เรื่องทำด้วยใจให้ด้วยรัก

วันที่ 12 สค. พ.ศ.2562

เรื่องทำด้วยใจให้ด้วยรัก

                 เมื่อข้าพเจ้าอายุราวๆ ๗ - ๘ ขวบ มีเพื่อนเล่นวัยเดียวกันอยู่ข้างๆ บ้าน ๕-๖ คน ในฤดูมะม่วงแก่ เราชอบนัดกันตอนเช้ามืดพอมองเห็นพื้นดินลางๆ ออกไปเที่ยวเก็บลูกมะม่วงที่หล่นอยู่โคนต้น สมัยนั้นมี
ต้นมะม่วงใหญ่อายุเกิน ๕๐ ปี อยู่ ๗-๘ ต้น เป็นมะม่วงอกร่อง มะม่วงแก้ว มะม่วงหนังกลางวัน และมะม่วงน้ำตาลทราย แต่ละต้นสูงใหญ่ ชนิดใช้ไม้ สอยไม่ถึง เวลาเจ้าของจะ สอยต้องจ้างคนปีนขึ้นไป สอยบนต้น
และเขามักจะรอให้แก่จัดทั่วกันจึงจะ สอย


               ตอนที่เริ่มแก่นั่นแหละ คืนหนึ่งๆ จะมีลูกสุกที่เรียกกันว่าสุกปากตะกร้อ หล่นกันต้นละนับสิบลูก ที่หล่นมากเฉพาะกลางคืนเพราะมีค้างคาวตัวใหญ่ๆ ที่เรียกว่าค้างคาวแม่ไก่บ้าง ค้างคาวธรรมดาบ้างมาจิกกิน
แต่เนื่องจากมะม่วงสุกแล้ว พอถูกแรงปีกค้างคาวโฉบชนเท่านั้นก็หล่นทันที


               นอกจากลูกใดที่ค้างคาอยู่ตรงง่ามกิ่ง ค้างคาวก็จะกินแหว่งไปเกือบครึ่งลูก เวลามันจะโผบินขึ้น ขาของมันจะปัดโดนมะม่วงให้หล่นลงดิน 

              ข้าพเจ้าจะตื่นแต่เช้ามืด วิ่งรวมกันไปกับเพื่อนๆ แย่งกันเก็บมะม่วงอย่างสนุกสนาน ฤดูนี้เราเก็บมะม่วงกันอยู่นานเกือบถึงเดือนทีเดียวเพราะมีมะม่วงต้นใหญ่ครึ้มสูงลิ่ว ไม่มีใครยอมรับจ้างขึ้นอยู่ ๓-๔ ต้น

ซึ่งจะมีมะม่วงหล่นอยู่นานกว่าต้นอื่นๆ


              เวลานั้นข้าพเจ้าเป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่ ท่านทั้งสองมีอาชีพเป็นครูประชาบาลประจำโรงเรียนในหมู่บ้าน พ่อเป็นครูใหญ่ แม่เป็นครูน้อย เรียกว่าฐานะดีพอสมควร ทั้งต้นมะม่วงในบ้านของตนเองก็มีอยู่ ไม่จำเป็นต้องอาศัยกินมะม่วงหล่นเหมือนพวกเพื่อนๆ ซึ่งไม่มีต้นของตนเอง ดังนั้นตอนเช้ามืด พ่อกับแม่จึงมักไม่ปลุกข้าพเจ้า ปล่อยให้นอน ตามสบาย ข้าพเจ้าต้องตื่นขึ้นเองทุกเช้า ตรงข้ามกับพวกเพื่อนๆ ที่พ่อแม่ของพวกเขาจะคอยปลุก


             วันนั้น ที่ใต้ต้นมะม่วงต้นที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุด "โอ้โฮ พวกเรามาดูนี่ซี เป็นยังงี้ทุกวันเลย ดูหนูหวินซี ได้มะม่วงลูก สวยๆ อีกแล้ว ตั้งหลายลูกแน่ะ ไหนๆ เก็บจากตรงไหน" ต่างคนต่างมารุมล้อมถามข้าพเจ้าเซ็งแซ่ เพราะพวกเขาจะตื่นก่อนและพากันมาเก็บล่วงหน้าจนหมดไปแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายกันไปต้นอื่น และตอนที่ข้าพเจ้าเก็บมะม่วงได้นั้น ก็ไม่มีลูกใหม่ หล่นลงมาแต่อย่างใด ที่พวกเขาแปลกใจกันอยู่แทบทุกวันคือ ข้าพเจ้าเก็บมะม่วงลูกงามๆ ได้หลายลูกเสมอ จากพื้นดินตรงที่พวกเขาหากันแล้วอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่หาคนเดียว หาซ้ำกันหลายคน น่าแปลกตรงที่ไม่มีใครมองเห็น บางทีเพื่อนถึงกับถามว่า


