อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ

พระมหาสิริราชธาตุ รุ่นดูดทรัพย์ สำหรับ ผู้สร้างพระธรรมกายประจำตัวภายในมหาธรรมกายเจดีย์นั้น จะได้รับของที่ระลึกเป็นพระธรรมกายของขวัญ

อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ ปรากฏการณ์มหาปีติ "อัศจรรย์...ตะวันแก้ว"

 

ปรากฏการณ์มหาปีติ "อัศจรรย์...ตะวันแก้ว"
 

มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าชาติใดภาษาใด จำเป็นต้องมีที่พึ่งทางจิตใจ เช่นศาสนา ลัทธิ ประเพณี หรือกฏระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย กติกาต่างๆ ที่สังคมตั้งขึ้น ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวในการดำรงชีวิตให้อยู่อย่างเป็นสุขในสังคมของตน ใครไม่มีความเชื่อในสิ่งใดๆ ให้ใจมีที่พึ่งเลย จะอยู่ในโลกนี้อย่างว้าเหว่เป็นทุกข์ จะใช้สิ่งใดเป็นที่พึ่งเพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมก็ตาม สิ่งนั้นจะให้ประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ยึดเหนี่ยวได้ จำเป็นที่ผู้นั้นต้องมีความเชื่อ ความเลื่อมใส ในสิ่งที่ดีงามตามข้อกำหนดกฏเกณฑ์ต่างๆ เหล่านั้น


สำหรับชาวไทยเรา ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นความเชื่อความเลื่อมใสที่ประกอบด้วยปัญญา รู้ตามความเป็นจริง คือเชื่อในสิ่งที่เป็นไปตามนั้นจริงๆ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ เช่น เชื่อว่าเรื่องกรรม เรื่องผลของกรรม เป็นของมีอยู่จริง เชื่อว่าสัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นของตน จะได้ดีได้ชั่ว เพราะตนทำกรรมเหล่านั้นไว้เองทั้งสิ้น และเชื่อในปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหล่านี้เป็นต้น


พุทธศาสนิกชนทุกคน มีความเชื่อในพระบริสุทธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระปัญญาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระบริสุทธิคุณ คือทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากอาสวกิเลศทั้งปวง อย่างหมดจด


พระกรุณาธิคุณ คือทรงปรารถนาให้เวไนยสัตว์ (สัตว์ที่พึงสอนได้) ทั้งปวง พ้นจากความทุกข์สิ้นเชิงตลอดไป


พระปัญญาธิคุณ คือทรงเป็นสัพพัญญู ตรัสรู้เห็นแจ่มแจ้งตามความจริงทุกสิ่งทุกประการ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้แจ้ง


ด้วยพระปัญญาธิคุณนี้เอง ที่ทรงใช้เป็นกุศโลบายอบรมจิตใจ เหล่าเวไนยสัตว์ ให้หมดจากมิจฉาทิฏฐิ กลายเป็นสัมมาทิฏฐิขึ้นมา สัมมาทิฏฐินั้น เป็นองค์ประกอบใหญ่ ทำให้สามารถกำจัดอาสวกิเลสพ้นจากความทุกข์ในวัฏฏะ เลิกเวียนว่ายตายเกิด


เหล่าสัตว์ทั้งหลายล้วนแตกต่างกันไป ตามระดับสติปัญญา ตามวาสนาบารมีที่เคยสร้างสมอบรมไว้ในภพชาติปางก่อนนับประมาณไม่ได้ ไม่มีใครเหมือนกันเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นบรมครูผู้ทรงปราดเปรื่องเรื่องการอบรมสั่งสอนผู้คน ทรงรู้วิธีสอนอย่างแตกฉานแจ่มแจ้งว่า ใครมีพื้นเพอัธยาศัย บุญเก่าใหม่ ความเชื่อที่ติดแน่นฝังใจต่างๆ ไม่เหมือนกันอย่างไร ใครรับการสั่งสอนอย่างใด จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ ทำตามคำสั่งสอนได้


ด้วยเหตุนี้ในการประทานการสั่งสอนอบรม จึงมักทรงให้วิธีการอยู่ ๓ ประการคือ


๑.สอนให้เข้าใจเหตุผลแท้จริงอย่างอัศจรรย์ ทำให้ผู้ฟังเชื่อถือ เลื่อมใส และปฏิบัติตามโดยเต็มใจ ได้ผลสำเร็จ


๒.สอนโดยแสดงให้ผู้ฟังทราบว่า ที่ตนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจนั้น ถูกหรือผิด ควรทำอย่างใด ทำให้ผู้ฟังเชื่อถือทำตาม


