กฎแห่งกรรม

วันที่ 10 กพ. พ.ศ.2565

650210_B.jpg

กฎแห่งกรรม

อายุสั้นไม่ทันเห็นกรรม

650210_p01.jpg

           ในยามกลางของคืนวันตรัสรู้ของพระมหาบุรุษ พระองค์ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ คือ เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทรงเห็นการส่งผลของกรรม ที่เป็นตัวกำหนดรูปกาย และสถานที่อยู่ของสัตว์ที่ตายไปแล้ว

           แต่ละชีวิตทำกรรมมามากมาย เพราะต่างก็เกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทุกๆ กรรมที่ทำมา ไม่ได้มาส่งผลได้ในเวลาเดียวกันแต่ทยอยกันมาส่งผล

          พระบรมศาสดาจึงตรัสแยกแยะการส่งผลของกรรมตามกาลเวลาเอาไว้ ๔ ประเภท คือ

          ๑. กรรมที่ส่งผลในชาตินี้ทันที ไม่ต้องรอชาติหน้า อุปมาเหมือนชาวนาหว่านต้นกล้า ประมาณเดือนมิถุนายน ก่อนเข้าพรรษาฝนเริ่มตก พอออกพรรษา ประมาณเดือนตุลาคม ก็ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวปลูกข้าวใช้เวลาประมาณ ๓ เดือนครึ่ง ปลูกปีนี้ ปีนี้ก็ได้ผล ไม่ต้องรอปีหน้า อุปมาเหมือนกับกรรมที่ส่งผลในชาตินี้

          ๒. กรรมที่ส่งผลในชาติหน้า อุปมาเหมือนชาวสวนปลูกกล้วย ปลูกเดือนมิถุนายน กลางปี ให้ฝนช่วยรดน้ำ ปลูกปีนี้ ปีนี้ไม่ได้กินกล้วย ไปได้กินกล้วยปีหน้า เพราะกล้วยใช้เวลาประมาณ ๑๐-๑๒ เดือน จึงออกผล อุปมาเหมือนกับกรรมที่ให้ผลในชาติหน้า

          ๓. กรรมที่ส่งผลในชาติถัดๆ ไป อุปมาเหมือนชาวสวนปลูกไม้ยืนต้น เช่น ลำไย ทุเรียน ลิ้นจี่ เงาะ มะม่วง ปลูกปีนี้ ปีนี้ไม่ได้กิน ปีหน้าก็ไม่ได้กิน เพราะไม้ยืนต้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๕ ปีไปแล้ว จึงออกผล อุปมาเหมือนกับกรรมที่ให้ผลในชาติถัดๆ ไป

           ๔. กรรมที่เลิกให้ผล เลิกให้ผลในชาติที่ผ่านมาแล้วก็มี เลิกให้ผลในชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติถัดๆ ไปก็มี ซึ่งสาเหตุที่เลิกให้ผล
มี ๓ ประการใหญ่ๆ คือ

                 ๔.๑ วิบากกรรมส่งผลจนหมดกำลัง ก็เลิกให้ผล

                 ๔.๒ ขอขมา อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน กรรมก็เบาบางลง หรือเลิกให้ผล

                 ๔.๓ บุญกุศลที่สั่งสมมาได้ช่อง ตามมาส่งผล ตัดรอนวิบากกรรม ให้เลิกส่งผล (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่อง วิบากกรรมจะเบาบางลงเมื่อใด?)

          คนทั่วไปไม่เข้าใจเรื่องกรรม ก็เพราะอายุสั้น ไม่ทันเห็นกรรม แต่กรรมเห็นเรา มีอุปมาเอาไว้ว่า กรรมดีติดตามบุคคลไป เหมือนเงาที่ติดตามตัว ส่วนกรรมชั่วติดตามบุคคลไป เหมือนล้อเกวียนที่ตามบดขยี้รอยเท้าโค เพราะกรรมที่ทำมาในอดีต มากมายเหลือเกิน ไม่ได้ตามมาส่งผลพร้อมกันได้ทุกๆ กรรม และทุกๆ กรรมก็ไม่ได้ส่งผลในชาตินี้

          แต่อายุของคนสั้นเกินไปที่จะรอเห็นกรรมทุกๆ กรรม ตามมาส่งผล จึงเป็นเหตุประการหนึ่ง ที่ทำให้คนไม่เข้าใจเรื่องกรรม... เวรกรรม !!!

