ศีล 5 ปกติของความเป็นมนุษย์

วันที่ 11 มีค. พ.ศ.2558

 

ศีล 5 ปกติของความเป็นมนุษย์

ศีล แปลว่า ปกติ

   ผู้ที่มีศีลจึงหมายถึงผู้ที่เป็นมนุษย์ที่ปกติความปกตินั้นเป็นพื้นฐานของความสงบเรียบร้อยของทุกสิ่งทุกอย่างทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตแต่เมื่อใดเกิดความไม่ปกติขึ้นความยุ่งยากความเดือดร้อนหรือเสียหายย่อมเกิดขึ้นตามมาเช่นดวงอาทิตย์ปกติจะส่องสว่างในเวลากลางวันเป็นปกติถ้าตราบใดที่พระอาทิตย์ยังส่องแสงเป็นปกติอยู่อย่างนี้เราทั้งหลายก็ยังมีชีวิตที่สงบสุขอยู่ตราบนั้นแต่หากวันใดพระอาทิตย์เกิดความผิดปกติขึ้นมาคือไม่ส่องแสงในเวลากลางวันดังที่เคยเป็นมาการงานย่อมเสียหายความวุ่นวายก็จะเกิดขึ้นเพียงการเกิดสุริยุปราคา การงานก็เสียหายไม่น้อยหรือฤดูฝนปกติฝนจะต้องตกการทำเกษตรจึงสามารถทำไปได้อย่างเต็มที่ แต่หากปีใดที่ถึงฤดูฝน แล้วฝนกลับไม่ตกปีนั้นก็กลายเป็นปีที่ผิดปกติไป และสิ่งที่เกิดตามมาคือข้าวยากหมากแพง พืชผลทาง การเกษตรก็เสียหาย

     คนเราก็เช่นกัน ถ้ามีความเป็นปกติการดำเนินชีวิตก็มีแต่ความสงบสุขสังคมก็อยู่อย่างปกติเรียบร้อยแต่วันใดที่คนปกติกลายเป็นคนไม่ปกติไปเมื่อนั้นความทุกข์ความเดือดร้อนย่อมเกิดขึ้นทั้งต่อตนเองและบุคคลที่อยู่รอบข้างด้วย อะไรคือความเป็นปกติของมนุษย์ และอะไรคือความผิดปกติของมนุษย์ ศีล 5 คือปกติของความเป็นมนุษย์ หรือมนุษยธรรม คือธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ ผู้ที่ผิดศีลก็ชื่อว่า เป็นคนที่ผิดปกติไป

         ศีล 5 เป็นคุณธรรมพื้นฐาน เป็นเครื่องช่วยควบคุมกายวาจาของมนุษย์ให้เรียบร้อยเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขพอสมควรหากมีผู้ใดทำผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อแล้วก็จะแสดงพฤติกรรมหรือการกระทำที่ผิดปกติของมนุษย์ออกมาซึ่งจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายเกิดความเดือดร้อนทั้งต่อตนเองหมู่คณะและสังคมส่วนรวม

     ศีล 5 เกิดขึ้นจากสามัญสำนึกของมนุษย์ที่ปรารถนาจะอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุขปลอดภัยโดยไม่ต้องหวาดระแวงหรือกลัวอันตราย หรือกลัวว่าจะถูกเบียดเบียนทำร้าย ไม่ว่าจากใคร หรือด้วยวิธีใดก็ตาม ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน เวฬุทวารสูตรว่า “ ดูก่อนพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลายธรรมปริยายที่ควรน้อมเข้ามาใน ตนเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นว่าเราอยากเป็นอยู่ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ผู้ใดจะปลงเราผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ เสียจากชีวิต ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา อนึ่ง เราพึงปลง คนอื่นผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ เสียจากชีวิต ข้อนั้นก็ไม่เป็น ที่รักที่ชอบใจแม้ของคนอื่น ธรรมข้อใดไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ธรรมข้อนั้น ก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น ธรรมข้อใดไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา เราจะพึง ประกอบผู้อื่นไว้ด้วยธรรมข้อนั้นอย่างไร อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็น ดังนั้นแล้ว ตนเองย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตด้วยชักชวนผู้อื่นเพื่องดเว้นจากปาณาติบาตด้วย กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากปาณาติบาตด้วย กายสมาจารของ อริยสาวกนั้น ย่อมบริสุทธิ์ทั้งสามส่วนอย่างนี้

     อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่าผู้ใดพึงถือเอาสิ่งของที่เรามิได้ให้ด้วยอาการขโมย ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา…

     อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ผู้ใดพึงถึงความ ประพฤติ (ผิด) ในภริยาของเรา ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา…

     อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ผู้ใดพึงทำลาย ประโยชน์ของเราด้วยการกล่าวเท็จ ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา…

     อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ผู้ใดพึงยุยงเราให้ แตกจากมิตรด้วยคำส่อเสียด ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา…

   อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ผู้ใดพึงพูดกะเรา ด้วยคำหยาบ ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา…

     อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ผู้ใดพึงพูดกะเรา ด้วยถ้อยคำเพ้อเจ้อ ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่พอใจของเรา ฯลฯ ตนเองย่อมงดเว้น จากสัมผัปปลาปะ (เพ้อเจ้อ) ด้วย ชักชวนผู้อื่นเพื่อให้งดเว้นจากสัมผัปปลาปะด้วย กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจักสัมผัปปลาปะด้วย วจีสมาจารของอริย-สาวกนั้น ย่อมบริสุทธิ์ทั้งสามส่วนอย่างนี้…Ž”
จากพระสูตรนี้ชี้ให้เห็นว่า

1)สิ่งแรกที่ทุกชีวิตได้มา นับแต่ลืมตาดูโลก คือ ชีวิต ดังนั้น ทุกชีวิตไม่ว่าจะยากดีมีจน จะเป็นคน หรือสัตว์ ต่างก็รักและหวงแหนชีวิตตนไม่น้อยไปกว่ากันเลย ในเมื่อเรารักชีวิต ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่อย่าง มีความสุข ไม่ต้องการให้ใครมาทำร้ายเบียดเบียนชีวิตเรา ผู้อื่นก็ย่อมจะรู้สึกเช่นเดียวกัน

ความรู้สึกเช่นนี้นี่เองที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ทั้งหลาย เพราะมนุษย์มีสามัญสำนึกในอันที่ จะคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น ส่วนสัตว์ทั้งหลายมีปกติมักเบียดเบียนชีวิตกัน แสดงออกด้วยความ โหดร้ายทารุณต่อกัน ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของใคร การมีจิตเมตตาต่อผู้อื่น การไม่เบียดเบียนผู้อื่น จึงเป็น ปกติของมนุษย์อย่างแท้จริง

ความปกตินี้เองที่เป็นเหตุให้เกิดศีลข้อที่ 1 ว่า ปาณาติปาตา เวระมณี เจตนางดเว้นจากการฆ่า สัตว์ด้วยตนเองและใช้ให้ผู้อื่นฆ่า นั่นคือ เราจะไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น

2)ความรักชีวิตได้สอนให้ทุกชีวิตแสวงหาทรัพย์อันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีพแม้จะเหนื่อยยากเพียงใด ทุกชีวิตต่างดิ้นรนหาทรัพย์มาเลี้ยงชีวิตตน ทรัพย์ที่ได้มานั้นไม่ว่าจะต่ำต้อยน้อยค่าหรือมีราคาแค่ไหน ต่างก็เป็นของรักของหวงทั้งสิ้น เราย่อมไม่ต้องการให้ใครมาฉกฉวยแย่งชิงไปจากเรา ผู้อื่นก็ย่อมไม่ ต้องการให้ใครมาแย่งชิงไปจากเขาเช่นกัน