๓.สอนโดยแสดงฤทธิ์ให้เห็นเป็นอัศจรรย์ เพื่อให้ผู้พบเห็นมีความเชื่อมั่นในคำอบรมสั่งสอน เต็มใจกระทำตาม


แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงยกย่องว่า การอบรมสั่งสอนอย่างแรก คือให้เข้าใจเหตุผลโดยแท้จริงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด แต่ในการปฏิบัติจริงสมัยพุทธกาล ทั้งพระองค์เองและเหล่าสาวกผู้มีความสามารถ ก็ทรงใช้วิธีการทั้งสามประการ เป็นอุบายกลับใจคนทำให้ได้รับผลสำเร็จทุกครั้ง


มาในปัจจุบัน วิธีดักใจคน และการแสดงฤทธิ์ ทำได้ยาก เพราะผู้กระทำต้องปฏิบัติธรรมได้รับผลสำเร็จเป็นปฏิเวธธรรมในระดับได้ฌาน ได้อภิญญา จึงสามารถกระทำได้ ดังนั้นการสั่งสอนผู้คนจึงนิยมอยู่วิธีเดียว คือพูดสอนให้เข้าใจได้คิดขึ้นมาเอง


เรื่องนี้น่าจะเป็นพุทธปรีชาญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงเห็นว่าในอนาคตภายภาคหน้า พระภิกษุสงฆ์ย่อมประพฤติย่อหย่อนในพระธรรมวินัย การบรรลุปฏิเวธธรรมจะน้อยลงเรื่อยๆ ไป การสั่งสอนด้วยอุบายพูดดักใจผู้ฟัง หรือการแสดงฤทธิ์แสดงปาฏิหาริย์ให้เห็น จะไม่มีผู้ใดกระทำได้ จึงทรงแนะนำรับรองการสอนด้วยวิธีพูดให้ได้คิดเป็นวิธีที่ดีเยี่ยม ประเสริฐสุด


การพูดสอนให้ผู้ฟังได้คิดและปฏิบัติตามนั้น ผู้สอนไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จขั้นสูงในการปฏิบัติธรรม หรือไม่ปฏิบัติเสียเลยก็ได้ ทำเพียงแต่ศึกษาเล่าเรียนภาคปริยัติธรรมตามตำหรับตำรา จำคำสอนเหล่านั้นมาพูดต่อ สอนต่อ ก็ได้รับผลสำเร็จด้วยดี และเป็นที่นิยมกันอยู่ทุกยุคทุกสมัยตลอดมา จนปัจจุบัน


อีกประการหนึ่ง ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรับรองว่า การพูดสอนเป็นวิธีที่ประเสริฐสุดแล้ว ผู้คนอาจไม่ยอมฟังพระภิกษุธรรมดาผู้ที่ยังปฏิบัติธรรมไม่ได้ผลก็ได้ ซึ่งจะทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญเร็วยิ่งขึ้น


อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบัน พุทธศักราช ๒๕๔๑ ห่างจากสมัยพุทธกาลมานานเป็นพันๆ ปีอย่างนี้ พุทธศาสนิกชนอย่างเราสามารถได้พบเห็นปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้อีกครั้ง ควรนับว่าเป็นเรื่องโชคดีของผู้ได้พบ ไม่น่าถูกท้วงติงหาว่าเป็นคนงมงาย ไร้เหตุผล ของไม่มีจริงสร้างอุปาทานให้มี


ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ มหัศจรรย์นั้น สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยพลังสมาธิจิตของผู้มีความสามารถในการปฏิบัติธรรม ในระดับบรรลุอภิญญาจิต ซึ่งมีความสามารถพิเศษ ๖ ประการ ห้าประการแรกเรียกว่า โลกียอภิญญา ซึ่งประกอบด้วย แสดงฤทธิ์ได้ มีหูทิพย์ ทายใจผู้อื่นได้ ระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ ส่วนอภิญญาประการที่หกเป็นโลกุตรอภิญญา คือบรรลุญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป
เรื่องปาฏิหาริย์ คือการแสดงฤทธิ์นั้น เป็นเรื่องมีอยู่จริง สามารถพิสูจน์ได้ ตนเองพิสูจน์เองก็ได้ คนอื่นที่ปฏิบัติสำเร็จพิสูจน์ให้ดูก็ได้ ใครได้พบเห็นเหตุการณ์ประเภทนี้ ควรถือว่าเป็นบุญลาภของตน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเต็มเปี่ยม ปราศจากความลังเลสงสัยใดๆ เป็นกำลังใจให้ตั้งมั่นแน่วแน่ในการปฏิบัติตามคำสอนเต็มความสามารถ เพราะทราบแน่ชัดว่า มีตัวอย่างของผู้ปฏิบัติได้ให้เห็นอยู่ การกล่าวโจมตีของผู้ไม่รู้จริง จึงเป็นเพราะความไม่รู้ของเขาเอง แม้ผู้นั้นจะมีความรู้วิทยาการในทางโลกที่สมมติกันว่าสูงส่งเพียงใด แต่เมื่อไม่รู้ตามหลักธรรมคำสอนในศาสนาที่ตนเองอ้างว่านับถือเสียแล้ว ผู้นั้นจึงกลายเป็นคนความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด (จากอบายภูมิ) ไปโดยปริยาย