"นี่เธอ ตอนที่เก็บมะม่วงพวกนี้ได้น่ะ มันมีอะไรปิดอยู่รึเปล่า"
"เปล่า นี่ไง นี่ไง มันวางอยู่ยังงี้"
แล้วข้าพเจ้าก็วางมะม่วงให้พวกเขาดูใหม่ เหมือนตอนที่เก็บได้  แรกๆ เพื่อนๆ ก็ไม่นึกอะไร คิดว่าเป็นเพราะพวกเขาตาไม่ดี มองไม่เห็นมะม่วงเอง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ซ้ำบ่อยมากเข้า มีคนหนึ่งซึ่งมีอายุมากกว่าเพื่อน และเป็นคนที่มักเสียใจทุกครั้งเสมอเวลาเห็นข้าพเจ้ามาทีหลัง แต่เก็บมะม่วงได้ลูกดีๆ เขาอยากได้บ้าง เขายืนยันกับเพื่อนๆ ว่าเขาเดินหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่น่ามองไม่เห็นเลยไม่น่าจะหลงหูหลงตาไปได้


"นี่พวกเรา เรื่องที่หนูหวินชอบเก็บมะม่วงได้ลูกดีๆ และได้มากกว่าพวกเรานี่ ข้าว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาซะแล้ว แน่ๆ เลย ต้องมีผีแอบเก็บให้แน่ๆ ผีต้องเอาอะไรปิดลูกมะม่วงไม่ให้พวกเรามองเห็น เราทุกคนเห็นด้วยมั้ย"


เมื่อพวกเขานึกเหตุผลอะไรไม่ออกเลยโยนความผิดไปให้ผี ข้าพเจ้าฟังแล้วไม่นึกเชื่อแต่อย่างไร แต่ก็ไม่เถียง ใจข้าพเจ้าคิดว่า
"ผีเผอที่ไหนกัน เจ้าพวกนี้มันงัวเงียขี้ตา เพิ่งตื่นนอนใหม่ๆ แล้ว ก็วิ่งหน้าตั้งมา กลัวคนอื่นเค้าจะเห็นก่อน เลยมองดูลวกๆ ก็ไม่เห็นล่ะซี แต่อยากเชื่อกันว่าผีเก็บไว้ให้เราก็ดีเหมือนกัน มันจะได้เลิกมองเราอย่างอิจฉาเสียที"


เพื่อนๆ ไม่เรียกข้าพเจ้าว่า อี เหมือนที่เขาเรียกกันเอง เพราะข้าพเจ้าเป็นเด็กพิเศษ คือเป็นลูกของครูประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านรักและนับถือพ่อแม่ของข้าพเจ้า จึงเรียกข้าพเจ้าว่า หนูหวิน เด็กๆ ทุกคนในหมู่บ้าน คิดกันว่า คำนี้คือชื่อของข้าพเจ้า จึงเรียกตามอย่างผู้ใหญ่ และไม่มีใครกล้าใช้คำว่า "อี" นำหน้าชื่อ เพราะพวกพ่อแม่ของเขาสั่งห้ามไว้


