มุสาวาที อเวจีถามหา

วันที่ 21 มค. พ.ศ.2559

มุสาวาที อเวจีถามหา

         สาเหตุที่ตรัสชาดก ภิกษุสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า พระเทวทัตทำมุสาวาทถูกแผ่นดินสูบ มีอเวจีเป็นที่ไป พระทศพลเสด็จมาทรงทราบเรื่องสนทนาแล้วตรัสว่า แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน ทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังนี้..

 

         ครั้งปฐมกัป ยามโลกเกิดขึ้นใหม่ๆ มีกษัตริย์นามว่าอุปจิรราช กษัตริย์พระองค์นี้มีอานุภาพพิเศษคือ พระองค์จะมีจตุรเทพ 4 ตนคอยถือพระขรรค์อารักขาอยู่ 4 ทิศ และมีกลิ่นจันทน์หอมฟุ้งออกจากพระวรกาย นอกจากนั้นพระโอษฐ์ของพระองค์ยังมีกลิ่นอุบลออกมาอยู่ตลอดเวลาอีกด้วยปุโรหิตแห่งพระนครนี้มีนามว่ากปิละ ดำรงตำแหน่งตั้งแต่สมัยพระราชบิดายังทรงเป็นกษัตริย์อยู่ ซึ่งสมัยนั้นองค์รัชทายาทอุปจิระได้คบหากับน้องชายของปุโรหิตท่านนี้ซึ่งมีชื่อว่าโกรกลัมพกะ ตอนนั้นพระองค์อยู่วัยไล่เลี่ยกัน เป็นสหายสนิทสนมกันมากถึงกับเคยออกปากว่า เมื่อตนครองราชย์แล้วจะยกตำแหน่งปุโรหิตให้แทนพี่ชาย

 

         สมาบัดนี้ กปิลปุโรหิตแก่เฒ่าแล้ว ได้มาเข้าเฝ้าพระเจ้าอุปจิราชทูลขอลาออกจากราชการเพื่อขอลาไปบวช เนื่องเพราะรู้สึกอึดอัดใจที่พระราชาหนุ่มแสดงความยำเกรงตนมากเกินไป โดยเห็นว่าเป็นคนสนิทของพระราชบิดา จึงอยากให้คนรุ่นใหม่วัยใกล้เคียงกับพระราชาได้ขึ้นมาแทนหวังให้พระราชา ทรงปรึกษากันได้อย่างสบายพระทัย พระเจ้าอุปจิราชทรงยินดีให้ออกราชการได้ เพื่อที่พระองค์จะได้ตั้งพระสหายขึ้นแทนเสียเลย แต่กลับผิดคาดเพราะท่านปุโรหิตกราบทูลต่อว่า..

"ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ! ข้าพระองค์เป็นคนแก่ ที่บ้านมีบุตรอยู่คนหนึ่ง ขอพระองค์จงตั้งบุตรของข้าพระองค์ให้ดำรงตำแหน่งปุโรหิตต่อเถิด พระเจ้าข้า ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตด้วยเถิด"

 

           พระราชาทรงเกรงพระทัยท่านปุโรหิตเฒ่ามาก มิกล้าปฏิเสธ จึงตรัสตอบตกลง หลังจากนั้นท่านกปิละก็บรรพชาเป็นกปิลฤาษี เข้าป่ายังฌานและอภิญญาให้เกิดได้แล้ว พำนักอยู่ในพระราชอุทยานนั้นเอง..

           ฝ่ายโกรกลัมพกะได้ผูกอาฆาตพี่ชายว่า แม้บวชแล้วยังกักตำแหน่งไว้ไม่ให้ฐานันดรแก่ตนบ้างเลย แต่ก็ทำอะไรมิได้ ได้แต่ระบายความในใจให้พระราชาผู้สหายฟังเท่านั้น

"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน! เราจะประกาศท่านให้เป็นพี่ชาย แล้วประกาศพี่ชายของท่านให้เป็นน้องชายซะเลยดีไหม" พระราชาตรัสกับพระสหาย

โกรกลัมพกะจอมเจ้าเล่ห์กล่าวตอบว่า..
"พระองค์ไม่ทรงทราบดอก พี่ชายของข้าพเจ้ามีวิชาน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เขาจะแกล้งทำเป็นเหมือนให้เทพบุตรทั้ง 4 องค์ที่อารักขาพระองค์อยู่หายไป แกล้งทำกลิ่นหอมจากพระวรกายและพระโอษฐ์ของพระองค์ให้เป็นกลิ่นเหม็นได้ กระทั่งยังสามารถทำให้พระองค์พลัดตกจากอากาศมายืนอยู่บนพื้นดินได้ด้วย จนพระองค์ก็จะเหมือนถูกแผ่นดินสูบ ถึงตอนนั้นเกรงว่าพระองค์จะไม่อาจดำรงพระวาจาอยู่ได้นะสิ พระเจ้าข้า"

 

    โกรกลัมพกะกล่าวราวกะรู้ว่าถ้าพระราชาตรัสมุสาวาทแล้วเทวดาจะหายไป กลิ่นกายและกลิ่นปากจะเหม็นตลบ และพระองค์จะถูกแผ่นดินสูบ จึงกล่าวดักคอไว้ก่อนเพื่อให้พระราชาเห็นว่าเป็นเพราะฤทธิ์ฤาษีทำมิใช่เพราะกรรมบันดาล..

