มรดกโลก

วันที่ 29 เมย. พ.ศ.2567

090467b01.jpg
มรดกโลก
๓ เมษายน ๒๕๓๗
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)


                ต่อจากนี้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานกันทุก ๆ คนนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ ทุก ๆ คนนะจ๊ะ วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตาอย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ นะจ๊ะ ท่านที่มาใหม่พยายามทำความเข้าใจให้ดี ทุกขั้นตอนนะ ถ้าหากว่าเราทำความเข้าใจได้ดีแล้ว ต่อไปก็จะมีผลของการปฏิบัติอย่างที่เราหวังเอาไว้จะได้สมความปรารถนา ถ้าหากว่าเริ่มต้นได้ถูกต้องแล้ว เมื่อเราไปทำเองในภายหลังก็จะทำให้เราถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย เพราะฉะนั้นทำความเข้าใจให้ดีนะ 

 


                เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ พอสบาย ๆ นะจ๊ะ ถ้าใครไม่สบายก็ต้องขยับให้สบาย แล้วก็หลับตาเบา ๆ หลับพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับ สังเกตไม๊จะเวลาเรานอนหลับเนี่ย เราแค่ปิดเปลือกตาเบา ๆ แค่นั้นเอง และก็ปล่อยใจสบาย ๆ จนกระทั่งถ้าสบายได้ถูกส่วนก็หลับสนิทไปเลย การปฏิบัติธรรมก็คล้าย ๆ อย่างนั้นแหละ เป็นแต่เพียงว่าให้มีสติกับสบาย อย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างนี้น่ะ แค่นี้เท่านั้น ไม่ช้าก็จะเข้าถึงความสงบ สมาธิภายในอย่างง่าย ๆ เพราะฉะนั้นการทำสมาธิจะต่างกับการหลับก็ตรงนี้แหละคือให้มีสติ ให้มีความสบายอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องเดี๋ยวสมาธิจะเกิดขึ้นเองในภายหลังนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราตอนนี้ทำตรงนี้ก่อน เมื่อเราหลับตาสบายดีแล้ว

 


                ต่อจากนี้ก็พยายามทำใจของเราให้ปลอดโปร่งจากภารกิจทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ต้องปลด ต้องปล่อย ต้องวาง ให้ใจว่าง ๆ ว่างเปล่าจากความคิดทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว ธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียนหรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้น่ะ ตลอดจนกระทั่งอยากได้ความสงบ อยากเห็นธรรมะ อยากได้บุญเยอะ ๆ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้เนี่ยะ แม้เป็นความคิดที่ดีก็ตาม ในขณะที่เราทำภาวนาต้องปลด ต้องปล่อย ต้องวางให้ใจนั้นว่างเปล่าจากความคิดทั้งหลายทั้งหมดเลย ทำเหมือนกับอยู่คนเดียวในโลกที่ไม่เคยมีภารกิจมาก่อนเลยนะจ๊ะ ตรงนี้สำคัญนะ ทำให้เหมือนเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยพบปะผู้คนสิ่งของภารกิจต่าง ๆ มาก่อนเลยน่ะ ทำอย่างนี้นะจ๊ะ ใจจะได้ปลอดโปร่งว่างเปล่าจากความคิดทั้งหลายทั้งมวล

 


                แต่ถ้าหากบางคนทำอย่างนี้แล้ว ใจมันก็ยังไม่ว่างจากความคิด เพราะความคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านั้นน่ะ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ พยายามจะปลดจะปล่อยจะวางแล้วมันก็ยังไม่ได้ผล ความคิดยังบังเกิดขึ้น ก็ไม่เป็นไร ให้ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งคือ ถ้าหากเราห้ามความคิดไม่ได้เราก็เปลี่ยนแปลงความคิดเหล่านั้นมาคิดแบบที่พระพุทธเจ้าสอนให้คิด คือท่านสอนให้มองอะไรในโลกนี้ จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ เป็นเหตุการณ์ เป็นอารมณ์อะไรต่าง ๆ เหล่านี้เนี่ย ว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งปวงเนี่ย ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เนี่ย มันเกิดขึ้นชั่วคราว ประเดี๋ยวประด๋าว ตั้งอยู่ประเดี๋ยวประด๋าวน่ะ แล้วก็เสื่อมสลายหายไป จะเอาเป็นเรื่องเป็นราว เป็นชิ้นเป็นอันอะไรไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ ถ้าเราแยกแยะดูแล้วเนี่ย ถ้าเป็นคนก็ลองเอาคนแยกออกไปคนละทิศคนละทางน่ะ ให้เห็นเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ แยกออกไปคนละทิศคนละทาง ดูแล้วจริง ๆ แล้วคำว่าคนไม่มีเลย เป็นคน สัตว์ก็ดี สิ่งของก็ดี แยกเป็นธาตุ จะเห็นว่าทุกอย่างมันว่างเปล่าหมด ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เราควรจะไปคิดว่า นั่นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น ใจมันจะได้ว่าง ๆ เมื่อใจว่าง ๆ ไม่มีอารมณ์อะไรคิดแล้ว 

 