 

วิบากกรรมจะเบาบางลงได้อย่างไร?

650210_p02.jpg

          ชีวิตที่ท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร ไม่มีใครที่ไม่เคยทำบาปอกุศล แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ก็ผิดพลาดทำบาปอกุศล ต้องพลัดไปในอบายภูมิ ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มีปรากฏในชาดกหลายพระชาติ

           ต้นเหตุ คือ กิเลส บังคับให้ทำกรรม มีผลของกรรม คือ วิบาก กิเลส กรรม วิบาก เรียกว่า ไตรวัฏ องค์ประกอบทั้ง 3 ประการ ทำให้สรรพชีวิตวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร

          วิธีทำให้บาปอกุศลเกิด มีหลายวิธี แต่หลักใหญ่ๆ มี ๓ ประการ คือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ อบายมุข ๖ และมิจฉาวณิชชา ๕ 

           พอทำบาปอกุศลแล้ว ก็จะมีผลตามมาที่เรียกว่า วิบากกรรม ส่งผลให้ประสบทุกข์ต่างๆ มากมาย แต่สรุปได้ ๓ กลุ่มใหญ่ๆ คือ

         ๑. ทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ

          ๒. ทุกข์จากปัญหาเศรษฐกิจ

          ๓. ทุกข์จากปัญหาครอบครัว และสังคม

วิบากกรรมจะเบาบางลง หรือไม่มีโอกาสส่งผลได้ใน ๓ กรณี คือ

๑. วิบากกรรมส่งผลจนหมดกำลังแล้ว เหมือนลูกกระสุนที่ออกจากปากกระบอกปืน พอหมดกำลังก็ตกลง

๒. ขอขมา อโหสิกรรมให้กัน เรื่องนี้เป็นอริยประเพณีของพระอริยเจ้าเมื่อมีพระสาวก พระสาวิกาที่ใกล้ชิด จะปรินิพพานก่อนพระบรมศาสดา จะมาเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอขมา และทูลลาปรินิพพาน เช่น พระมหาโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระนางพิมพา เป็นต้น เพราะต่างก็ทรงอภิญญา ระลึกชาติได้ว่า ในอดีตชาติ เคยสร้างบารมีติดตามพระบรมศาสดา เมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ อาจมีสิ่งที่ผิดพลาดล่วงเกิน จึงมาทูลขอขมาก่อนเข้านิพพาน เพื่อเป็นแบบอย่างแก่อนุชนที่ตามมาในภายหลัง จนกลายมาเป็นประเพณีการขอขมาในวาระโอกาสต่างๆ ของในสังคมไทย เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ ลาบวช ก่อนละสังขาร เป็นต้น

๓. สั่งสมบุญให้มาก แล้วอธิษฐานจิต ให้บุญไปตัดรอนวิบากกรรมให้เบาบางลง ไม่ได้โอกาสส่งผล อุปมาเหมือน น้ำในคลองตอใต้น้ำ และเรือ ถ้าน้ำในคลองมีมาก ตอใต้น้ำถึงมีอยู่ แต่ทำอะไรเรือไม่ได้ เรือก็แล่นไปแล่นมาราบรื่น อุปมาเหมือนคนที่สั่งสมบุญกุศลอย่างต่อเนื่อง บุญยังได้ช่องส่งผลอยู่ บาปอกุศลที่มีอยู่ ก็ไม่มีโอกาสได้ช่องส่งผล

           ตรงกันข้าม ถ้าน้ำในคลองมีน้อย ตอผุด เรือก็ติดตอ อุปมาเหมือนคนที่ไม่ได้สั่งสมบุญกุศล อย่างต่อเนื่อง พอบุญเก่าหย่อนกำลังลง บุญใหม่ก็ไม่ได้ทำ บาปอกุศลก็ได้ช่องส่งผล ชีวิตก็พบเจอแต่อุปสรรครอบด้าน

           เราไม่ควรให้น้ำลดก่อน แล้วค่อยมาเติมน้ำ หมายความว่าไม่ควรให้ชีวิตประสบทุกข์ก่อน แล้วค่อยมาสั่งสมบุญ ควรสั่งสมบุญกุศลอย่างต่อเนื่อง ให้บุญกุศลส่งผล จนบาปอกุศลไม่มีโอกาสได้ช่องส่งผล ชีวิตก็จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้า ราบรื่น ไม่เป็นชีวิตที่ทุรกันดาร