    น่าแปลกที่โกรกลัมพกะทราบดีว่ากรรมชั่วย่อมให้ผลวิบากอันเผ็ดร้อนแต่ก็ยังคิดร่วมมือกับพระราชาทำชั่ว หรือลาภสักการะมีอานุภาพถึงขนาดทำให้คนสิ้นหิริโอตตัปปะ ถูกครอบงำจนหน้ามืดใจบอดได้ถึงเพียงนี้!

"ท่านอย่าได้เข้าใจอย่างนั้น! เราสามารถทำตามที่ตรัสได้แน่ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ!"พระราชาตรัสยืนยันกับพระสหาย
"ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ! แล้วพระองค์จะทรงทำเมื่อไร" โกรกลัมพกะทูลถาม
"อีก 7 วันหลังจากนี้ แน่นอน!" พระราชาตรัสตอบ

 

       ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วพระนครทันที มหาชนหวาดผวาไปทั่วทั้งเมือง เพราะกลัวคำว่ามุสาวาทยิ่งนัก ต่างสอบถามกันและกันไปทั่วว่า มุสาวาทมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันหนอ มีสีเขียว หรือสีเหลืองสีอะไรกันแน่ กล่าวกันว่า โลกในยุคนั้น ผู้คนพูดแต่ความสัตย์จริงเป็นอย่างเดียว ไม่มีใครทำมุสาวาทเป็นกันเลย

 

ฤาษีได้รับแจ้งข่าวจากบุตรว่า..
"พระราชาจะทำมุสาวาท โดยทำพ่อให้เป็นเด็ก แล้วพระราชทานฐานันดรของฉันให้แก่อา!พระราชาจะทำในวันที่ 7 หลังจากนี้"

          วันที่ 7 มาถึงแล้ว! มหาชนทั้งเมืองเนืองแน่นพากันมารุมล้อมรอบพระลานหลวง ต่างส่งเสียงเซ็งแซ่กันว่าจะมาดูมุสาวาทๆ หลายบ้านเอาเตียงมาผูกซ้อนๆ กันยืนดูบนเตียง ฤาษีเหาะมานั่งอยู่บนอากาศต่อหน้าพระพักตร์พระราชา ทูลว่า

"ช้าก่อน!มหาบพิตร ชื่อว่ามุสาวาทนั้นเป็นบาปหนักหนา คอยกำจัดคุณความดี ทำให้เกิดในอบายทั้ง4 เมื่อทรงทำมุสาวาทชื่อว่าทำลายธรรม ครั้นทำลายธรรมเสียแล้วก็ชื่อว่าทำลายตนนั่นเอง

 

        มหาบพิตร! ถ้าพระองค์ทรงทำมุสาวาทแล้วไซร้ ฤทธิ์ทั้ง4 ของพระองค์จะอันตรธานไปเทวดาทั้งหลายจะพากันหนีไปเสีย ทั้งพระโอษฐ์ก็จะมีกลิ่นบูดเน่าเหม็นฟุ้ง ผู้ใดถูกถามปัญหาแล้ว แกล้งตอบปัญหานั้นไปเสียอย่างอื่น ผู้นั้นย่อมพลัดพรากจากฐานันดรแล้วถูกแผ่นดินสูบ"

         พระเจ้าอุปจิรราชสดับโอวาทแล้วมีพระหทัยกลัวเป็นกำลังคิดจะกลับพระทัย หันมาทอดพระเนตรดูพระสหายโกรกลัมพกะ โกรกลัมพกะก็รู้ท่าทีนั้น รีบทูลทัดทานว่า..
"ข้าแต่มหาราช! อย่าทรงกลัวเลย พระองค์จำเรื่องที่ข้าพระองค์กราบทูลนั้นได้ไหม พระเจ้าข้า"


        พระราชาสดับคำโกรกลัมพกะแล้วทรงลังเลพระทัย และเกิดมานะขึ้นว่ากษัตริย์ตรัสแล้วต้องไม่คืนคำ พระองค์มาคิดรักษาคำพูดเอาตอนนี้ ช่างน่าขันแท้! พระราชาจะรักษาคำสัตย์ด้วยคำลวงไม่รักษาคำที่ควรรักษากับไพร่ ไปรักษาคำที่ไม่ควรรักษา รักษาคำโป้ปด!พระราชาทอดพระเนตรไปทางฤาษี ตรัสขึ้นว่า..