                ต่อจากนี้ก็ทำให้มันสบาย ๆ เรื่องที่จะทำให้สบาย ๆ ก็มีหลายเรื่อง เราจะนึกถึงเรื่องบุญก็ได้ เรื่องความดีที่เราทำหรือเรื่องธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมอะไรที่ทำให้เรามีความรู้สึกว่าสบาย ๆ วัตถุประสงค์ที่เราทำอย่างนี้ต้องการให้ใจเราปลอดโปร่งว่างเปล่าจากภารกิจทั้งหลาย แล้วให้ได้อารมณ์สบาย อารมณ์สบายนี่แหละเป็นหัวใจทีเดียว ที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมะภายใน ถ้าได้อารมณ์ที่สบาย แล้วมีสติ นึกถึงเรื่องเดียวในสิ่งที่หลวงพ่อจะแนะให้นึกเนี่ยะ คือบริกรรมนิมิตกับบริกรรมภาวนา นึกเรื่องเดียวให้ได้ตลอดสม่ำเสมอไม่ให้เผลอ ไปคิดเรื่องอื่นเลยอย่างสบาย ๆ ไม่ช้าใจก็จะหยุดนิ่ง สงบระงับ เราจะได้สัมผัสแหล่งแห่งความสงบภายในว่าความสงบนี้มีคุณค่าต่อชีวิตจริง ๆ เลย มีความสำคัญมาก เป็นสุขจริง ๆ สุขที่เกิดขึ้นจากความสงบ จากใจที่หยุดที่นิ่ง เราจะได้สัมผัสแหล่งแห่งความสุขในภายหลังและเป็นสุขจริง ๆ สุขที่เรายอมรับว่าสุขนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นสติ สบาย สม่ำเสมอนี่เป็นหัวใจ ตอนนี้เราอยู่ในขั้นตอนที่จะปรับให้กายและใจสบาย ร่างกายของเราให้สบาย ขยับเนื้อขยับตัวให้ดี จิตใจก็ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ให้ใจสะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ทำตรงนี้ก่อนนะจ๊ะ

 


                ท่านที่มาใหม่นะ เมื่อเราทำตรงนี้ได้แล้ว ต่อจากนี้ก็ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องทางเดินของใจ ทางเดินของใจนั้นมีอยู่ทั้งหมด ๗ ฐาน ฐานที่ ๑ อยู่ปากช่องจมูก ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา ฐานที่ ๒ อยู่ที่เพลาตา ที่หัวตาตรงน้ำตาไหล ฐานที่ ๓ อยู่ที่กลางกั๊กศีรษะในระดับเดียวกับหัวตาของเรา ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก ฐานที่ ๖ อยู่กลางท้องระดับเดียวกับสะดือของเรา ถ้าเราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง เส้นด้ายเส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปข้างหลัง อีกเส้นหนึ่งซึ่งจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม ตรงนี้แหละเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ยกถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมติเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ท่านที่มาใหม่ศึกษาไว้ให้เข้าใจนะจ๊ะ 

 


                ๗ ฐานนี่แหละคือทางเดินของใจ เวลามาเกิดเข้าทางปากช่องจมูกฐานที่ ๑ เรื่อยมาเลย และก็มาหยุดอยู่ที่ฐานที่ ๗ เข้าทางจมูกของใครน่ะ ของบิดามารดา และตอนสุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ฐานที่ ๗ ของมารดา นี่เวลามาเกิดน่ะ ก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของมารดา เวลาไปเกิดเดินย้อนกลับ จากฐานที่ ๗ ออกไปฐานที่ ๖ ไปเรื่อยเลย ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ ออกจากปากช่องจมูกแล้วก็ไปเกิดเลย ไปเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่ เป็นเทวดาก็ดีเป็นมนุษย์ก็ดีน่ะ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรกอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ออกทางเดียวกันหมดเลย เวลามาเกิดก็เช่นเดียวกัน จะมาจากภพภูมิไหนก็ตามนะ ก็เข้าทางปากช่องจมูกตรงนี้แหละ เข้ามาทางเดียวกัน แล้วก็มาหยุดอยู่ที่ฐานที่ ๗ ของมารดา หยุดอยู่ตรงนั้น ประกอบธาตุหยาบของมารดาหล่อเลี้ยงไปจนกระทั่งเติบโตออกมา เวลาไปเกิดนี่กายมนุษย์ละเอียดของตัวเรานะจ๊ะ ตอนนี้ของตัวเราออกจากฐานที่ ๗ แล้วก็ไป ๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ ไปเกิดเลย ออกไปเกิดแล้วไปแสวงหาที่เกิดใหม่ กายมนุษย์อยู่ไม่ได้แล้ว มันแตกกายทำลายขันธ์หมดเลย กายมนุษย์มันเปื่อยมันเน่ามันอยู่ไม่ได้ ก็ต้องออกไปอย่างเนี้ยะ 

 


                ไปเกิดมาเกิดสลับกันออกไป สวนทางกัน นี่สำหรับปุถุชนธรรมดาเขาก็จะเป็นกันอย่างนี้นะ แต่มีอีกทางหนึ่งคือการไปสู่กายไม่เกิด ไม่ไปเกิดและก็ไม่มาเกิด ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ตรงนี้สำคัญ ถ้าจะไม่มาเกิดจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ มีที่เดียวตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ ฐานที่ ๗ นี่สำคัญทีเดียวเป็นทางสายกลางสายเอกสายเดียว ไม่มี ๒ สาย สายเดียวเช่นนั้นเรียกว่าเอกานยมรรค เป็นทางเอกสายเดียว ก็ของง่าย ๆ อย่างนี้แหละ ไม่มีหลายทาง มีทางเดียวตรงฐานที่ ๗ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านค้นพบหนทาง ทางตรงนี้แหละ ซึ่งไม่มีใครค้นพบมาก่อนเลย พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ เราสังเกตได้มนุษย์ในปัจจุบันนี้เนี่ย มัวแต่ทำมาหากินเบียดเบียนกัน ไม่มีใครรู้เรื่องหนทางที่จะไม่เกิดเลย หนทางแห่งความดับทุกข์นี้ไม่มีใครรู้กันเลย เพราะใจวันหนึ่งคืนหนึ่งคิดแต่เรื่องทำมาหากิน เบียดเบียนกันไปแก่งแย่งชิงดีกันไปน่ะ แข่งขันกัน ต่อสู้กันไป ไม่รู้เลย วัน ๆ มันคิดกันแต่อย่างนั้นน่ะ 

