พระพุทธองค์ทรงเปล่งวาจาอันเป็นสิริมงคล

วันที่ 05 พค. พ.ศ.2559

พุทธพจน์เตือนใจ วันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๖ ตรงกับวันวิสาขบูชา

 

พุทธพจน์เตือนใจ

 
        “เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่  เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมดับหายไป เพราะมารู้ชัดธรรมพร้อมทั้งเหตุ”
 
        พระพุทธองค์ทรงเปล่งวาจาอันเป็นสิริมงคลนี้ ในวันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๖ ตรงกับวันวิสาขบูชา ครั้งที่นั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งในปฐมยามพระองค์ได้เข้าถึงพระธรรมกายโสดาบัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถอดกายออกเป็นชั้นๆ  เมื่อเข้าถึงแล้วก็เกิดปีติปราโมทย์ใจ ถึงกับเปล่งอุทานออกมา ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นคือธรรมกายนั่นเอง รู้เห็นธรรมต่างๆ ได้ด้วยธรรมจักษุ วิชชาคือปุพเพนิวาสานุสสติญาณก็เกิดขึ้น เห็นชาติหนหลังได้ด้วยธรรมกายโสดาบัน ระลึกย้อนไปดูตามลำดับตั้งแต่เมื่อวานนี้ว่า เราอยู่ที่ไหน นึกคิดอย่างไร ไล่เรื่อยไปเลย กระทั่งก่อนมาเกิดถอยไปทีละชาติสองชาติ เห็นเรื่องราวไปตามลำดับ เห็นทะลุปรุโปร่งไปหมด
 
        ครั้นมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ เห็นการจุติและการเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย รู้ถึงเหตุถึงผลของการเวียนว่ายตายเกิด  เมื่อรู้แล้วเห็นแล้ว พระองค์ก็เปล่งอุทานขึ้นมาว่า “เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่  เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้ความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย”
 
        ยามที่สาม พระองค์ได้เข้าถึงกายธรรมอรหัต เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะบรรลุอาสวักขยญาณ ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ที่ได้ทรงกำหนดรู้แล้วทั้งอนุโลมและปฏิโลม กลับไปกลับมา เห็นความสุขุมลุ่มลึกของความรู้อันบริสุทธิ์ที่พระองค์ได้เข้าถึง เกิดความปีติปราโมทย์ขึ้นมา พร้อมกับทรงเปล่งอุทานว่า “เมื่อใดธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่  เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยกำจัดความมืดให้สว่าง ฉะนั้น”

 

     "จากส่วนหนึ่ง ของรายการธรรมะเพื่อประชาชน โดย พระเทพญาณมหามุนี"

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010154843330383 Mins