ปัจจุบันข้าพเจ้ามีอายุ ๕๐ ปีเศษแล้ว ถ้ากลับไปเยี่ยมบ้านเดิมพวกเพื่อนก็ยังเรียกเหมือนเดิมส่วนลูกหลานของพวกเขาจะเรียกข้าพเจ้าต่างกันๆ ออกไป เช่น ป้าหนูหวิน พี่หนูหวิน อาหนูหวิน กระทั่งยายหนูหวิน
มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าตื่นสายกว่าปกติ เพราะเมื่อตอนกลางคืนนั่งฟังละครวิทยุจนดึก สมัยนั้นทั้งตำบลมีบ้านข้าพเจ้าบ้านเดียวที่มีสตางค์ซื้อวิทยุฟัง เป็นวิทยุใช้ถ่านไฟฉายถึง ๖๐ ก้อน ที่ต้องฟังละคร เพราะมีหน้าที่ต้องจำเนื้อเรื่องไปเล่าให้เพื่อนๆ ที่โรงเรียนฟังในตอนเช้าก่อนโรงเรียนเข้า พอรู้สึกตัวตื่นก็เป็นเวลา สว่างจ้าเสียแล้ว จึงเดินหงอยๆไปที่ใต้ต้นมะม่วง เพื่อนฝูงไม่มีใครเหลืออยู่อีกเลย มองหาไปที่ใดก็ไม่มีมะม่วงหล่นสักลูกเดียว 

ข้าพเจ้ารู้สึกใจเหี่ยว นึกโทษตัวเองที่นอนไม่ระวังคิดในใจว่าเราจะกลับบ้านโดยไม่มีลูกมะม่วงเลยไม่ได้ ได้ติดมือกลับบ้านสักลูกก็ยังดี ใจก็หวนไปถึงคำของเพื่อนที่พูดกันว่า มีผีคอยแอบเก็บมะม่วงไว้ให้ข้าพเจ้า


วันนี้สายไปหน่อยนะ ผีที่ไหนก็เก็บไว้ให้ไม่ไหวแล้ว ผีก็ต้องกลัวแสงสว่าง.. ข้าพเจ้าคิด ความอยากได้มะม่วงสักลูกทำให้คิดถึงผี จึงคิดทดลองดู
"มีผีจริงรึเปล่าน๊า?.." คิดแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินไปหากะลามะพร้าวมา ๔-๕ ใบ วางเรียงกัน หาไม้มา ๒ อัน เงยหน้าขึ้นมองไปบนต้นมะม่วงพร้อมกับพูดเสียงดังๆ ว่า
"มีใครอยู่บนต้นมะม่วงรึเปล่า ถ้ามี ฟังนะ หนูจะตีพิณพาทย์แล้วก็ร้องลิเกให้ฟัง แล้วขอมะม่วงกินสัก ๒ ลูกจ้ะ"
ว่าแล้วข้าพเจ้าก็ตีกะลาเสียงดังโป๊กเป๊กไปตามเรื่อง พร้อมกับร้องลิเกตามอย่างที่เคยฟังมาจากงานวัด ข้าพเจ้าไม่กล้าเรียกคำว่า "ผี"ออกไป จึงเรียกคำว่า "ใคร" แทน เพราะอยู่คนเดียว รู้สึกหวาดๆ บ้างเหมือนกัน

ส่งเสียงร้องได้ ๒-๓ คำ ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนหักกิ่งมะม่วงบนต้นดังเพี๊ยะ และมีเสียงดังแกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก ลูกมะม่วงหล่นผ่านใบตามกิ่งต่างๆ หล่นตุ้บลงมาตรงหน้าข้าพเจ้า สองลูก เป็นมะม่วงดิบพวงเดียวกัน ติดลงมาทั้งลูก ทั้งใบ ทั้งก้าน เฉพาะที่ก้านมีรอยฉีก เหมือนรอยคนหักออกจากกิ่ง ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นมองดู ไม่มีใครอยู่บนต้น


ก้มมองลูกมะม่วงที่อยู่แทบเท้า เป็นมะม่วงดิบแก่จัด แต่ก็ยังไม่สุก ขั้วยังเหนียว หล่นลงมาจากที่สูง แต่ลูกไม่แตก ไม่หลุดจากก้าน จะว่าหล่นเพราะลมพัด ลมก็ไม่มีเลย นิ่งเงียบ สนิท จะว่าพวงมะม่วงหนักมากทำให้
กิ่งหัก มะม่วงพวงนี้ก็มีแค่ ๒ ลูก ก้านก็ใหญ่ไม่มีรอยว่ามีตัวหนอนกินหรือรอยชำรุดใดๆ เป็นลักษณะถูกเด็ดออกมาจากกิ่งแท้ๆ ใคร่ครวญเหตุผลหลายอย่างแล้ว ข้าพเจ้าก็ฉุกใจ


