การก่อตัวขึ้นใหม่ของจักรวาล

วันที่ 09 พค. พ.ศ.2565

การก่อตัวขึ้นใหม่ของจักรวาล


650509_01.jpg

         เมื่อโลกทั้งปวงพินาศจนอากาศสืบเนื่องเป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นเวลานานนับประมาณมิได้ เมื่อจะเกิดโลกขึ้นใหม่ จะเกิดมหาเมฆตั้งขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่านั้นและฝนจึงเริ่มตก แรกทีเดียวเม็ดฝนยังไม่ใหญ่ มีประมาณเท่าหยาดน้ำค้างในฤดูสารท (ฤดูใบไม้ร่วง คือปลายเดือน ๓ ยังอีก ๔ วันจะสิ้นเดือน หรือต้นเดือน ๔) เป็นน้ำค้างอันละเอียด เมื่อตกอยู่เป็นเวลานาน เม็ดฝนจึงใหญ่ขึ้นโดยลำดับ โตเท่าเมล็ดงา เมล็ดข้าวเมล็ดถั่ว เท่าก้านดอกโกมุท เท่าเสา สากตำข้าว เท่าลำตาล เต็มไปในแสนโกฏจักรวาล จนถึงภูมิที่ถูกทำลายไว้ คือ เมื่อพินาศโดยไฟสิ้นปฐมฌานภูมิ ๓ พินาศโดยนถึงสิ้นทุติยฌานภูมิ ๓ พินาศด้วยลมสันตติยฌานภูมิ ๓

          ขณะฝนกำลังตกอยู่นั้น จะมีลมชนิดหนึ่งพัดจากข้างใต้รองรับน้ำฝนไว้ไม่ให้รั่วไหลไปที่อื่น ลมนั้นมีอำนาจพัดแรงกล้ามาก พัดแทรกขึ้นมา และสามารถทำให้น้ำงวดแห้งจนเป็นแท่งได้ เมื่อนงวดแห้งถึงพรหมโลก ๆ ก็ตั้งขึ้น เมื่อแห้งถึงกามาวจรเทวโลก ทั้ง ๔ คือปรนิมมิตวสวัตตี นิมมานรดี ดุสิตา ยามา ทั้ง ๔ ชั้นนี้ก็ตั้งขึ้น ยังค้างอยู่แต่ชั้นดาวดึงสาและจาตุมหาราชิกา เพราะสองชั้นนี้ตั้งอยู่เกี่ยวเนื่องกับเขาสิเนรุ ภูเขานี้ต้องเกิดต่อเนื่องกับพื้นแผ่นดิน เมื่อพื้นดินยังไม่เกิด เขาสิเนรุจึงเกิดไม่ได้ ต่อมาเมื่อนงวดเข้ากระทั่งถึงที่เกิดของพื้นดิน จะมีลมพัดอุ้มไว้โดยรอบและค่อยงวดแห้งจับเป็นตะกอนกลายเป็นแผ่นดินลอยอยู่เหนือน้ำ เหมือนใบบัวลอยเหนือน้ำ แผ่นดินที่เกิดใหม่นี้มีสีเหลืองงามดั่งดอกกรรณิการ์ มีกลิ่นหอมหวล รสหวาน

          พื้นแผ่นดินที่แห้งและเกิดก่อนแผ่นดินตรงที่อื่น คือแผ่นดินที่เป็นที่ตั้งแห่งโพธิบัลลังก์ คือ ตรงที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เมื่อยามโลกพินาศก็ถูกทำลายภายหลังแผ่นดินตรงอื่น แผ่นดินโพธิบัลลังก์ที่เกิดก่อนนี้เองเรียกว่า ศีรษะแผ่นดิน เป็นประธานแก่พื้นโลกมนุษย์ชมพูทวีป (แม้โลกมนุษย์จะมี ๔ ทวีปใหญ่ หรือ 4 โลก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ที่ชมพูทวีป คือโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่เพียงโลกเดียว)