 


                พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ พบหนทางนี้เนี่ย ด้วยวิธีการทำใจของท่านให้หยุดนิ่ง ให้มีสติ ให้มีสติอยู่ตรงนี้คือรู้ตัวอยู่ตรงนี้ นิ่งเฉย ๆ ตรงฐานที่ ๗ อย่างสบาย ๆ และก็สม่ำเสมอต่อเนื่องกันไปเลย สติกับสัมปชัญญะ ต่อเนื่องกันไป และก็สม่ำเสมอสบาย ถูกส่วนเข้าค้นพบ พอใจหยุดถูกส่วนเข้าตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้เนี่ยท่านเข้าถึงดวงธรรมดวงแรก ถึงความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์เป็นครั้งแรกน่ะ เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้น เป็นต้นทางที่จะไปสู่อายตนะนิพพาน ที่จะหลุดจะพ้นจากกิเลสจากอาสวะทั้งหลายซึ่งเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ นี่ท่านค้นพบตรงนี้นะจ๊ะ ค้นพบต้นทางที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์มนุษย์ทุกคนในโลกนี้จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม จะมียศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำแค่ไหนก็ตาม ล้วนแต่ถูกความทุกข์บีบบังคับตลอดเวลาเลย ทุกข์กายทุกข์ใจ ทุกข์สารพัดทุกข์ ทุกข์จากสาเหตุของตัวเองก็ดี คนอื่นทำให้ก็ดี มันเกิดขึ้นน่ะ แต่ไม่รู้วิธีการ เค้าแสวงหาวิธีการที่จะดับทุกข์ตลอดเวลาเลย 

 


                เดี๋ยวนี้มนุษย์ก็ยังแสวงหาวิธีการกันอยู่แต่หาไม่เจอ คิดอะไรได้ก็ทำไปตามนั้น ไปตามรสนิยมของตัว เข้าบาร์เข้าคลับกินเหล้า เล่นการพนันหรือหาอะไรเพลิน ๆ ให้มันหมดเวลาไปเปล่า ๆ น่ะ แต่ไม่พบหนทางพระพุทธเจ้าท่านเข้าถึงตรงนี้แหละ ท่านเอาใจหยุดตรงนี้ถูกส่วนเข้า เข้าถึงความบริสุทธิ์เบื้องต้น มีลักษณะเป็นดวงกลม ดวงกลม กลมเหมือนดวงแก้ว กลมรอบตัวใสบริสุทธิ์ บังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันน่ะ นี่ท่านพบหนทางตรงนี้แล้ว พอถึงตรงนี้ท่านก็อยากรู้ต่อไปว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ท่านก็หยุดต่อไปอีก

 


                เพราะว่าหยุดเบื้องต้นนั้นท่านได้เข้าถึงดวงธรรม ไม่ได้ใช้ความคิดอะไรเลย ไม่มีความคิดอื่นเลย หยุดนิ่งอย่างเดียวก็เข้าถึงดวงธรรม แล้วท่านก็หยุดต่อไปอีก ไม่ได้คิดไม่ได้พิจารณาอะไรทั้งสิ้นเลย หยุดนิ่งอย่างเดียวน่ะหยุดอยู่ในกลางดวงธรรมดวงนี้แหละ หยุดต่อไป พอถูกส่วนก็เข้าถึงดวงธรรมอีกดวงหนึ่ง คือดวงแรกมันขยายกว้างออกไป ขยายกว้างออกไปเอง กว้างเป็นปริมณฑลเลย กว้างไปรอบทิศ แล้วก็เข้าถึงดวงธรรมอีกดวงหนึ่งที่สุกใสกว่าสว่างกว่า ท่านก็หยุดต่อไปอีก หยุดไปเรื่อยเลย หยุดก็เข้าถึงดวงธรรมที่ซ้อน ๆ กันอยู่ภายในอีกดวงหนึ่งน่ะ ดวงที่ ๓ ที่เข้าไปถึง หยุดต่อไปอีกดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น ท่านก็หยุดต่อไปอีกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผ่านไปถึง ๖ ดวง ค้นพบว่ามีอยู่ ๖ ดวงธรรมซ้อนกันอยู่ มากไม่เกินไปกว่านี้น่ะ หยุดนิ่งในกลางดวงที่ ๖ ในกลางดวงธรรมดวงที่ ๖ ที่ขยาย ท่านเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดเห็นกายมนุษย์ละเอียด เห็นตัวเองนั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเราน่ะ เห็นตัวเองเลย ชัดใสแจ่มเหมือนลืมตาเห็นน่ะ 

 