"รึว่าผีให้มะม่วงตามที่เราขอจริงๆ" พอคิดได้แค่นี้ รู้สึกตัวเย็นวาบ ก้มลงคว้าลูกมะม่วงได้ก็วิ่งกลับบ้านแน่บทีเดียว ตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าไม่ยอมไปเก็บมะม่วงที่ต้นนั้นอีกนาน ภายหลังได้ฟังผู้ใหญ่คุยกันถึงเรื่องในสมัยก่อนตั้งแต่ครั้งข้าพเจ้ายังไม่เกิด จึงทราบว่ามะม่วงต้นนั้นขึ้นอยู่ตรงทางผีผ่าน คือ สมัยยังไม่มีการจับจองที่ดิน ตรงนั้นเป็นทางสาธารณะ ใครเดินทางไปวัดจะต้องผ่านมะม่วงต้นนี้ และมักจะแวะพักเหนื่อย เพราะต้นมะม่วงใหญ่มีร่มเงา ครึ้ม ทีนี้ถ้าบ้านใครมีคนตายต้องหามศพไปวัด ก็จะต้องแวะพักวางโลงศพ ที่นี่เหมือนกัน


นอกจากนั้น ยังได้ยินคำบอกเล่าว่า ใกล้ๆ ต้นมะม่วงใหญ่นั่นน่ะ มีคนโดนแทงมาจากหมู่บ้านอื่น มาล้มนอนตายอยู่ ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึก เชื่อว่าเป็นไปได้ที่จะมีผีอยู่ที่ต้นมะม่วงนั่น 

ทีนี้เรื่องที่พูดค้างอยู่ตรงที่ว่า วันนั้นที่ตื่นสายไปเก็บมะม่วงไม่ได้ เลยรู้สึกใจเหี่ยวนั้น เหตุผลของข้าพเจ้าก็คือ แต่ละวันที่ข้าพเจ้าเก็บมะม่วงได้ ข้าพเจ้าจะนำไปให้แม่ ไม่ได้เอาไปกินเองสักวันเดียว ไม่ใช่ข้าพเจ้า ไม่ชอบกินหรือไม่อยากกิน แต่มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าให้มะม่วงที่เก็บได้แก่แม่ ท่านพูดว่า

"แม่ชอบกินนะลูก ไอ้มะม่วงปากตะกร้อเนี่ย มันหวานอมเปรี้ยว แล้วก็มีรสมันๆ ปนอยู่ด้วย อร่อยดี กลิ่นก็หอมส่วนมะม่วงสุกเพราะบ่ม มักจะหวานแหลมเพียงรสเดียว" ฟังแม่พูดแล้วข้าพเจ้าจำได้แม่น จึงได้พยายามตื่นนอนแต่เช้ามืด ไปวิ่งเก็บมะม่วงกับเพื่อนให้ท่านได้กินทุกวัน ทุกก้าวที่วิ่งไปหาใจก็นึกถึงแต่จะให้แม่ อาจจะเป็นกุศลจิตอันนี้เองก็ได้ ผีจึงได้เอ็นดูความรู้สึกในวัยเด็ก


เวลานั้น เวลาใดก็ตามที่ข้าพเจ้าเข้าไปในดงไม้หลังบ้าน ได้ผลไม้ลูกงามๆเป็นพิเศษอะไรมา ไม่ว่ามะม่วง ฝรั่ง ชมพู่ ละมุด พุทรา ข้าพเจ้าจะเก็บลูกที่งามน่ากินที่สุดไว้ ตนเองกินแต่ลูกที่ไม่ดี อ่อนบ้าง มีรอยถูกสัตว์กัด
กินไปแล้วบ้าง ลูกที่ดีๆ นั้นข้าพเจ้านำไปให้แม่


แม่ไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่ข้าพเจ้าเก็บมาให้ รอยยิ้มน้อยๆ ในใบหน้าของแม่เมื่อท่านเอื้อมมือรับนั้น ข้าพเจ้ามองแล้วรู้สึกเป็นสุขใจจริงๆ ไม่แต่เท่านั้น เมื่อท่านรับแล้วท่านจะไม่วางทิ้งไว้ ท่านจะรีบไปหยิบมีดมาค่อยๆ ปอกอย่างบรรจง แล้วรับประทานให้ข้าพเจ้าดูทุกครั้ง เวลาที่ท่านกำลังเคี้ยวอยู่นั้น ข้าพเจ้าจะมองดูด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ มีความปีติยินดียิ่งนัก บางทีกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจไปด้วย ถ้าแม่ถามข้าพเจ้าว่าจะกินด้วยหรือไม่ หรือยื่นชิ้นที่ปอกแล้วให้ ข้าพเจ้าก็จะปฏิเสธ