650509_03.jpg

          เมื่อศีรษะแผ่นดินปรากฏขึ้น ต้นไม้ชนิดแรกที่เกิดขึ้นคือกอบัวกอหนึ่งผุดขึ้นก่อนเป็นบุพนิมิต ถ้ากอบัวนั้นไม่มีดอกหมายถึงในอสงไขยกัปนั้นจะเป็นสุญญกัปคือ ไม่มีพระพุทธเจ้า ถ้ากอบัวมีดอก จำนวนดอกบัวจะแสดงให้ทราบถึงจำนวนพระพุทธเจ้าอย่างไรก็ดีจะมีอย่างมากที่สุดไม่เกิน ๕ ดอก ผู้ที่สามารถเห็นดอกบัวเหล่านี้คือพวกมหาพรหม เมื่อพรหมเหล่านี้ได้เห็นดอกบัวก็จะพากันรื่นเริงบันเทิงใจ ถ้าไม่เห็นดอกบัวเกิดขึ้นเลย จะพากันสลดสังเวชใจ เปล่งวาจาว่า โลกจักฉิบหายหาที่พึ่งไม่ได้แล้ว ไม่มีประทับแก้วส่องโลก แล้วก็พากันเศร้าโศกสลดใจ

          เมื่อภาวะของโลกเกิดขึ้นแล้วดังนี้ พื้นโลกส่วนใดที่ปูดสูงนูนขึ้นก็กลายเป็นภูเขาที่ใดยุบพร่องลงไปก็เป็นที่ขังน้ำ เป็นทะเลมหาสมุทร บางแห่งเป็นที่ราบเสมอกันเป็นทวีปน้อยใหญ่ตามล่าดับในขณะที่โลกกำลังพินาศอยู่ เหล่าสัตว์ส่วนมากไปเกิดอยู่ในชั้นอาภัสสรพรหมมีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกาย อยู่ในวิมานงดงาม สัญจรไปได้ในอากาศ มีอายุยืนยาวช้านาน
 

650508_06.jpg

         ครั้นแผ่นดินปรากฏแล้ว พรหมบางรูปในชั้นอาภัสสราภูมิที่สิ้นบุญสิ้นอายุ ก็จุติลงมาเกิด การเกิดในตอนต้นกัปนี้ เกิดด้วยกำเนิดของโอปปาติกะ คือผุดขึ้นมาโดยโตเต็มตัวทันใด ไม่ต้องมีบิดามารดา มนุษย์พวกนี้มีเพศเหมือนพรหมคือมีลักษณะคล้ายชายแต่ไม่เป็นทั้งชายและหญิง ไม่มีอวัยวะแสดงเพศ ร่างกายมีรัศมีเปล่งประกายมีแสงรุ่งเรืองสว่างไสว เหาะเหินเดินอากาศเที่ยวไปมาในเวหา ไม่ต้องกินอาหาร คงมีปีติเป็นอาหารดังเช่นในสมัยอยู่พรหมโลก อยู่กันเป็นสุขดังนี้สืบต่อกันมาโดยช้านาน ต่อมามีคนหนึ่งนับเป็นคนแรกในมนุษย์ยุคนี้ แลเห็นแผ่นดินมีสีสรรสวยงาม มีกลิ่นหอม เกิดกิเลส คือ โลภะขึ้น นึกอยากลองลิ้มรสดูว่าจะเป็นอย่างไร จึงหยิบดินขึ้นมานิดหนึ่งวางที่ปลายลิ้นรสดินนั้นมีโอชาแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย รู้สึกอร่อยชอบใจยิ่งนัก เกิดตัณหาในรสเข้าครอบง่า จึงบริโภคง้วนดิน ง้วนดินมีลักษณะเป็นวุ้นนุ่มคล้ายนมสดที่เคี่ยวให้งวด ทิ้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบน มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี มีรสชาดอร่อยจรวงผึ้งเล็กที่สะอาด) นั้นเรื่อย ๆ ไป คนอื่นเห็นก็พากันเอาอย่าง และก็พากันติดใจเกิดตัณหาพากันบริโภครสแผ่นดินสิ้นทุกคน เมื่อบริโภควนดินอันเป็นอาหารหยาบดังนั้นแล้ว รัศมีกายก็อันตรธานหายไป จึงมืดมนอนธการไปทั่ว มนุษย์ในยุคนั้นมีความสะดุ้งหวาดกลัวเป็นกำลัง