           ข้อที่ ๑. วิบากกรรมส่งผลจนหมดกำลัง เป็นปัจจัยภายนอก เหลือข้อ ๒. ขอขมา อโหสิกรรมให้กัน และข้อ ๓. สั่งสมบุญให้มาก เป็นปัจจัยภายใน เราต้องทำเอง ชีวิตจึงจะราบรื่น เหมือนรถไฟความเร็วสูงไม่เป็นชีวิตที่ทุรกันดาร เหมือนถนนลูกรังในชนบท

 

กรรมส่งผลตอนใกล้ตาย

650210_p03.jpg

           คนมีอายุ ๗๐-๘๐ ปี ทำกรรมมาทั้งชีวิต รวมแล้วหลายแสนกรรม ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว และกรรมไม่ดีไม่ชั่ว เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง กรรรมที่ทำมาทั้งชีวิต จะมาส่งผลตามลำดับ โดยเริ่มจากกรรมหนัก กรรมใกล้ตาย กรรมที่ทำเป็นประจำ สุดท้าย คือ กรรมไม่เจตนา

            ถ้ามีกรรมหนัก กรรมหนักจะส่งผลก่อน กรรมหนักมีทั้งฝ่ายบุญกุศล และฝ่ายบาปอกุศล กรรมหนักฝ่ายบุญกุศล คือ เจริญสมาธิภาวนาจนเข้าถึงปฐมฌาน หรือเข้าถึงปฐมมรรคขึ้นไป

            พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญเคยให้โอวาทไว้ว่า ปฐมมรรคเป็นดวงกลมใสสว่างอยู่ที่ศูนย์กลางกายกึ่งกลางลำตัว เหนือระดับสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ถ้าเข้าถึงและรักษาได้มั่นคงจนสิ้นอายุขัยมีอานิสงส์ปิดอบายไปสู่สุคติ

             กรรมหนักฝ่ายบาปอกุศล มี ๕ ประการ

            ๑. ฆ่าพ่อ

            ๒. ฆ่าแม่

            ๓. ฆ่าพระอรหันต์

            ๔. ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้เป็นห้อพระโลหิตขึ้นไป

            ๕. ทำสงฆ์ให้แตกแยก

            มีโทษปิดสวรรค์ไปอเวจีมหานรก

            ถ้ากรรมหนักไม่มี กรรมใกล้ตายจะส่งผล มีทั้งฝ่ายที่เป็นบุญกุศล และฝ่ายบาปอกุศล อยู่ที่ว่า กรรมไหนจะได้ช่อง ตามมาส่งผลก่อน อุปมากรรมใกล้ตาย เหมือนรถที่ติดไฟจราจร เมื่อสัญญาณไฟเขียวปรากฏ รถที่จอดแถวหน้าออกก่อน

          ถ้ากรรมใกล้ตายเป็นกรรมดี ตามมาปรากฏให้เห็น จิตผ่องใสสุคติเป็นที่ไป ถ้ากรรมชั่ว ตามมาปรากฏให้เห็น จิตขุ่นมัว เศร้าหมองทุคติเป็นที่ไป กรรมใกล้ตายจะเกิดกับคนที่ตายตามธรรมชาติ คือ แก่ เจ็บ แล้วตาย จะไม่เกิดกับคนที่ตายแบบฉุกเฉิน ไม่ทันตั้งตัว

           กรรมใกล้ตายมักจะมาจากกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำ ทำจนเป็นนิสัย ดังนั้น วิธีออกแบบให้กรรมใกล้ตายเป็นกรรมดี คือ ต้องทำกรรมดีเป็นประจำ ทำจนเป็นนิสัย แล้วหลับไปกับการนึกถึงกรรมดีทุกๆ คืน

          ถ้ากรรมใกล้ตายไม่มี กรรมที่ทำอยู่เป็นประจำก็จะให้ผลก่อนมีทั้งฝ่ายบุญกุศล เช่น ใส่บาตร สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน ฝ่ายบาปอกุศล เช่น เล่นไฟ ดื่มน้ำเมา นินทาว่าร้ายคนอื่นทุกวัน เป็นต้น