อ้างว่ากินมาแล้ว แม่คงไม่รู้ว่า การที่ได้เห็นแม่กินของเหล่านั้นด้วยความเอร็ดอร่อย ช่างเป็นความสุขใจอันล้นเหลือของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าชอบให้อะไรๆ แก่แม่มาตั้งแต่เล็ก ก็ด้วยสาเหตุที่เมื่อตอนมีอายุพอรู้ความ แม่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ท่านแพ้ท้องในการตั้งครรภ์ข้าพเจ้า เป็นอาการแพ้ที่รุนแรงเกินกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ คือแพ้ตั้งแต่วันตั้งครรภ์จนกระทั่งถึงวันคลอดทีเดียว อาหารการกินอะไรก็กินไม่ได้ กินได้เพียงอย่างเดียว คือลิ้นจี่กระป๋อง กับน้ำที่ต้องให้พ่อเอาวัวเทียมเกวียน เดินทางไปในป่าถึง ๔ วัน ๔ คืน จนถึงบึงใหญ่ในป่าลึก แล้วตักน้ำใส่โอ่งบรรทุกเกวียนกลับมาให้แม่ดื่ม จึงพอค่อยทุเลาอาการแพ้ท้องลงบ้าง น้ำที่อื่นดื่มเข้าไปเป็นต้องอาเจียน เวลาคลอดก็คลอดยาก แม่เจ็บท้องเป็นเวลานานถึง ๓ วัน ๓ คืน ต้องนิมนต์พระภิกษุในวัดประจำหมู่บ้าน ทั้งวัดมาสวดมนต์จึงคลอดออกมาได้ 

คลอดออกมาแล้วแม่ก็ต้องตาบอดอยู่นานเป็นแรมเดือนเพราะเป็นโรคขาดอาหาร พอข้าพเจ้ามีฟันน้ำนมงอก
ขึ้นมาก็กัดหัวนมแม่เกือบขาด  แม้จะมีอายุน้อยเพียง ๓-๔ ขวบ ฟังคำบอกเล่าของแม่แล้ว  ข้าพเจ้าก็เสียใจ ได้คิดมาตั้งแต่ตอนนั้นทีเดียวว่า จะต้องรักพ่อแม่ให้มากที่สุด เมื่อตอนเกิดจำสิ่งใดไม่ได้จึงได้ทำความทุกข์ให้พ่อแม่มาก ดังนั้น แต่ต่อไปจากนี้รู้เรื่องอะไรๆ แล้ว จะไม่ทำทุกข์ยากให้พ่อแม่อีก มีอะไรสิ่งใดก็คิดแต่จะให้ท่านเสมอมา


กระทั่งข้าพเจ้าเติบโตหากินได้ นิสัยอันนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้ามีอาชีพรับราชการ เมื่อถึงวันเงินเดือนออก สมัยโน้นจ่ายใส่ให้ในซองกระดาษ ข้าพเจ้ากลับถึงบ้านจะยกให้แม่ทั้งซอง ให้ท่านหยิบเอาตามความพอใจเสียก่อน ที่เหลือข้าพเจ้าจึงจะมาเฉลี่ยใช้ให้พอเดือน กระทำอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เดือนแรกที่เข้าทำงานจนแม่ตายจากไป (วันตายของท่านซองเงินเดือนของข้าพเจ้า ท่านก็ยังสอดไว้ใต้หมอนยังไม่ได้ใช้ แต่ก็ขอให้ได้เก็บ เพราะทำให้รู้สึกชื่นใจ)