                ท่านก็หยุดต่อไปอีก คือเห็นอะไรท่านก็มองไปเรื่อย ๆ คืออยากจะรู้ว่าไปถึงที่สุดมันจะไปแค่ไหนน่ะ ท่านก็หยุดไปอย่างนี้แหละ หยุดไปเรื่อย ๆ มีอะไรให้ดูท่านก็ดูไป ดูไปอย่างสบาย ๆ โดยไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้นน่ะ หยุดไปเรื่อย ในกลางกายมนุษย์ละเอียดนั้นน่ะ ที่มีลักษณะเหมือนตัวเองน่ะ มองต่อไปท่านก็เข้าถึงดวงธรรมในกลางกายมนุษย์ละเอียด เห็นผุดซ้อน ๆ กันขึ้นมา ๖ ดวงน่ะ ทีละดวง ๆ เข้าไปเนี่ย พอสุดดวงที่ ๖ ท่านก็เข้าถึงกายทิพย์ ใครอยากรู้ว่ากายทิพย์ชาวสวรรค์เป็นอย่างไรก็หยุดเข้าไปอย่างนี้แหละ ให้เข้าถึงกายทิพย์ภายในจะได้ไม่ต้องเดา แล้วจะได้ไม่ต้องไปเชื่อคนอื่นเค้า นี่หยุดท่านหยุดเข้าไปถึงกายทิพย์ หยุดต่อไปอีกไปเรื่อยๆ เลย ในกลางกายทิพย์ท่านก็เข้าถึงดวงธรรม ๖ ดวงนั้นน่ะ ทีละดวง ๆ ๖ ดวง ถึงกายรูปพรหม สวยงามหนักยิ่งขึ้น ท่านก็หยุดต่อไปอีกในกลางกายอรูปพรหมก็เข้าถึงดวงธรรมต่าง ๆ ๖ ดวงที่ผุดซ้อนกันขึ้นมา สุดดวงที่ ๖ ก็เข้าถึงกายอรูปพรหม หยุดต่อไปอีกในกลางกายอรูปพรหม 445...

 


                เข้าถึงดวงธรรมอีก ๖ ดวงที่ผุดซ้อนกันขึ้นมาน่ะ พอสุดดวงที่ ๖ ก็เข้าถึงกายธรรม กายธรรมโคตรภู เป็นโคตรภูบุคคล เดินมาได้ครึ่งทางแล้ว พ้นจากภาวะปุถุชนเกือบจะเป็นพระอริยเจ้าแล้ว เรียกว่าโคตรภูบุคคล มีพระธรรมกายใสแจ่มเกตุดอกบัวตูม นั่งขัดสมาธิสว่างสุกใส ใสยิ่งกว่าเพชร งามไม่มีที่ติทีเดียว นั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกัน ท่านก็หยุดเข้าไปเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละ ในกลางนั้นก็เข้าถึงดวงธรรมอีก ๖ ดวง พอสุดดวงที่ ๖ ก็เข้าถึงกายธรรมพระโสดา เป็นพระโสดาบัน เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันมีความสุขมาก สุขจนกระทั่งท่านต้องเปล่งอุทานมาเลยในยามต้นน่ะ เปล่งอุทานมาเลยน่ะ หยุดตรงนี้เลย มีความสุขทะลักพรั่งพรูออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยเนี่ย ว่าธรรมบังเกิดขึ้นแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อใดธรรมบังเกิดขึ้นแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป คือความสงสัยของมนุษย์มันมีอยู่เยอะน่ะ อะไรที่ยังไม่รู้มันก็ยังสงสัย พอเข้าถึงแล้วรู้แจ้งแล้วก็หายสงสัย 

 


                ตอนนี้ท่านเข้าไปถึงกายธรรมพระโสดาบัน ท่านหายสงสัย หายสงสัยในสรณะที่พึ่งที่ระลึก หายสงสัยเพราะใจท่านกะเทาะร่อนออกมาหมดแล้ว หลุดจากความเป็นปุถุชนแล้วร่อนออกมาเป็นพระอริยเจ้าแล้วนะ เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันเป็นพระโสดาบันมีความสุขมากหลุดพ้นจากกิเลสในเบื้องต้นน่ะ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส คือหลุดพ้นจากขันธ์ ๕ ทั้งหมดเลย ใจที่ยึดขันธ์ ๕ น่ะ ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ ใจที่ยึดในกายมนุษย์ก็ดี ทิพย์ก็ดี พรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดี หลุดหมด ติดอยู่ในกายธรรมพระโสดาบัน เห็นกายธรรมสว่างกว้างออกไป หน้าตัก ๕ วานะ สูง ๕ วา ใสบริสุทธิ์ สว่าง มีความสุขมากพวกเราลองนั่งดูนะจ๊ะ เมื่อเข้าถึงกายธรรมนี่แหละเดี๋ยวก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งอุทานออกมาน่ะ มันมีความสุขจริง ๆ มีพระอยู่องค์หนึ่งที่วัดพระธรรมกายนี่แหละ ตั้งใจปฏิบัติธรรมมานานก็ยังไม่ได้บรรลุผล มีอยู่วันหนึ่งผลแห่งความเพียรปรากฏเกิดขึ้น ยังไม่ได้เข้าถึงกายธรรมหรอก ถึงแค่ดวงธรรมเบื้องต้น เห็นดวงธรรมชัดใสแจ่มสว่างมีความสุขมาก เกิดมาไม่เคยมีความสุขอย่างนี้เลย

 


                ความสุขได้ยินหลวงพ่อพูดบ่อย ๆ ได้ยินคนอื่นเค้าก็พูดว่าเข้าถึงแล้วมีความสุขมาก แต่ตัวก็ยังสงสัยอยู่มันจะเป็นอย่างนั้นจริงรึเปล่า ก็พยายามเพียรปฏิบัติ วันนั้นเข้าถึงเข้าถึงตอนตีหนึ่งตีสองนั่นน่ะ มีความสุขทีเดียว ดวงธรรมชัดใสแจ่มสว่าง เกิดปีติ อยากจะแจกจ่ายความสุขให้กับคนอื่น เดินไปตามกุฏิต่าง ๆ น่ะ จะไปบอกคนอื่นให้เค้าได้รับรู้ว่าตัวเองมีความสุขมาก และก็มองไปในย่ามมีเงินอยู่ ๒๐ บาทมั้ง อยากจะทำบุญ ไปกุฏิต่าง ๆ ก็เห็นเค้านอนกันหมดแล้ว หลับกันหมด ไม่มีใครมารับบริจาคอยากจะทำบุญ นั่นนะจ๊ะเป็นเครื่องวัดว่าแค่เข้าถึงดวงธรรมเบื้องต้น สุขขนาดนั้น ทีเดียว ถ้าถึงกายธรรมพระโสดาบันจะสุขขนาดไหน ดูพระพุทธเจ้าของเราเป็นหลัก ท่านเปล่งอุทานเลยน่ะ เมื่อใดธรรมทั้งหลายบังเกิดขึ้นแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยของพราหมณ์สิ้นไปเลย ว่าสุขอย่างนี้จริง ๆ มีความสุขมาก ๆ หายสงสัยแล้วเนี่ยในยามต้น แต่ท่านก็ยังรู้ด้วยพระปัญญาของพระองค์ท่านว่ายังไม่พ้นจากกิเลส ท่านหยุดต่อไปอีก 