           ถ้ากรรมเป็นประจำไม่มี กรรมไม่มีเจตนาก็มาส่งผลได้

           สรุปว่า ถ้ามีกรรมหนักฝ่ายบุญกุศล มาส่งผลก่อน ดีที่สุด ถัดมา ขอให้มีกรรมใกล้ตายฝ่ายบุญกุศล มาส่งผลดีรองลงมาสุดท้าย ขอให้มีกรรมที่ทำเป็นประจำฝ่ายบุญกุศล มาส่งผล ดีสุดท้าย

            ถ้ายังไม่มีกรรมดีมาส่งผลอีก ก็คงไปที่ชอบที่ชอบละครับ !!!

 

เหตุที่ทำให้สับสนในเรื่องกฎแห่งกรรม

650210_p04.jpg

           ข่าวคณะศรัทธาเดินทางไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่า แต่ประสบอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง สร้างความสับสนของผู้ไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมว่า ทำไมไปทำบุญแล้วบุญไม่ช่วย

            อีกพวกหนึ่งทั้งโกง ทั้งกินคอนกรีต เหล็ก หิน ทราย ในงานก่อสร้างโครงการของรัฐบาล แต่กลับเจริญรุ่งเรืองร่ำรวย มีชื่อเสียงจนได้รับเลือกเป็นนักการเมืองผู้นำท้องถิ่นตั้งแต่ระดับ ท้องถิ่น ไปถึงระดับประเทศ จนเกิดคำทุพภาษิตที่ว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”

           ความเป็นจริง ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แต่ผลของความดีและความชั่วที่มาส่งผลไม่ตรงกับการกระทำในปัจจุบันเช่น

           คณะศรัทธาเดินทางไปทำบุญ นี้เป็นกรรมดีในปัจจุบัน แต่ประสบอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ เพราะผลของกรรมชั่วคือปาณาติบาต และทรมานเบียดเบียนคนหรือสัตว์ในอดีตตามมาได้ช่องส่งผลในขณะที่กำลังทำกรรมดี จึงเป็นเหตุให้เกิดความสับสนว่า ทำไมทำบุญแล้วบุญไม่ช่วย

             ความจริงบุญนั้นช่วย ถ้าต้องเดินทางไปยมโลกเพราะเสียชีวิตในขณะเดินทางไปสั่งสมบุญ เมื่อไปสู่หน้าบัลลังก์พญายมราช ภาพของการสั่งสมบุญมาปรากฎ แม้ไปยมโลกยังมีโอกาสกลับไปเสวยสุขบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาหรือดาวดึงส์ได้

           ส่วนพวกโกงกิน คอรัปชั่น มั่งคั่งร่ำรวย จนได้รับเลือกเป็นนักการเมืองผู้นำท้องถิ่น อันนั้นเป็นตัวอย่างของคนที่ทำกรรมชั่วในปัจจุบัน แต่ผลของกรรมดีที่เคยทำไว้ในอดีตได้ช่องตามมาส่งผล ในขณะที่ทำกรรมชั่วในปัจจุบันเลยทำให้เกิดทุพภาษิต “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”

           พวกนี้ตอนใกล้ตายมักตายไม่ค่อยดี ประสบอุบัติเหตุบ้าง มีทุกขเวทนาจากโรคภัยไข้เจ็บในวาระสุดท้าย ถ้าใจเศร้าหมองเพราะเห็นกรรมชั่วที่ทำเอาไว้มาปรากฏเป็นกรรมนิมิต ละสังขารแล้วมีอบายภูมิเป็นที่ไป

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียกพวกนี้ว่า เป็นคนตาเดียว มีตาข้างเดียวคือมีปัญญาแล้วแสวงหาทรัพย์ มีทรัพย์ ใช้ทรัพย์อยู่ในโลก แต่ตาอีกข้างหนึ่งไม่มี หมายถึงปัญญา ในทางธรรม ละโลกแล้วเหมือนคนตาบอด ทำอะไรไม่ถูก ไม่มีบุญเป็นที่พึ่งที่ระลึกเพราะ ทำแต่กรรมชั่ว เป็นพวกสว่างมาแต่มืดไป

 

จากหนังสือ ราตรีสว่าง

พระครูวิบูลนิติธรรม (ไพบูลย์ ธัมมวิปุโล)

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.073687517642975 Mins