ยิ่งเมื่อข้าพเจ้าหันมาสนใจปฏิบัติตนตามหลักศาสนา ได้พบคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า บิดามารดานั้นเปรียบเสมือนเป็นบูรพาจารย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ของลูก ก็ยิ่งซาบซึ้งใจนัก แรกๆ ได้พยายามทดแทนพระคุณด้วยวัตถุสิ่งของ ท่านต้องการสิ่งใดก็พยายามหาให้จนสุดความสามารถ เช่น เครื่องประดับกายที่ทำด้วยทองด้วยเพชร ไร่นา ฯลฯ ก็เก็บหอมรอมริบซื้อให้ท่าน ต่อมาเมื่อได้
พบคำสอนในศาสนาของเราที่กล่าวว่า


การทดแทนบุญคุณต่อพ่อแม่นั้น แม้จะให้ท่านทั้งสองอยู่บนบ่าของเรา เลี้ยงดูท่านเป็นอย่างดี ให้กินนอนขับถ่ายอะไรๆ โดยไม่ต้องลงจากบ่าเลย ปรนนิบัติอยู่ดังนั้นถึงร้อยปี ก็ยังไม่สามารถทดแทนบุญคุณท่านหมดลงได้ แต่ถ้าทำให้ท่านหายจากมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว จะตอบแทนคุณได้หมด ข้าพเจ้าได้นำคำสอนนี้มาปฏิบัติตามจริงๆ ชีวิต บั้นปลายพ่อและแม่ของข้าพเจ้าเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิที่มีอยู่มาเป็นสัมมาทิฏฐิ 

เรามาทำความรู้จักกับผีกันสักหน่อยเถอะนะ โดยปกติแล้วสิ่งที่เราเรียกกันว่าผีนั้น แท้ที่จริงคือสัตว์อีกภูมิหนึ่ง ซึ่งในภาษาทางธรรมเรียกว่า โอปปาติกะ คือสัตว์ที่เกิดโดยวิธีผุดโตเต็มที่ขึ้นมาในทันทีทันใด คือ ถ้าตายจากชาติเดิมด้วยอายุเท่าใด เวลาเกิดอีกชาติหนึ่งจะมีอายุและตัวโตเท่ากัน ไม่ใช่ต้องมาเริ่มเกิดด้วยขนาดตัวเล็กๆ และค่อยโตขึ้นในภายหลัง เหมือนอย่างการเกิดของมนุษย์หรือเดรัจฉานที่มองเห็นกันอยู่ดังนี้

สัตว์ที่เกิดแบบโอปปาติกะ ได้แก่สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา และพรหม ซึ่งแต่ละประเภทก็ยังแยกพวกออกไปได้อีกหลายๆ อย่าง อย่างไหนก็ตามถ้ามาเกี่ยวข้องกับเรา ทำให้เราไม่สามารถสัมผัสด้วยตาได้
เราชอบเหมาเรียกกันว่า ผี


เฉพาะผีที่ชอบอยู่ตามต้นไม้ในโลกเรานี้มีหลายชนิด เช่น เปรต อสุรกายชั้นดี เทวดาชั้นต้น (ชั้นเลว) ส่วนสัตว์นรก เทวดา และพรหมชั้นสูง จะไม่มายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์  สาเหตุก็คือสัตว์นรกนั้น เขาอยู่ในที่ควบคุมซึ่งห่างไกลจากโลกมนุษย์มาก มีสัตว์อีกพวกหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลลงโทษ ไปไหนไม่ได้ ไม่สามารถออกจากที่คุมขังขึ้นมายุ่งเกี่ยวกับมนุษย

ส่วนเทวดาชั้นสูงและพรหมก็เป็นสัตว์ทิพย์ชนิดพิเศษ สวยงาม ประณีตและสะอาดสะอ้านมากทั้งร่างกายและจิตใจ พวกเขาทนอยู่ใกล้พวกมนุษย์ไม่ได้ มีความรู้สึกว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่ สกปรกและน่ารังเกียจ ในคัมภีร์หลายแห่งกล่าวถึงความรู้สึกของสัตว์ชั้นสูงเหล่านี้ที่มีต่อมนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่เป็นถึงพระเจ้าจักรพรรดิราชซึ่ง สรงน้ำด้วยของหอมนานาชนิดวันละหลายครั้ง ทาตัวอบด้วยกลิ่นหอมอันชื่นใจเท่าที่มีในโลกนี้ ว่าเหมือนความรู้สึกของมนุษย์ที่มีต่อสุนัขเน่าอย่างไร พวกเขาก็รู้สึกอย่างนั้น เขาจะเข้าใกล้ได้เฉพาะผู้มีศีลมีธรรม กลิ่นศีลหอมพอที่จะกลบกลิ่นกายได้