สามัญสำนึกที่จะไม่เบียดเบียนทรัพย์สินของผู้อื่น เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ทั้งหลาย เพราะปกติของสัตว์ทั้งหลายมักจะแย่งชิงอาหารกันกิน ไม่คำนึงว่าจะเป็นของใคร เมื่อมีโอกาสเป็นต้อง แย่งชิงมาให้ได้ ดังนั้น การไม่ลักขโมย การไม่เบียดเบียนแย่งชิงทรัพย์สมบัติของผู้อื่นจึงเป็นปกติของมนุษย์ที่แท้จริงความเป็นปกตินี้จึงเป็นเหตุให้เกิดศีลข้อที่ 2 ว่า อทินนาทานา เวระมณี เจตนางดเว้นจากการ ลักทรัพย์ นั่นคือ เราจะไม่ลัก ไม่แย่งชิงทรัพย์สินของอื่น

3)ทุกชีวิตมีความรักใคร่ห่วงใยในคู่ครองและคนในครอบครัวของตนต่างปรารถนาจะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างอบอุ่นสืบวงศ์สกุลอย่างภาคภูมิใจ ถ้าใครมาประพฤติผิดประทุษร้ายในสามี ภรรยา บุตร ธิดา ของเรา ก็ย่อมทำให้เรามีความทุกข์เศร้าโศกเสียใจในทำนองเดียวกันผู้อื่นก็ไม่ต้องการให้ใครมาประพฤติผิดประทุษร้ายในสามี ภรรยา บุตร ธิดา ของเขาเช่นกัน

สามัญสำนึกที่จะไม่เบียดเบียนคู่ครองหรือคนในครอบครัวของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ทั้งหลาย เพราะปกติของสัตว์นั้น เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ มักแย่งคู่กัน บางครั้งถึงขั้นสู้กัน จนตายไปข้างหนึ่งก็มีการไม่แย่งชิงหรือเบียดเบียนคู่ครองหรือคนในครอบครัวของผู้อื่นจึงเป็นปกติของมนุษย์ที่แท้จริง ความเป็นปกตินี้จึงเป็นเหตุให้เกิดศีลข้อที่ 3 ว่า กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี เจตนางดเว้นจาก การประพฤติผิดในกาม

4)ความสัตย์ความจริงก็เป็นสิ่งที่ทุกชีวิตต้องการเพราะการตัดสินใจในชีวิตจะทำได้ดีต้องมีอีกทั้งความมั่นใจในการดำเนินชีวิตจะมีได้ต้องมาจากความจริงใจซื่อตรงต่อกันการโกหกหลอกลวงนั้นไม่เพียงแต่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แต่ยังสร้างความเสียหายในทรัพย์สินหรือแม้แต่ชีวิตทั้งชีวิตก็ถูกทำลายได้ด้วยการหลอกลวง ดังนั้นเมื่อเราไม่ต้องการถูกหลอกลวง ผู้อื่นก็ย่อมไม่ ต้องการเช่นกัน

     สามัญสำนึกที่จะไม่เบียดเบียนกันด้วยการกล่าวเท็จ หรือด้วยคำพูด เป็นสิ่งที่มนุษย์แตกต่างจาก สัตว์ทั้งหลายที่มักเบียดเบียนกันด้วยการใช้เสียงขู่คำรามสร้างความหวาดกลัว และสร้างความเสียหาย แก่ชีวิตของสัตว์อื่น การไม่ใช้คำพูดเบียดเบียนผู้อื่นจึงเป็นปกติของมนุษย์ที่แท้จริงความเป็นปกตินี้เอง จึงเป็นเหตุให้เกิดศีลข้อที่ 4 ว่า มุสาวาทา เวระมะณี เจตนางดเว้นจากการ พูดเท็จ