          เมื่อมนุษย์สิ้นรัศมีกายคือแสงสว่างแล้ว ขณะนั้นจึงบังเกิดดวงอาทิตย์มีปริมณฑล ๕๐ โยชน์ ปรากฏขึ้นในอากาศเวหา มีรัศมีส่องสว่างแทนให้ เป็นวิมานของสุริยเทพบุตร (คำว่า สุริยะ แปลว่าแกล้วกล้า เป็นชื่อที่หมู่มนุษย์ในยุคนั้นขนานนามให้เทพเจ้าที่สถิตย์อยู่ในดวงอาทิตย์ ด้วยเหตุที่เมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นแล้ว ทำให้หมู่มนุษย์ที่กำลังหวาดกลัวเพราะอยู่ในความมืด เนื่องจากรัศมีของร่างกายหายไป เกิดความแกล้วกล้าขึ้นเมื่อได้เห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์) ครั้นเมื่อสุริยวิมานส่องแสงสว่างให้แล้วอัสดงคตไป โลกกลับมืดดังเก่า มนุษย์ทั้งปวงกลับสะดุ้งตกใจกลัวอีก ดวงจันทรวิมานมีปริมณฑล ๔๙ โยชน์ก็บังเกิดขึ้นแทนให้ หมู่มนุษย์ทั้งหลายพากันชื่นชมโสมนัสจึงตั้งนามว่า จันทรเทวบุตร

          เมื่อพระอาทิตย์ พระจันทร์ ปรากฏมีขึ้นในโลกธาตุแล้ว หมู่นักขัตดาราก็บังเกิดขึ้น แต่นั้นมาก็เกิดกลางวันกลางคืน เดือน ปี เวลา ต่อ ๆ กันมา และในเวลาเดียวกับที่พระอาทิตย์ พระจันทร์ปรากฏเกิดขึ้น เขาสิเนรุ (หรือเขาพระสุเมรุ) เขาจักรวาล เขาหิมพานต์ ท้องมหาสมุทรใหญ่ ก็เกิดร่วมพร้อมกัน 5 อย่าง ในวันเพ็ญเดือน ๔

         ถึงระยะเวลามีพระอาทิตย์พระจันทร์เกิดขึ้นนี้ เป็นเวลาที่มนุษย์มีตัณหาในรสครอบงำจิตใจ ชวนกันกินรสแผ่นดินอยู่ เมื่อบริโภคอาหารหยาบดังนี้ ร่างกายก็ไม่ละเอียดสวยงามดังเดิม ปรากฏให้เห็นแตกต่างกันออกไป บางพวกมีสีสรรวรรณะดีกว่าอีกพวกจึงเกิดการดูหมิ่นถิ่นแคลน เกิดกิเลสขึ้นอีก ๒ ชนิดคือ สักกายทิฏฐิและมานะ เมื่อบาปธรรมทั้งสองมีแรงกล้าขึ้นในหมู่มนุษย์ รสแผ่นดินที่โอชานั้นก็พลันสูญหายไป แผ่นดินกลายเป็นสะเก็ดคล้ายเห็ด แต่สะเก็ดดินนั้นยังคงมีกลิ่นหอม มีรสเป็นอาหารมนุษย์ได้อยู่ มีสี กลิ่น รส เหมือนเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี รสอร่อยเหมือนรวงผึ้งเล็กที่หาโทษไม่ได้ แม้จะไม่อร่อยเป็นเลิศอย่างเดิมที่เคยเป็นง้วนดิน ยังเป็นอาหารอย่างดีของมนุษย์ได้

         เมื่อบริโภคกระบิดินเป็นเวลาช้านาน ร่างกายก็แข็งกล้าขึ้นทุกที ผิวพรรณก็ยิ่งแตกต่างกันออกไปมาก เกิดการดูหมิ่น ไว้ตัว ทะนงตน เหยียดหยามกัน เพราะมีสาเหตุมาจากผิวพรรณ ทำให้สะเก็ดหรือกระบิดินค่อยหายไป ต่อมาเป็นเวลานานเข้า สันดานของคนหนาแน่นไปด้วยปาบกรรมเพิ่มขึ้น ๆ สะเก็ดดินก็อันตรธานหายไปหมดในตอนนั้นมีเครือดินบังเกิดขึ้นแทน เครือดินคล้ายผลมะพร้าว มีสี กลิ่น รส คล้ายเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี เมื่อเครือดินหายไป ข้าวสาลีขาวก็งอกขึ้นเอง ไม่มีเมล็ดลีบ ไม่มี มีกลิ่นหอม เกิดเป็นรวงข้าวสาลีขึ้นจากต้นทันที เมล็ดไม่มีเปลือก ไม่ต้องรอเวลา มนุษย์ทั้งหลายไปรดเก็บเอามาหุงกินได้ทันที สุดแต่ต้องการบริโภคเวลาใด ก็ไปรูดเอามาจากต้น นำใส่ไว้ในภาชนะ ตั้งไว้บนแผ่นศิลา ข้าวจะเดือดสุกไปเอง กินโดยไม่ต้องใช้กับข้าว หรือเครื่องแกล้ม เมื่อพอใจให้เป็นรสอย่างใด ข้าวก็จะมีรสดังต้องการ รวงข้าวที่ถูกเก็บในเวลาเช้าตอนเย็นก็โตเท่าเดิม ถ้าเก็บตอนเย็นตอนเช้าก็โตเท่าเดิม มีรวงแก่สุกพร้อม