ส่วนเปรตและอสุรกายเล่า แม้ไม่มีผู้ทำหน้าที่ควบคุมลงโทษก็ตาม แต่มีกรรมเป็นตัวควบคุมให้ต้องทุกข์ยากไปตามน้ำหนักของบาปที่ทำไว้ ที่ต้องมีทุกข์ยากมากก็ไม่มีโอกาสเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ไปอยู่ในที่ทุรกันดารต่างๆ เช่น กลางทะเล ในหุบเหวลึก ในทะเลทราย ฯลฯ กรรมทำให้ต้องไปเกิดที่นั่น เปรตและอสุรกายบางชนิดเหล่านี้ ไม่มีที่อยู่เฉพาะของตนเอง ต้องเพ่นพ่านอยู่ในโลกมนุษย์นี้ร่วมกับเรา  พวกที่มีกรรมน้อยหน่อย คือ เมื่อ สมัยมีชีวิตอยู่ไม่ได้ทำกรรมหนักที่ทำให้ไปสู่นรก กรรมพอสมควรกับความเป็นเปรตชั้นดี อย่างเช่นเพียงรู้สึกห่วงใยทรัพย์สินเงินทองลูกหลานส่วนบุญก็ไม่มีมากจนทำให้จิตผูกพันในบุญได้ อย่างนี้ตายแล้วก็เป็นเปรตอสุรกายชนิดดี อยู่ใกล้ๆ หมู่มนุษย์ ทางธรรมเรียกชื่อว่า ปรทัตตูปะชีวะกะเปรต และวินิปาติกะอสุรกาย พวกนี้อาศัยอยู่ตามบ้านเรือน ศาลพระภูมิ ต้นไม้ ถ้ำ จอมปลวก ฯลฯ ได้


อีกประเภทหนึ่งเรียกว่าเทวดาชั้นต้น (หรือชั้นเลว) เช่น ภุมมเทวดา พวกนี้อยู่ตามพื้นดิน ศาลพระภูมิที่มีผู้สร้างให้ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้ไม่ได้กระทำบาปกรรมอะไรไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ส่วนความดีพอทำไว้เล็กๆ น้อยๆ และไม่เคยทำบุญสร้างเสนา สนะที่อยู่อาศัย จึงมักไม่มีที่อยู่ อยู่ตามพื้นดินส่วนพวกที่ทำบุญสร้างเสนา นะไว้บ้าง เช่น สมทบ กับผู้อื่นไปตามธรรมเนียม อาจจะมีที่อยู่อาศัยเป็นบ้านเรือน ที่เราเรียกกันว่าพวกเมืองลับแล สวรรค์ชั้นใหญ่ๆ มีอยู่ ๖ ชั้น ชื่อ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิตา นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี
สำหรับชั้นต้นที่สุดคือจาตุมหาราชิกานั้น มีแยกย่อยไปอีกมากมายหลายชนิด

 

ที่พูดข้างต้นเป็นชั้นต่ำสุดสูงขึ้นกว่านั้นอีกนิดหนึ่ง คือพวกรุกขเทวดา พวกนี้ก็อยู่ตามต้นไม้ ตามกิ่งไม้ โดยมีวิมานอยู่ในนั้น เพราะเคยทำบุญด้วยเรื่องที่อยู่อาศัย แต่ทำมากกว่าพวกเมืองลับแล และมีศรัทธาตั้งอกตั้งใจมากกว่า เราจะสังเกตได้ว่าถ้าต้นไม้ไหนมีเทวดาอาศัยอยู่ ต้นไม้ต้นนั้นมักจะมีใบร่มครึ้มแผ่กิ่งก้านสาขาเจริญงอกงาม
 

คนโบราณชอบกล่าวคำพังเพยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า คนดีผีคุ้ม  คำว่า คุ้ม ในที่นี้ หมายถึงคุ้มครองป้องกันให้พ้นจากอันตราย

 

จากหนังสือ จากความทรงจำเล่ม1

อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล

* ชื่อเรื่องเดิม ผีใจดีที่ต้นมะม่วง

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.030754665533702 Mins