 


                พอถูกส่วนก็เข้าถึงดวงธรรมอีก ๖ ดวง ในกลางนั่นน่ะ ผุดซ้อน ๆ ขึ้นมาในทำนองเดียวกัน สุดดวงที่ ๖ เข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคามี หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา ใหญ่กว่าไปอีกเท่าหนึ่งแล้ว หยุดต่อไปอีกในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี เข้าถึงกายธรรมอีกกายหนึ่งแล้ว ถึงกายธรรมพระอนาคามี อยู่ที่กลางดวงที่ ๖ ของกายธรรมพระสกิทาคามี ในยามที่ ๒ เข้าถึงกายธรรมพระอนาคามี หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา เกิดธรรมปิติอีกแล้วน่ะ เปล่งอุทานอีกแล้ว เปล่งอุทานในทำนองเดียวกันเลยน่ะ ว่าเมื่อใดธรรมทั้งหลายบังเกิดขึ้นแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยของพราหมณ์หมดสิ้นไปอีกแล้วน่ะ กิเลสต่าง ๆ ขาดกระเด็นออกไปอีก หายสงสัยอีกแล้ว ถึงยามที่ ๒ เปล่งอุทานอีกแล้วน่ะ มีความสุขมาก สุขยิ่งกว่าเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน พระสกิทาคามีเมื่อเข้าถึงกายธรรมพระอนาคามี สุขยิ่งขึ้นไปอีก ท่านก็เอาใจหยุดต่อไปอีก ไปอย่างนี้แหละ หยุดเข้าไปในกลางนั้น ไม่ได้คิดอะไรเลย มีอะไรให้ดูท่านก็ดูไป หยุดอย่างเดียว หยุดนิ่งอยู่ในกลางนั้นอย่างเดียว ถูกส่วนเข้าไปก็ทะลุดวงธรรมต่าง ๆ อีก ๖ ดวง ดวงที่ ๖ เข้าถึงกายธรรมพระอรหัต เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในยามสุดท้าย  

 


                หมดกิเลส กิเลสหลุดร่อนหมดเลย มีแต่กายธรรมพระอรหัตหน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา บริสุทธิ์ล้วน ๆ จนกระทั่งปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ สำรวจตรวจตราดูแล้ว กิเลสไม่มีเหลือเลย หลุดหมดเลย มีความสุขจริง ๆ จิตใจเบิกบานอย่างไม่มีขอบเขต เกิดธรรมปิติถึงกับเปล่งอุทานอีกในยามสุดท้ายในขณะที่แสงเงินแสงทองของดวงอาทิตย์ผุดขึ้นมา ท่านเปล่งว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายบังเกิดขึ้นแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป หายสงสัยอีกแล้วเนี่ย หมดสิ้นแล้วเนี่ยประดุจดวงอาทิตย์ผุดขึ้นมาขจัดความมืด ทำให้อากาศสว่างฉะนั้น คือมีความสว่างหมดเลย ความมืดในใจไม่มีเหลือเลย สว่างหมดมีความสุขล้วน ๆ เราจะสังเกตได้ว่า ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ท่านไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ทำอย่างเดียวเท่านั้น คือทำใจให้หยุดให้นิ่ง ให้มีสติ สบาย สม่ำเสมอ ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งปริโยสาน ตอนสุดท้ายถึงกายธรรมอรหัต

 


                เพราะฉะนั้นหยุดนี่จึงเป็นตัวสำเร็จ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านค้นพบมา ท่านสรุปผลของการปฏิบัติทั้งหมดว่าหยุดนี้เป็นตัวสำเร็จ ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ทำหยุดกับนิ่งอย่างเดียวน่ะ หยุดเป็นตัวสำเร็จตั้งแต่เบื้องต้นกระทั่งเป็นพระอรหันต์ กายต่าง ๆ ดังกล่าวทั้งหมด ดวงธรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วนั้น มีอยู่ในกลางกายของเรานี้ทุก ๆ คน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราไปทำให้มันเกิดขึ้น มีอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงเราทำใจให้หยุดนิ่งกระทั่งมีความบริสุทธิ์ มีความละเอียดเท่ากับสิ่งที่มีอยู่ก็จะดึงดูดเข้าหากัน ที่หลวงพ่อใช้คำว่าเราได้เข้าถึงดวงธรรมดวงนั้น กายกายธรรมกายนั้น เมื่อถูกส่วนเข้าก็จะดึงดูดเข้าหากันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นหยุดนี้เป็นตัวสำเร็จ ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ใครก็ตามที่มีความปรารถนาสมัครใจที่จะเข้าถึงความสุขอย่างแท้จริงต้องทำอย่างนี้นะจ๊ะ ถ้ามีความสมัครใจอยากจะเข้าถึงความสุขที่แท้จริง อยากจะหลุดพ้นจากกิเลสจากอาสวะ อยากจะรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรา จากที่เราได้เคยได้ยินได้ฟังมาเนี่ย จะต้องสมัครใจ ถ้าสมัครใจอย่างนี้ละก็ ต้องทำใจหยุดใจนิ่งให้มีสติ สบาย สม่ำเสมอ ไม่ช้าจะเข้าถึงอย่างนี้