          ในสมัยเมื่อมนุษย์บริโภควนดิน สะเก็ดดิน เครือดิน ถือเสมือนสุธาหาร ไม่ต้องย่อย แต่เมื่อบริโภคข้าวสาลีเป็นวัตถุหยาบ จึงต้องย่อยเกิดมีอุจจาระ ปัสสาวะ ปากแผลที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ไหลทิ้งออกมานอกร่างกาย เกิดเป็นอวัยวะเพศขึ้น ในอดีตชาติโน้นใครเคยเป็นชายก็เป็นชาย ใครเคยเป็นหญิงก็เป็นหญิง

          แต่เดิมสมัยเป็นพรหมแล้วลงมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น อุปจารสมาธิยังต่อเนื่องมาในสันดาน ยังข่มกามราคะไว้ได้ แต่เมื่อบริโภคข้าวสาลีจนทำให้เกิดสภาวะความเป็นเพศชายหญิงกันขึ้น จึงเป็นปัจจัยกระตุ้นเตือนอุปนิสัยให้เกิดกามราคะตามมา ทั้งชายหญิงต่างก็เพ่งเล็งดูกันและกันไปมา กามราคะเกิด อุปจารสมาธิก็ขาดจากสันดาน เหล่ามนุษย์เมื่อกระวนกระวายด้วยราคะ ฤษณาก็ต้องเสพเมถุนธรรม (พวกที่ยังรังเกียจอสัทธรรมดังนี้ก็ตำหนิติเตียนหรือแสดงความไม่พอใจด่าว่าบ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง โปรยฝนโปรยเถ้าใส่บ้าง) จึงเกิดให้ขวนขวายหาเคหะสถานที่อยู่อาศัยให้มิดชิดในการประกอบอสัทธรรมนั้น เมื่อคนทั้งหลายครองเหย้าเรือนดังนี้ คนที่เกียจคร้านก็เกิดการเก็บสะสมข้าวสารคือไปรูดเอามาไว้คราวละมาก ๆ คนอื่นเห็นตัวอย่างก็ทําตาม เมื่อความโลภเจริญขึ้น ข้าวสาลีก็ไม่ออกรวงเป็นข้าวสารให้อีก แต่กลับออกรวงมีเปลือกมี ข้าวที่รูดที่เกี่ยวแล้วก็หายไป ไม่มีต้นและรางงอกแทนให้ใหม่ดังเดิม

         ขณะนั้นคนทั้งหลายก็พากันเป็นทุกข์ ทอดถอนใจที่เห็นความแปรปรวนทั้งหลายเกิดขึ้น จึงจัดแจงปักปันแบ่งเขตข้าวสาลีกันขึ้น เขตใดของใครเป็นสัดส่วน

         ต่อมามีคนใจอกุศลกระทำอทินนาทาน ลักขโมยเอาส่วนของผู้อื่น เมื่อมีการจับได้ แรก ๆ ก็เพียงตำหนิติเตียน แต่เมื่อถึงครั้งที่ ๓ จึงกลุ้มรุมทำร้ายด้วยไม้ค้อนและก้อนดิน

         เมื่อเกิดการลักขโมย การครหาติเตียน การกล่าวมุสา การปรับสินไหมและอาชญาก็เกิด ความเป็นอยู่ของผู้คนเริ่มเดือดร้อนกันขึ้น จึงประชุมปรึกษาหารือกัน แสวงหาผู้มีปัญญาให้เป็นหัวหน้าหมู่คณะ คนอื่น ๆ มีหน้าที่ส่งส่วยให้ เพื่อให้ผู้เป็นหัวหน้านั้นดูแลปกครองให้พวกตนอยู่เป็นสุข

