาถวาย มาบริจาคให้บ้างไหม มีเจ้าภาพทุกวันหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ เรียกว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ในใจท่านตลอดเวลา 

           คุณยายจะวางแผนเกี่ยวกับการถวายภัตตาหารเอาไว้ครอบคลุมว่า ตั้งใจจะให้มีเจ้าภาพภัตตาหารมาทุกวัน ซึ่งเจ้าภาพเหล่านั้นอาจจะถวายเป็นปัจจัยเอาไว้สำหรับเป็นกองทุนภัตตาหารบ้างก็ได้ เวลาคุณยายมาเจอ ก็จะบอก คุณ คุณ มาร่วมทำบุญภัตตาหารกับยายนะ พระเณรของยายเยอะ มาเอาบุญกับยายนะ หรือถ้าท่านรู้ว่าคนนี้ ท่านนี้ที่มีกิจการเกี่ยวกับสวนไร่นา พืชผักผลไม้ ท่านก็จะบอกบุญเป็นวัตถุดิบว่า คุณ คุณ เอาผักผลไม้ ข้าวสารอาหารแห้งมาร่วมบุญกับยายนะ พระเณรยายเยอะแยะ มาเอาบุญกับยายนะ คุณยายเจอใครก็จะบอกไปเรื่อย

          ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ จะเป็นช่วงที่สุขภาพคุณยายเริ่มอ่อนล้ามาก ช่วงนั้นท่านอายุใกล้จะ ๙๐ ปี แล้ว ท่านมาเยี่ยมที่ครัวไม่กี่ครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้จะมาบ่อยมาก มาทุกวันๆ ละอย่างน้อย ๓ ครั้ง การมาแต่ละครั้งก็จะมากับคุณอารีพันธุ์หรือคุณเปิ้ล (คุณสุนิดา) ซึ่งจะพาคุณยายเดินมา ท่านมักจะเจออาตมาแล้วก็บอกว่า คิดถึง อยากมาดู ได้เห็นอะไรแล้วยายก็สบายใจ บางทีท่านก็มาให้ความรู้ มาสั่งงานอะไรต่ออะไรบ้าง มาคุยธรรมะบ้าง ซึ่งจะเป็นความสุขของท่านเกี่ยวกับเรื่องงานครัว

           บางครั้งท่านเดินมาคนเดียว อาตมาก็มักจะถามว่า ยาย ยายมาคนเดียว แล้วอารีพันธุ์หรือเปิ้ลไม่มาหรือ คุณยายก็บอกว่า ยายแอบหนีเขามา ยายคิดถึงท่าน อยากจะมาคุยงานกับท่าน อาตมาบอกว่า ยาย เดี๋ยวเขารู้เข้า เขาไม่อยากให้ยายเดินมาคนเดียว คุณยายบอกช่างเขาเถอะ บางครั้งคุณยายจะมาหาอาตมาในลักษณะนี้ อาตมาก็บอกว่า คุณยายให้ใครมาตามก็ได้ เดี๋ยวอาตมาไปหาเอง

641224_%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2-4.jpg

          วันหนึ่งคุณยายมาหาอาตมาตอนเช้า ท่านบอกว่า เมื่อคืนยายดิ่งธรรมะไปตลอดทั้งคืนจนสว่างถึงเช้า ยายไปดูเหตุการณ์อดีต ปัจจุบัน อนาคต ตั้งใจว่า เช้านี้จะรีบมาหาท่าน คุณยายบอกว่า สังขารของยายใกล้จะละโลกแล้ว ยายจะฝากงานให้ท่านช่วยดูแลครัวของยายให้หน่อย ดูแลไปจนกระทั้งแก่เหมือนยายน่ะแหละ บอกว่า ท่านดูแลไปนะ ไม่ต้องไปทำเองหรอก คอยควบคุม ดูแลให้อยู่ในสายตา แล้วก็หาภัตตาหารเลี้ยงพระเณรไป หาเจ้าภาพ ให้ตั้งเป้าไปว่า เลี้ยงพระโดยไม่ต้องเบิกเงินกงสีน่ะ ทำได้ไหม

           ท่านบอกว่า ตอนนี้คนก็เริ่มมาเป็นเจ้าภาพภัตตาหารมากแล้ว บางครั้งก็เอาอาหารสำเร็จรูปมา บางคนก็เอาวัตถุดิบมา บางคนเอาผลไม้มา เราลงไปจัดการเริ่องนี้ให้ดี ทำยังไง ทำอาหารเลี้ยงพระได้โดยไม่ต้องเบิกเงินกงสี ส่วนเขาจะมาทำบุญภัตตาหาร เราก็เก็บเอาไว้ สำหรับบางทีเราต้องใช้ยามฉุกเฉิน และท่านก็บอกอีกว่า ก่อนยายจะละโลกไป ยายจะทันได้เห็นท่านเลี้ยงพระโดยไม่ต้องเบิกเงินกงสีไหม อาตมาก็บอกว่ายายต้องอยู่ร้อยยี่สิบปี จะได้เห็นแน่

            นี่แหละความเป็นห่วงของคุณยายว่า อยากจะให้ลูกหลานทุกคนได้ประหยัด ความจริงก็ดีนะ ถ้าเรามีความคิดว่า เราจะทำภัตตาหารโดยไม่ต้องเบิกเงินกงสี แต่ก็รับปากกับท่านว่า จะพยายามตั้งใจทำให้ได้ ท่านบอก เจ้าภาพของเราเริ่มจะมีเยอะแล้ว ลงไปดู จัดการให้ดีสังขารของยายก็แก่เต็มที อายุใกล้จะ ๙๐ ปีแล้วตอนนี้ เหมือนบ้านที่เริ่มมีรอยผุหลายที่ อวัยวะต่างๆ ของร่างกายก็เริ่มเสือม อีกไม่นานมันคงจะพังครืนลงมา แล้วยายก็คงต้องกลับบ้านยาย

641224_%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2-5.jpg

          อีกไม่นานยายก็จะต้องกลับบ้านยายแล้ว บ้านยายอยู่ดุสิต ยายจะสวมขันธ์ของกายทิพย์อยู่ดุสิต ยายจะคอยเฝ้าดูการสร้างบารมีของทุกๆ คน ยายจะคอยเฝ้าดูการสร้างบารมีของหลวงพ่อธัมมะ จะคอยเฝ้าดูการสร้างบารมีของหลวงพ่อทัตตะ คอยเฝ้าดูการสร้างบารมีของท่านนะ แล้วก็คอยเฝ้าดูการสร้างบารมีของลูกหลานยายทุกๆ คนน่ะแหละ ยายจะสวมขันธ์อยู่ที่ชั้นดุสิต ถ้าท่านเดือดร้อนอะไรก็นึกถึงยาย ยายอยู่บนโน้น ยายก็ช่วยได้ ติดขัดอะไรให้นึกถึงยายนะ ให้ตั้งใจสร้างบุญสร้างบารมีให้เต็มที่ เอาบุญไปให้เยอะๆ แบบยาย แล้วคุณยายก็ฝากงานไว้อีกหลายๆ อย่าง พอคุณยายสั่งเสร็จก็ขอตัวกลับไปพัก อาตมาก็เดินไปส่ง แต่ในใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่า เอ๊ะ ทำไมคุณยายมาพูดอย่างนี้กับเรา หรือคุณยายใกล้จะละสังขารจริงๆ

จากหนังสือ เกิดด้วยสองมือยาย 

พระรังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0079017162322998 Mins