 


                เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ ใจหยุดให้นิ่งให้สนิทอย่างสบาย ๆ ให้ใจหยุดในหยุด ๆ ๆ หยุดนิ่งเฉยที่ศูนย์กลางกายนะจ๊ะอย่างสบาย ๆ ถ้าหากเราไม่ลืมคงจำได้เมื่อกี้หลวงพ่อบอกว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านค้นพบว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นคำนี้สำคัญนะ คำว่า หยุด นี่แหละ สมควรที่จะเป็นมรดกโลกอย่างแท้จริงของมวลมนุษย์ชาติ ถ้าหากมวลมนุษย์ชาติมีความคิดเหมือนกันทุกคนว่าอยากจะแสวงหาความสุขหรือความสุขเป็นยอดของความปรารถนา คือความปรารถนาใด ๆ ทั้งหมดน่ะ ความสุขคือยอดปรารถนาของมวลมนุษยชาติสมดังพระบาลีที่ว่า สุขกามานิ ภูตานิ สัตว์ทั้งหลายน่ะ เป็นมนุษย์ก็ดีสัตว์ทั้งหลายก็ดีเนี่ย มีความปรารถนาเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นสุดยอดของความปรารถนาคือความสุข ไม่ใช่ลาภ ไม่ใช่ยศ ไม่ใช่ตำแหน่ง ไม่ใช่สรรเสริญ แต่จุดสุดท้ายก็คือความสุขไม่ว่าจะความสุขจากการได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส ได้นึกคิดอะไรก็แล้วแต่ สุดยอดก็คือความสุข ความสุขคือสุดยอดแห่งความปรารถนา

 


                เพราะฉะนั้นหยุดนี่แหละจะเป็นตัวสำเร็จ ที่จะให้เข้าถึงความสุข ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาของสรรพสัตว์ทั้งหลาย หยุดคำนี้จึงสมควรเป็นถ้อยคำที่เป็นอมตะ เป็นมรดกของโลก ทิ้งเอาไว้ให้ผู้ที่จะมาอยู่ในภายหลัง ได้ใช้คำนี้ไปฝึกฝนอบรมใจให้เข้าถึงจุดสุดยอดแห่งความปรารถนาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เนี่ย นี่แหละคำที่ควรแก่การเป็นมรดกโลกอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงป่าเขาลำเนาไพรอะไรต่าง ๆ ที่กำลังยกกันเป็นมรดกโลกน่ะ เพราะสิ่งเหล่านั้นน่ะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ไม่ช้าก็เสื่อมสลายไป มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ แต่มีถ้อยคำหนึ่งนี่จะให้มนุษย์เข้าถึงจุดสุดท้าย สุดปรารถนาเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องทำใจให้หยุดนิ่งให้ดีนะจ๊ะ 

 


                ใจหยุดในหยุด ๆ ๆ หยุดนิ่งเฉย สบาย ๆ ใครเข้าถึงดวงธรรมดวงไหนก็เอาใจหยุดไปที่กลางดวงธรรมดวงนั้นน่ะ ให้เห็นชัดใสแจ่มเหมือนลืมตาเห็นทีเดียวที่เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดเห็นตัวเองชัดเจน ก็เอาใจหยุดเข้าไปที่กลางกายมนุษย์ละเอียด ถ้าเข้าถึงกายทิพย์ได้เห็นกายทิพย์ใสแจ่ม ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายทิพย์ ถ้าเข้าถึงกายรูปพรหมได้ ก็เอาใจหยุดไปกลางกายรูปพรหม ถ้าเข้าถึงกายอรูปพรหมได้ ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายอรูปพรหม หยุดให้นิ่ง ถ้าเข้าถึงกายธรรมได้ ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายธรรมนั้น เอาใจหยุดในหยุด ๆๆ หยุดนิ่งเฉย ๆ นะจ๊ะ หยุดนิ่งอยู่ที่กลางกายธรรมนั้น ใครถึงสภาวธรรมไหนก็หยุดไปตรงนั้นเลย ให้หยุด ให้ใจใส ให้หยุดในหยุด ๆ ๆ หยุดนิ่ง 

 