     มีข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ คนที่กล่าวเท็จทั้งๆที่รู้ก็คือผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงไม่ยอมรับความดี และไม่มีความซื่อตรงอยู่ในใจ บุคคลเช่นนี้ย่อมจะทำความผิดอื่นๆที่รุนแรงขึ้นได้ทุกอย่างดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสประทานโอวาทแก่พระราหุลใน จูฬราหุโลวาทสูตรว่า"ดูก่อนราหุล เรากล่าวว่าบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่ ที่จะไม่ทำบาปกรรมแม้น้อยหนึ่งไม่มี ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้นแหละ ราหุล เธอพึงศึกษาว่าเราจักไม่กล่าวมุสา แม้เพราะหัวเราะกันเล่น ดูก่อนราหุล เธอพึงศึกษาอย่างนี้แลŽ"

5)ความสงบความปลอดภัยในชีวิตก็เป็นสิทธิที่ทุกคนต้องการแต่จะเป็นไปได้เมื่อทุกชีวิตตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะคนประมาทขาดสติอาจทำความชั่วได้ทุกชนิด หรือสร้างความเสียหายได้ อย่างใหญ่หลวงความปกติของมนุษย์ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากมนุษย์ไม่สามารถรักษาสติไว้ได้ ซึ่งสิ่งที่ทำให้คนขาดสติได้อย่างง่ายดายก็คือ สุราเมรัยนั่นเองสุรานอกจากจะทำให้คนดีกลายเป็นมีสภาพเหมือนคนบ้าแล้ว คุณธรรมความดีอื่นๆที่สั่งสมมาก็ ถูกทำลายลงเสียสิ้นเหมือนกัน เหมือนเรื่องของพระสาคตะ ดังต่อไปนี้

     เรื่องพระสาคตะ  ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจำพรรษาอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ครั้นออกพรรษา พระพุทธองค์ได้เสด็จไปสู่เจติยชนบท จนกระทั่งมาถึงบ้านภัททวติกคาม เมื่อคนเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ตลอดจน ชาวนาและคนเดินทางได้แลเห็นพระองค์ ก็พากันกราบทูลว่า  “ข้าแต่พระองค์ ขอได้โปรดอย่าเสด็จไปสู่ท่าอัมพะเลย เพราะมีพญานาคตนหนึ่งซึ่งมีพิษร้ายแรง อาศัยอยู่ใกล้อาศรมชฎิล หากพระองค์เสด็จไป พญานาคนั้นก็จะทำอันตรายแก่พระองค์Ž” แต่พระองค์ทรงนิ่งเฉย แม้คนเหล่านั้นจะทูลห้ามถึง 3 ครั้ง พระองค์ก็ทรงนิ่งเฉย เสด็จเข้าไป ประทับอยู่ที่ภัททวติกคาม คราวนั้น พระสาคตเถรผู้สำเร็จโลกิยฌาน จึงได้ไปยังอาศรมชฎิลที่นาคนั้นอาศัยอยู่ท่านเข้าไปยังโรงบูชาไฟ แล้วปูหญ้าลงรองนั่งท่าสมาธิคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง เมื่อนาคมองเห็นพระสาคตเถระก็รู้สึกขุ่นเคืองจึงพ่นพิษเข้าใส่ พระสาคตเถระจึงบันดาลพิษ โต้ตอบกำจัดพิษนาคนั้น นาคจึงพ่นไฟสู้อีก พระสาคตเถระจึงเข้าเตโชสมาบัติบันดาลไฟโต้ตอบจนนาคนั้น ยอมแพ้ จากนั้นท่านได้สั่งสอนให้นาคตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ แล้วท่านจึงกลับมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ ภัททวติกคาม เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่ภัททวติกคามตามสมควรแก่พระประสงค์แล้ว จึงเสด็จ กลับสู่เมืองโกสัมพี เมื่อชาวเมืองโกสัมพีมารับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ทราบว่าพระสาคตเถระมี ชัยชนะแก่พญานาคจึงพากันเข้าไปถามพระสาคตเถระว่า ”สิ่งใดที่เป็นของหายาก เป็นของชอบใจของพระคุณเจ้า พวกเราจะจัดถวายŽ” ครั้งนั้นยังมีภิกษุผู้มีความริษยาในพระสาคตเถระได้แกล้งตอบไปว่า  “สุราใสสีแดงเหมือนสีเท้าของนกพิราบเป็นของหายาก และเป็นของชอบใจของพระคุณเจ้า ท่านทั้งหลายจงจัดเตรียมสุรานั้นไว้ถวายจึงจะดีŽ”คนเหล่านั้นจึงพากันกระทำตามคำแนะนำโดยเวลาที่พระสาคตเถระไปบิณฑบาตต่างก็ขอให้ท่านดื่มสุราพระสาคตเถระได้ดื่มสุราทุกๆ เรือนไป จนในที่สุดก็ล้มลงที่ประตูเมืองด้วยความมึนเมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจากเมืองพร้อมด้วยภิกษุเป็นจำนวนมากได้ทอดพระเนตรเห็นพระสาคตะล้มกลิ้งอยู่ที่ประตูเมืองจึงตรัสสั่งให้ภิกษุทั้งหลายช่วยกันพยุงพระสาคตเถระไปแล้วจัดให้นอนหันศีรษะมาทางพระองค์แต่พระสาคตเถระกลับพลิกตัวนอนเอาเท้าทั้งสองมาทางพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลำดับนั้นพระพุทธองค์รับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า

”ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สาคตะมีความเคารพ มีความยำเกรงในตถาคตมิใช่หรือŽไม่

“ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลว่า”  “ เป็นดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้าŽ”

”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้สาคตะมีความเคารพยำเกรงในตถาคตอยู่หรือŽ”

“ ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้าŽ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาคตะได้ต่อสู้กับนาคภัททวติกคามใช่หรือไม่Ž”

“ ใช่ พระพุทธเจ้าข้าŽ”

”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้แม้แต่งูน้ำ สาคตะจะสามารถทำการต่อสู้ได้หรือไม่Ž”

 “ ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้าŽ”  “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย น้ำที่ดื่มเข้าไปแล้ว ถึงวิสัญญีภาพนั้นควรดื่มหรือไม่Ž”

“ ไม่ควรดื่ม พระพุทธเจ้าข้าŽ”  “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การกระทำของสาคตะไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ไฉน สาคตะจึงดื่มน้ำที่ทำให้ผู้ดื่มมึนเมา การกระทำของสาคตะนั้น มิได้เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง ไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้น ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้วŽ…”

     ฤทธิ์ของสุราจึงไม่เพียงแต่ทำให้พระสาคตเถระสิ้นฤทธิ์เท่านั้น แต่ยังทำให้ความประพฤติอันดีงาม ให้กลับเสื่อมทรามสิ้นสง่าราศีจากผู้เป็นที่เคารพศรัทธากลับกลายเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์แม้จิตใจที่อาจหาญของท่านยังกลับกลายเป็นใจที่เสื่อมสิ้นกำลังทั้งที่สภาพใจของท่านแต่เดิมนั้นเป็นใจที่ตั้งมั่นทนทานต่อการทำลายไม่ว่าจากภัยใดๆ แต่แล้วกลับเปลี่ยนสภาพไปอย่างง่ายดาย ด้วยการดื่มสุรา