ด้วยเหตุนี้ เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของผู้คนที่มีสัมมาทิฏฐิทั้งปวง ให้เกิดมีศรัทธาเต็มเปี่ยมในพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อมั่นแน่นแฟ้น ไม่มีความคลางแคลงสงสัยใดๆ มีกำลังใจในการปฏิบัติตาม เพื่อให้ประสบผลสำเร็จตามคำสอนดังกล่าว ไม่มัวเสียเวลาลังเลสงสัยโต้แย้ง คณะผู้จัดพิมพ์หนังสืออานุภาพพระมหาสิริธาตุ จึงเห็นสมควรที่จะนำประสบการณ์ของผู้คนที่พบเหตุการณ์ปาฏิหาริย์มหัศจรรย์ อันเป็นปฏิเวธธรรมระดับหนึ่งมาเล่าไว้ เป็นพยานหลักฐานยืนยัน ให้ผู้ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง แต่เป็นผู้มีปัญญาได้ใคร่ครวญพิจารณาว่าควรเชื่อ แล้วตนเองจะได้ประโยชน์ คือมีกำลังใจปฏิบัติตามพระพุทโธวาท หรือจะปฏิเสธ เห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ทำให้ขาดความศรัทธา กลายเป็นคนไม่มีที่พึ่งอะไรในชีวิตไป

ตัวอย่างของผู้ประสบกับเหตุการณ์อัศจรรย์ตะวันแก้ว


คุณสุวรรณี จันทานนท์ เล่าว่า มีพระจากวัดพระธรรมกายรูปหนึ่งชื่อหลวงพี่สรรชย ได้ชวนให้ทำบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัวประดิษฐานที่แกนกลางมหาธรรมกายเจดีย์ จึงทำให้ตนเองได้มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ตะวันแก้วถึง ๒ ครั้ง คือในวันที่ ๖ กันยายนและวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑


ในวันที่ ๖ กันยายน คุณสุวรรณีได้เห็นหลวงพ่อวัดปากน้ำองค์ใหญ่คลุมดวงอาทิตย์อยู่ ดวงอาทิตย์กระพริบได้ งามตาเหมือนประกายเพชรน้ำหนึ่งก็ไม่ปาน


ส่วนวันที่ ๑๑ ตุลาคม ได้มองเห็นดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเป็น ๒ ดวง ครู่หนึ่งก็เคลื่อนมาซ้อนเป็นดวงเดียวกัน แล้วเปล่งประกายกระพริบได้ และดวงอาทิตย์ก็หมุนไปมาเหมือนวงแหวน ๒ วง แต่กระพริบอยู่ไม่นานเท่าวันที่ ๖ กันยายน


จากนั้นไม่นาน มีก้อนเมฆใหญ่มาบังดวงอาทิตย์ ทำให้เหลือแต่แสงสีทองอร่ามอยู่ทางด้านล่างลงมา แสงสีทองนั้นเป็นรูปร่างคล้ายกับโดมมหาธรรมกายเจดีย์ และมีภาพหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในท่านั่งสมาธิ มือข้างขวายกขึ้นมาจีบ ๒ นิ้วที่หน้าอก ที่นิ้วมือสองนิ้วนั้นเห็นชัดเจนว่าท่านถือดวงแก้วอยู่ด้วย


คุณสุวรรณีอธิบายภาพที่เห็นขณะนั้นว่า เป็นมหัศจรรย์สวรรค์แท้ๆ ช่างเป็นภาพที่สวยงาม พูดอธิบายไม่ถูก แล้วเธอตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้มีทุนทรัพย์ให้มากพอที่จะช่วยร่วมสร้างมหาธรรมกายเจดีย์นี้ให้สำเร็จ และขอให้ไม่มีความย่อท้อที่จะเชิญชวนผู้คนให้มาร่วมทำบุญ