                การบูชาข้าวพระก็คือ ก็คือการนำเครื่องไทยธรรมอันมีดอกไม้ธูปเทียนอาหารหวานคาวที่เรานำมาจากบ้านกันคนละเล็กคนละน้อย มารวมกัน ณ ที่นี้เนี่ย น้อมเอาเครื่องไทยธรรมซึ่งเป็นของหยาบนี้เนี่ย เข้ามาไว้ในกลางกายธรรมแล้วก็ทำวิชชาธรรมกายกลั่นเครื่องไทยธรรมนี้ให้ใสสะอาด บริสุทธิ์จนกระทั่งมีความบริสุทธิ์ มีความละเอียดเท่ากับกายธรรมนั้น แล้วก็ทำวิชชาธรรมกายน้อมนำเอาเครื่องไทยธรรมที่มีความละเอียดเท่ากับกายธรรมนั้น ไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพาน การทำอย่างนี้เรียกว่าการบูชาข้าวพระ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าพระธรรมกายพุทธเจ้าท่านจะเสวยอาหารเหมือนอย่างพระสงฆ์ขบฉันนะจ๊ะ เราถวายเป็นพุทธบูชาน่ะ อย่างนี้เรียกว่าการบูชาข้าวพระ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เอาใจของเราให้หยุดในหยุด ๆ ๆ หยุดให้นิ่งอยู่ในกลางนั้นให้ดีนะ ตรงกลางตรงนี้ กลางของกลางเนี่ย ถ้าหากว่าเราฝึกฝนบ่อย ๆ ทำให้ชำนาญเนี่ยมันจะกลวงกว้างออกไปเลย โล่งกว้างออกไปเลยเนี่ย จะเห็นดวงธรรม จะเห็นกายต่าง ๆ ชัดซ้อน ๆ ๆ ๆ กันอยู่เต็มไปหมดเลย สว่างโล่ง มีความสุขมากทีเดียวอยู่ในกลางนั้น ถ้าเราน้อมเครื่องไทยธรรมเข้าไปในกลางนั้นมันจะใส บริสุทธิ์ ใสเหมือนกายธรรม ใสไปเรื่อยเลย ใสอยู่ในกลางของกลาง ๆ ใสไปเรื่อย สว่างไปเรื่อย ถ้าเราทำคล่องแล้วเราจะเห็นอย่างนี้นะ เห็นกายธรรมในกายธรรม

 


                กายธรรมในกายธรรม องค์พระผุดซ้อน ๆ ๆ ซ้อนขึ้นมาเลย เต็มไปหมดเลยเนี่ย ซ้อนขึ้นมาในกลางจนกระทั่ง ไม่มีที่ว่างเลย ซ้อนเต็มอยู่ในไส้กลางของกลางตรงนั้นเนี่ย เครื่องไทยธรรมก็จะถูกกลั่นส่งกันต่อ ๆ ๆ ๆ กันไปเรื่อยเลย สว่างโล่ง คราวนี้คุณยาย คุณยายก็คุมทับทวีเครื่องไทยธรรมทั้งหลายทั้งหมดเลย ทับทวีเครื่องไทยธรรมน้อมไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานนะ ทับทวีขึ้นไปเรื่อยเลย ในอายตนะนิพพานเป็นที่โล่งว่าง ๆ ไม่มีอะไรกำบัง ไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร ไม่มีศาลาการเปรียญ เพราะว่าไม่มีความจำเป็นสำหรับท่านน่ะ สิ่งที่หยาบ ๆ ที่เราเห็นในเมืองมนุษย์ไม่มีเลย โล่งว่าง สว่างด้วยธรรมรังสีของพระพุทธเจ้า ของพระธรรมกายพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านนั่งเข้านิโรธสมาบัติสงบนิ่งในอายตนะนิพพาน นับไม่ถ้วนเลย นับไม่ถ้วนเลย นั่งสงบนิ่งเสวยสุขอยู่ในกลางของกลางท่านน่ะ เข้านิโรธสมาบัติ เต็มไปหมด เกตุดอกบัวตูม ใสบริสุทธิ์ สว่างเต็มไปเลยเนี่ย อยู่ในกลางของกลางกลางอายตนะนิพพาน เต็มไปหมด

 


                คุณยายก็ทับทวีขึ้นไปถวาย ถวายทุกพระองค์เลย ไม่ซ้ำธาตุไม่ซ้ำธรรม ไม่ซ้ำพระองค์ ซ้อน ๆ ซ้อน ๆ ทับทวีเข้าไปเรื่อยเลย ทับทวีถวายให้ทั่วถึงกันไปให้หมด พอสุดรู้สุดญาณก็ทับทวีกันต่อไปอีก ทับทวีให้เต็มไปหมดเลยเนี่ย ทับทวีเข้าไปในไส้ในไส้ กลางของกลางเข้าไปเรื่อย ๆ เลย เต็มไปหมดเลย สว่างสุกใส และก็กราบขอบุญขอบารมีขอรัศมีกำลังฤทธิ์อำนาจสิทธิของพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนให้ถึงแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของบุญนี้ทุก ๆ ท่าน และขอบุญขอบารมี ขอรัศมี ขอกำลัง ขอฤทธิ์ อำนาจสิทธิ์ ให้ถึงแก่พวกเราทุก ๆ คน ลูก ๆ ชายหญิงทั้งภายในและต่างประเทศน่ะ จะอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตามเนี่ย ทับทวีไปเรื่อยเลย กราบทูลท่านน่ะ ส่งบุญถึงให้หมดเลย ทับทวีไป ขอบุญขอบารมีไปเรื่อย ๆ เลย 

 


                คุณยายส่งกันต่อ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ เลย ทับทวีไปเรื่อย ๆ เลย ให้ลูก ๆ ชายหญิงทุกคน ให้ได้ผลบุญในปัจจุบันเนี่ย ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้แทงตลอดในวิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ให้ได้บรรลุธรรมที่หลวงพ่อวัดปากน้ำได้บรรลุ ให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง ให้มีอายุยืนยาวได้สร้างบารมีไปนาน ๆ จะประกอบธุรกิจการงานอันใด ก็ให้ประสบความสำเร็จเป็นอัศจรรย์ จะคิดอะไรในสิ่งที่ดีก็ให้สมความปรารถนา กันทุกคนเลยคุณยายคุมให้ดีเลย กราบทูลพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานนับพระองค์ไม่ถ้วน ให้คุมบุญให้ดีเลย นี่คุมให้ถึง ติดที่ศูนย์กลางกายของทุก ๆ คนเลยเนี่ย ติดให้หมดทุกกาย ทั้งกายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม กายธรรม ติดหมดทุกกาย และทับทวีอาหารทิพย์ไปไว้ตามวิมานของแต่ละคนน่ะ ละโลกแล้วจะได้ไปเสวยอาหารทิพย์ บำเพ็ญภาวนากันได้ เพราะกายหยาบมันอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง 