         เฉพาะในต้นภัทรอสงไขยกัปของเรานี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ มีรูปร่างแข็งแรง มีสติปัญญาดี มีท่วงที่กิริยาน่าเกรงขาม สามารถว่ากล่าวสั่งสอนคนทั้งปวงได้ จึงได้รับเชื้อเชิญกระทำราชาภิเษก มีพระนามว่า พระเจ้าขัตติยมหาสมมุติเทวราช ให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองดูแลพวกตน นับเป็นการเกิดขึ้นครั้งแรกของวรรณกษัตริย์


650509_02.jpg

         แต่ยังมีคนอีกบางพวกที่เห็นโทษของบาปอกุศลธรรม ว่าเป็นสิ่งทำให้เกิดความทุกข์ร้อนในหมู่มนุษย์ คิดกันว่าพวกตนสมควรไปลอยบาปอกุศลเหล่านี้ทิ้งเสีย จึงพร้อมใจพากันเข้าไปอยู่ในป่า สร้างบรรณศาลาอาศัยอยู่ เว้นจากเมถุนธรรมและบาปอกุศลทั้งปวง มีปกติเที่ยวไปในหมู่บ้านเพียงเพื่อขออาหารกิน คนเหล่านี้ได้ชื่อว่า พราหมณ์

         คนจำพวกใดพอใจเสพเมถุน ยินดีในการครองเรือน ก็จำต้องวุ่นวายไปด้วยเรื่องการทำมาหากิน มีทำการกสิกรรม ค้าขาย เลี้ยงสัตว์ และอื่น ๆ เป็นพ่อค้า ชาวนากรรมกร และอื่น ๆ มาจนทุกวันนี้

         นับตั้งแต่กัปปวินาสมหาเมฆตั้งขึ้นจนกระทั่งโลกถูกทำลายสูญสิ้นลง เรียกว่าสังวัฏฏอสงไขยกัป

         ตั้งแต่ขาดเปลวไฟ หรือน้ำกรด หรือลมกรด จนถึงเวลาฝนตกเต็มที่ยามจะกำเนิดโลกใหม่ เรียกว่าสังวัฏฏฐายอสงไขยกัป

         ตั้งแต่ฝนตกเต็มไปทั่วแสนโกฏิจักรวาลแล้ว กระทั่งเกิดพระอาทิตย์ พระจันทร์ เรียกว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป

         ตั้งแต่พระอาทิตย์ พระจันทร์บังเกิดขึ้น จนกระทั่งโลกพินาศโดยมีกัปปนาสมหาเมฆตั้งขึ้นอีก เรียกว่า วิวัฏฏฐายอสงไขยกัป

         อสงไขยแต่ละชนิดทั้ง ๔ นี้ แต่ละชนิดมีเวลานานประมาณ เท่า ๆ กัน นับเวลาทั้ง 4 ชนิดรวมกันแล้ว เรียกว่า ๑ มหากัป

         อสงไขยกัปแต่ละอย่าง มีระยะเวลาเท่ากับ ๖๔ อันตรกัป ๑ อันตรกัป เท่ากับระยะเวลาที่อายุของมนุษย์ ไขลงจากอสงไขยปีจนถึง ๑๐ ปี แล้วไปขึ้นจาก ๑๐ ปี

         จนถึงอสงไขยปีอีก ครบ ๑ คู่เรียกว่า ๑ อันตรกัปอสงไขยปีเท่ากับเลข ๑ ตามด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว

         ดังนั้น ๑ มหากัป จึงเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัป

         ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทั้งหมดเป็นภพภูมิต่าง ๆ ที่สรรพสัตว์ทั้งปวงผู้ยังมีกิเลสอยู่ในสันดาน ต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เรียกกันว่า วัฏฏสงสาร ตราบใดที่ยังไม่ได้เกิดพบพระพุทธศาสนา ได้ฟังพระสัทธรรม และได้ปฏิบัติตามจนบรรลุผลแล้ว จะไม่สามารถไถ่ถอนตนออกจากวงเวียนแห่งวัฏฏสงสารทั้ง ๓๑ นี้ได้เลย

         ดังนั้นมนุษย์คนใดก็ตาม ได้มีโอกาสดังกล่าวแล้ว นับได้ว่าเป็นบุคคลผู้ประเสริฐยิ่ง ไม่เสียชาติเกิดโดยแท้

 

 

เป็นทานแก่สัต อสงไขย       เวียนว่ายในสังสารวัฏฏฝัน
พึงพบสัจจธรรมมหัศจรรย์   นิมิตมิ่งขวัญใหม่มุชนะมาร

อังคาร กัลยาณพ

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0043854673703512 Mins