"ท่านเป็นน้องชายโกรกลัมพกะ! โกรกลัมพกะเป็นพี่ชายของท่าน!"วาจาเปล่งไปแล้วยากจะริบกลับคืน ทันใดนั้น เทพบุตรทั้ง 4 เปล่งเสียงก้องฟ้าว่า..
"โอ้! พวกเราจะไม่อารักขาคนมุสาวาทเช่นท่านอีกต่อไปแล้ว"

 

        4 เทพบุตรทิ้งพระขรรค์แล้วอันตรธานหายวับไปทันที ฤทธานุภาพที่เคยมีสืบทอดมาแต่บรรพชนของวงศ์กษัตริย์ก็ถึงกาลหายไป นับแต่บัดนั้น พระโอษฐ์กลับมีกลิ่นเหม็นเหมือนฟองไข่เน่าแตกกระจาย กระทั่งพระวรกายก็กลิ่นคล้าย ส้วมระเบิดฟุ้งตลบไปทั่วทั้งเมือง พระราชาตกจากบัลลังก์ ร่วงลงสู่พื้น ฤาษีกล่าวเตือนว่า..

"ขอพระองค์อย่าได้ทรงกลัวเลย! ถ้าพระองค์ตรัสสัจจวาจาไซร้สิ่งทั้งปวงก็จะกลับเป็นปกติได้อยู่"


          พระราชาไม่ทรงสนพระทัย ทรงยึดมั่นในคำสัญญาของตนต่อไป จึงกระทำการมุสาต่อ เป็นครั้งที่ 2 ว่า..

"จงรู้ไว้ว่า ท่านเป็นน้องชายโกรกลัมพกะ!ส่วนโกรกลัมพกะนั้นเป็นพี่ชายของท่าน!"แผ่นดินได้สูบพระราชาลงถึงข้อพระบาทแล้วหยุดลง ฤาษีทูลเตือนต่อว่า..

    "พระราชาพระองค์ใดทรงทราบอยู่แล้วแต่แกล้งตรัสไปเสียอย่างอื่น แว่นแคว้นของพระราชานั้น ฝนย่อมไม่ตกต้องตามฤดูกาล มหาบพิตร! พระองค์ถูกแผ่นดินสูบไปถึงพระชงฆ์แล้วขอพระองค์จงทรงตัดสินพระทัยใหม่เถิด"

"ท่านเป็นน้องชายโกรกลัมพกะ! โกรกลัมพกะเป็นพี่ชายท่าน!" พระราชายังตรัสต่อ เป็นครั้งที่ 3


    พริบตานั้น แผ่นดินสูบพระราชาลงไปถึงพระชานุแล้วหยุดลง ฤาษีทูลเตือนต่อว่า..
"พระราชาพระองค์ใดทรงทราบความจริงอยู่ แต่แกล้งตรัสไปเป็นอย่างอื่น พระชิวหาของพระราชานั้นจะแตกเป็นสองแฉกเหมือนลิ้นงู"

"ท่านนั่นแหละ! เป็นน้องชายของโกรกลัมพกะส่วนโกรกลัมพกะนี้เป็นพี่ชายท่าน!" พระราชาตรัสมุสาวาท เป็นครั้งที่ 4

 

แผ่นดินได้สูบลงไปถึงบั้นพระองค์ ฤาษีทูลเตือนอีกว่า
"พระราชาพระองค์ใดทรงทราบอยู่ แล้วแกล้งตรัสไปเสียอย่างอื่น พระชิวหาของพระราชานั้นจะไม่มีเหมือนปลา"

           พระราชาตัดสินพระทัยทำมุสาวาทต่อเป็นครั้งที่ 5..6..7 เวลานั้นฟ้าได้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแผ่นดินพลิกผันแยกออก เปลวไฟพวยพุ่งร้อนแรงจากอเวจีขึ้นไหม้พระราชาทันที มหาชนพากันตกใจกลัวสุดขีด อุทานออกมาดังลั่นท้องพระลานหลวงว่า..

"คนพูดมุสาวาทตกนรกอเวจีแล้วๆ"


            เมื่อเหตุการณ์สงบลง พระราชโอรสทั้งหลายก็กระจายกันไปสร้างเมืองใหม่ ทิ้งเมืองนี้ให้เป็นเมืองร้าง ตั้งเป็นอนุสรณ์แห่งอเวจีสืบไป..

 

ประชุมชาดก
            พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าอุปจิรราชในครั้งนั้นมาเป็นพระเทวทัตส่วนกปิลดาบ มาเป็นตถาคตแล

          จากชาดกเรื่องนี้ น้องชายปุโรหิต นอกจากไม่จริงใจต่อพี่ชายแล้ว ยังมุ่งทำลายสหายผู้เป็นพระราชาอีกด้วย หวังเพียงประโยชน์ตนจนไม่เคยเป็นมิตรกับใครอย่างจริงใจ คนเช่นนี้ไม่มีประโยชน์เลยที่จะแสดงไมตรีคบหา มีแต่จะนำความฉิบหายมาสู่ตน ดังเช่นพระราชาผู้หลงสหายชั่วแม้ยามคิดจะกลับตัวกลับใจ ก็ยังถูกลวงให้พูดโกหกอีกจนต้องไปอเวจี เสียแรงที่มอบความไว้ใจให้


"นิสัยรักคำสัตย์, ไม่ทำความจริงให้คลาดเคลื่อน, หวังดีต่อมิตร, ไม่คิดคด และไม่
ชอบข้องแวะบาปมิตร" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในสัจจบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย


 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0012486974398295 Mins