 


                คุณยายทับทวีไปเรื่อยเลย ไปไว้ตามวิมานต่าง ๆ น่ะ สั่งจักรพรรดิ พุทธจักรทับทวีไปนะให้ทั่วถึงกันให้หมด แล้วให้ได้ผลบุญทันตาเห็น คุมให้ดีเลยอุปสรรคต่าง ๆ นานาก็แก้ไขเก็บไปให้หมด นำความสุขความเจริญความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่ดีที่มีสิริมงคลให้ได้ในปัจจุบันนี้ ทับทวีไปเรื่อยเลย แล้วคุมให้ทั่วถึงให้หมดและคุมให้ กราบทูลพุทธเจ้าในอายตนะนิพพาน พระพุทธเจ้าจักรพรรดิทั้งหลายในอายตนะนิพพานทั้งหมดเลยนะ ให้ท่านทับทวีไปตามเจ้าของบุญผู้ที่เป็นเจ้าของบุญที่จะสร้างธรรมกายประจำตัวประดิษฐานที่ธรรมกายเจดีย์ จะอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตามให้รีบทับทวีให้เค้ามาเอาบุญกัน เป็นเจ้าของบุญพระธรรมกายประจำตัวน่ะ ประดิษฐานที่พระธรรมกายเจดีย์ ทับทวีไปเรื่อย ๆ เลยให้ตามทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งนั่งนอนยืนเดินเลย อย่าให้เค้ากดเค้าขวางเค้ากันได้ ให้ตามมาเลย

 


                อยู่แห่งหนตำบลใดเนี่ย ให้มาเอาบุญใหญ่ซะ เพราะการสร้างธรรมกายเจดีย์เป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยากในโลก นี่บังเกิดขึ้นมาแล้วในคราวนี้เนี่ย เป็นบุญใหญ่ที่จะให้ทุก ๆ คนมีส่วนแห่งบุญอันนี้เนี่ย ให้ไปตามเจ้าของบุญมาให้หมด ทับทวีไปเรื่อย ๆ เลย ประกาศกันไป เทวดา พรหม อรูปพรหมทั้งหลายไปช่วยกันตามมาให้หมดเลย ให้มาเอาบุญใหญ่เนี่ยคุณยายทับทวีไป และใครที่เป็นเจ้าของบุญนี้ก็อธิษฐานจิตเอานะจ๊ะ บุญกำลังไหลเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกาย ใสบริสุทธิ์ สว่างทีเดียวนะ ตั้งความปรารถนาเอา จะปรารถนาอะไรก็จะได้สมความปรารถนาในทุก ๆ เรื่อง ต่างคนต่างทำกันไปนะจ๊ะ อธิษฐานจิตให้ดีเนี่ย คุณยายก็คุมไปเรื่อย ทับทวีไปเรื่อยตอนนี้พวกเราทุกคนน่ะ อยู่ในกลางของพระธรรมกายพระพุทธเจ้าหมดเลย ท่านเอาเราไปไว้ในกลางท่าน ทุกพระองค์เลยเนี่ย เราจะอยู่ในกลางท่าน ใสสว่าง โล่งไปหมดเลย อยู่ในกลางเต็มไปหมดเลย ท่านก็ส่งกันต่อ ๆ ๆ ๆ กันไปเรื่อย ๆ ส่ง ส่งไปเรื่อย ๆ เลย กลั่นแก้พวกเรา แล้วทำความปรารถนาของพวกเราให้สมความปรารถนา ให้ได้บุญใหญ่กันอย่างเต็มที่เลย 

 


                กระแสธารแห่งบุญติดหมดเลย ทุกกายเลยในกลางนั้นน่ะ ใสบริสุทธิ์และใครที่เป็น กราบทูลพระนิพพาน คุณยายกราบทูลพระนิพพานใครที่เค้าสร้างธรรมกายเจดีย์ก็ดี สร้างพระธรรมกายประจำตัวก็ดี ให้เค้าได้ผลบุญอันเลิศ ให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ให้มีสมบัติติดตัวไปเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้อยู่ในแวดวงของธรรมกายนะ ให้มีความสุขมาก ๆ ให้ได้บุญพิเศษเป็นอัศจรรย์เลย จะทำอะไรก็ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ นี่กราบทูลท่านไปเรื่อย ๆ เลย ใครที่เป็นเจ้าของบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัวแล้วให้รีบตามกันมา ให้โกลาหลกันยกใหญ่เลย ตามมาให้หมด เป็นบุญพิเศษ เป็นอัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างนั้นเลยน่ะ นี่ให้ทับทวีเข้าไปเรื่อย ๆ พวกเราก็อธิษฐานจิตกันให้ดีนะจ๊ะ อธิษฐานให้เรามีสมบัติมาก ๆ จะได้มาช่วยกันสร้างธรรมกายเจดีย์ให้สำเร็จ จะได้เป็นเจ้าของพระธรรมกายประจำตัว แล้วก็ให้มีพลังบุญพลังบารมีจะไปชักชวนใครมาเป็นเจ้าของพระธรรมกายประจำตัว ประดิษฐานที่ธรรมกายเจดีย์ ก็ให้สำเร็จ ให้เค้าปิติเลื่อมใส มีความสุขกันทุก ๆ คนเลย ให้สำเร็จทุกคน ให้ได้รับการต้อนรับในทุกสถานที่ อธิษฐานจิตกันให้ดีทุกๆ คนนะจ๊ะ 


 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0013801336288452 Mins