     ศีลทั้งสี่ข้อที่ผ่านมาไม่ว่าจะตั้งใจรักษาสักเพียงใดแต่หากรักษาข้อที่ 5 ไม่ได้ สี่ข้อที่เหลือก็ไม่อาจ รักษาได้เช่นกัน อุปมาเหมือนช้างที่ใช้งวงหาอาหารเลี้ยงชีวิต หากวันใดงวงของมันไม่สามารถทำหน้าที่ได้ หรือขาดออกไปเสีย มันก็ต้องตาย เพราะขาดงวงเอาไว้จับอาหาร ถึงจะมีขาอีกสี่ข้างคอยช่วยพาเดินไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ช้างนั้นย่อมตายไป เพราะเหตุที่ไม่มีงวงฉันใด คนเราก็เช่นกันหากขาดศีลข้อที่ 5 ไป อีก 4 ข้อที่เหลือก็ยากจะรักษาไว้ให้ได้ดังเดิม ฉันนั้น

     กุศลธรรมทั้งมวลจะตั้งอยู่ได้เพราะอาศัยความไม่ประมาท แต่เมื่อใดเกิดประมาทเสียแล้วกุศลก็ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ การดื่มสุราเป็นทางมาแห่งความประมาท เมื่อประมาทก็ได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในอกุศลทั้งหลาย สามารถกระทำความชั่วได้ทุกอย่าง ไม่สามารถรักษาความดี หรือความปกติของมนุษย์ไว้ได้เลย

     ดังนั้น เพื่อที่จะรักษาความเป็นปกติของมนุษย์ทั้งสี่ข้อที่ผ่านมา ก็ต้องไม่ดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ ตั้งแห่งความประมาท และด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดศีลข้อที่ 5 ว่า สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นเหตุแห่งความประมาท ศีล 5 มาจากสามัญสำนึกของมนุษย์ที่รู้ว่า เมื่อเรามีความรักตนเอง ปรารถนาความสุข ความ ปลอดภัยให้กับตนเอง ชีวิตอื่นย่อมมีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับเรา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้คิดพิจารณา โดยเริ่มต้นที่ความรู้สึกของเราว่า การเบียดเบียน ใดๆ อันเป็นสิ่งที่เราไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นกระทำต่อเรา สิ่งนั้นผู้อื่นก็ย่อมไม่ปรารถนาให้เรากระทำต่อเขาเช่นกันส่วนในยุคสมัยที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นนั้น ศีล 5 ก็เป็นมนุษยธรรมที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมนุษย์ดังปรากฏใน อัคคัญญสูตร และ จักกวัตติสูตร มีความโดยสรุปว่า

   ปัญหาสังคมของมนุษย์มีอยู่ตลอดกาล แม้ในยุคสมัยที่โลกพรั่งพร้อมด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารอัน ประณีตสมบูรณ์ มนุษย์ได้ดำรงชีวิตอย่างสุขสบายแต่ด้วยเหตุที่มนุษย์มีความแตกต่างกัน เริ่มจากเรื่องของผิวพรรณวรรณะ บางพวกมีผิวพรรณงาม บางพวกผิวพรรณไม่งาม จึงทำให้เกิดการแบ่งชนชั้น เกิดความหยิ่งทะนง และดูหมิ่นกัน ความเสื่อมทรามของสภาพจิตใจที่เกิดขึ้น จึงส่งผลให้สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศเสื่อมลง

 เมื่อบรรยากาศของโลกไม่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ทรัพยากรซึ่งเคยมีอยู่อย่างบริบูรณ์จึงลดลงทั้ง ปริมาณและคุณภาพอาหารที่ประณีตกลับเสื่อมสูญไปกลายเป็นมีอาหารหยาบมาแทนที่ยิ่งเกิดการจับจองครอบครองทรัพยากรอันมีจำกัดนั้นอย่างเห็นแก่ตัวเกิดการลักขโมย การลงโทษ การทำร้าย เบียดเบียนซึ่งกันและกันในทุกวิถีทาง ในที่สุดความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นทำให้มนุษย์ได้รู้สึกตัว และสำนึกได้ว่าการที่ทุกสิ่งทุกอย่างเสื่อมลงไปนั้น เป็นผลมาจากความเสื่อมของศีลธรรมที่เกิดจากความประพฤติของมนุษย์ด้วยกันนั่นเอง

     ดังนั้น ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงบังเกิดขึ้นหรือไม่ ศีล 5 ย่อมมีอยู่แล้วทุกยุคทุกสมัย เพราะมนุษย์เป็นผู้รู้จักใช้เหตุผล รู้จักยับยั้งชั่งใจ และสิ่งนี้เองคือศักดิ์ศรีที่แท้จริงแห่งความเป็นมนุษย์
 ศีล เป็นมหาทาน

     การรักษาศีล ไม่เพียงเป็นการรักษาความเป็นปกติของความเป็นมนุษย์ หรือเพื่อรักษากฎเกณฑ์ ในการอยู่ร่วมกันในสังคมเอาไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นการให้ทานที่มีคุณค่ายิ่งกว่าการให้วัตถุใดๆทั้งสิ้น เพราะในขณะที่ใครคนหนึ่งรักษาศีลทุกชีวิตจะได้รับประโยชน์อันมหาศาลนั่นคือได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินทันที กล่าวคือ 

เมื่อเรารักษาศีลข้อที่ 1 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ย่อมได้ชื่อว่า ให้ชีวิต ให้ความปลอดภัยแก่ชีวิต ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นการให้สิ่งที่สูงค่ายิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ

เมื่อเรารักษาศีลข้อที่ 2 คือ ไม่ลักทรัพย์ ย่อมได้ชื่อว่า ให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น เป็นการให้ฐานะความเป็นอยู่อันมั่นคง

เมื่อเรารักษาศีลข้อที่ 3 คือ ไม่ประพฤติผิดในกาม ย่อมได้ชื่อว่า ให้ความสุข ให้ความปลอดภัย แก่บุตร ธิดา ภรรยา สามีของผู้อื่น เป็นการให้ความคุ้มครองแก่สถาบันครอบครัวอย่างดีที่สุด

เมื่อเรารักษาศีลข้อที่ 4 คือ ไม่กล่าวคำเท็จ ย่อมได้ชื่อว่า ให้ความจริงแก่ผู้อื่น ทำให้เกิดความ สบายใจในการดำเนินชีวิต โดยไม่ต้องหวาดระแวงซึ่งกันและกัน

เมื่อเรารักษาศีลข้อที่ 5 คือ ไม่ดื่มสุราเมรัย ย่อมได้ชื่อว่า ให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง เพราะคนที่ ประมาทขาดสตินั้น สามารถทำความชั่วได้ทุกอย่าง จะฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม หรือพูดเท็จก็ทำได้ทั้งสิ้น

     การรักษาศีล 5 จึงเป็นทานอันประเสริฐ ที่หล่อเลี้ยงโลกนี้ ให้ร่มเย็นเป็นสุขมาช้านาน ซึ่งทาน อันประเสริฐนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า มหาทาน พร้อมทั้งทรงกล่าวว่า ผู้บำเพ็ญมหาทาน ย่อมได้ รับผลบุญอันมหาศาลเช่นเดียวกัน

     จะเห็นว่าการรักษาศีลนั้น เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ ด้วยน้ำใจที่กว้างขวาง เพราะเป็นน้ำใจที่มีต่อชีวิตทั้งหลายอันไม่มีประมาณ และไม่มีการเจาะจง

     การรักษาศีล จึงเป็นบุญอันพิเศษอย่างยิ่ง เพราะได้ทั้งบุญจากการบำเพ็ญมหาทาน และบุญจาก การรักษาศีล และนี่เป็นเพียงศีล 5 อันเป็นเบื้องต้นเท่านั้น หากรักษาศีลในข้อที่สูงยิ่งขึ้นไป ย่อมเป็น มหาทานอันยิ่งใหญ่ เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างสุดที่จะประมาณได้

 

 

จากหนังสือ DOU
วิชา SB 101 วิถีชาวพุทธ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0031895319620768 Mins