ระหว่างทำการอธิษฐานจิต น้ำตาของเธอก็หลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เป็นความปีติยินดีที่จะจดจำไว้ไม่รู้ลืมเป็นครั้งที่ ๒ หลังจากที่พบเหตุการณ์มหัศจรรย์ในวันที่ ๖ กันยายน


จากนั้นเธอก็หันมามองบนมหาธรรมกายเจดีย์บริเวณที่พระภิกษุสามเณรนั่งอยู่ เธอมองเห็นพระภิกษุสามเณรเป็นสีชมพูหมดทุกรูป พอมองไปเหนือมหาธรรมกายเจดีย์ ทางด้านขวาเป็นเมฆสีขาวก้อนใหญ่ คุณสุวรรณีเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเป็นคุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ปรากฏภาพครึ่งตัว มีสไบสีทอง เหลืองอ่อนๆ พาดจากไหล่ซ้ายเฉียงลงมาด้านขวา อัศจรรย์จริงๆ คุณสุวรรณีถามพี่ๆ น้องๆ ที่มาด้วยกัน เห็นเหมือนกันทุกคน ต่างถามกันให้แน่ใจ ว่า "เห็นมั๊ย เห็นมั๊ย" ทุกคนก็ตอบว่า "เห็น เห็น คุณยายท่านก็มา ท่านมาให้เห็นครึ่งองค์ด้วย"


ขณะเขียนเล่าเหตุการณ์อยู่นี้ คุณสุวรรณีกล่าวย้ำว่า ยังอิ่มใจอยู่ไม่รู้ลืม ไม่อยากให้ภาพที่ได้เห็นลบเลือนจากความทรงจำไป ขอให้จำได้ตลอดไปทั้งสองวัน และปรารถนาให้ได้เห็นอีกเรื่อยไป สิ่งที่เกิดทำให้ในใจของคุณสุวรรณีมีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคงหนักแน่น เกินจะหาคำพูดใดมาพูดเปรียบ รู้แต่เพียงว่า ผืนแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก คำสอนในพระพุทธศาสนาเมื่อปฏิบัติแล้วได้ผลจริง พระภิกษุผู้ให้การสั่งสอนจนรู้แจ้งเห็นจริงตามคำสอนเหล่านั้นในยุคปัจจุบันยังมีอยู่ ช่างเป็นโชคดีวิเศษสุดของผู้คนที่ได้มาร่วมกันสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ และผู้มีโอกาสได้ฟังคำสั่งสอนและปฏิบัติตามซึ่งจะเป็นทางมาแห่งบุญอันมหาศาลแก่ตนเอง


การเห็นปาฏิหาริย์ที่ได้ผ่านมา ๒-๓ ครั้งนั้น ในแต่ละครั้งแต่ละคน บ้างเห็นเหมือนกัน บ้างก็เห็นไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วเห็นเหมือนกันในเรื่องใหญ่ เช่น ดวงตะวันใสเหมือนดวงแก้วมองได้สบายตา กระพริบได้ หมุนได้ เคลื่อนไหวเข้าออกได้ หมุนรอบ และมีรัศมีสีแสงต่างๆ สาดประกายออกมา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่นรายคุณสุวรรณี หรือที่เล่าสู่กันฟังมาหลายรายนั้น เป็นด้วยความหยุดนิ่งของจิตใจเฉพาะตัว ใจของใครสงบ หยุดนิ่งได้สนิทมาก มีความเลื่อมใส ไม่ลังเลสงสัยว่า นั่นยิงเลเซอร์หรือเปล่า โดนสกดจิตหรือเปล่า อุปาทานไปเองหรือเปล่า ฯลฯ คนที่เชื่อมั่นเลื่อมใสว่า ผลการปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีอยู่จริง ย่อมสามารถเห็นรายละเอียดต่างๆ ได้อัศจรรย์ ตามระดับความหยุดนิ่งของใจ


ด้วยเหตุนี้ วิสัยของบัณฑิตนักปราชญ์ เมื่อต้องการพิสูจน์สิ่งใดด้วยตนเองว่าเป็นเรื่องจริงเรื่องเท็จเพียงใด ควรลงมือพิสูจน์ปฏิบัติให้เห็นด้วยตนเอง ไม่ควรใช้วิธีคาดเดา คิดเอาเอง จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไป ซึ่งเป็นผลเสียกับตัวเองในที่สุด

เรื่อง ธงหลวงพ่อสด ดับไฟไหม้บ้านได้


คุณปวีญา อุจวาที เป็นพยาบาลหัวหน้าตึกผ่าตัด โรงพยาบาลนครนายกเล่าว่า ได้มาวัดพระธรรมกายครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคมกับอาจารย์สนั่นและอาจารย์มาริสา บำรุง ซึ่งเป็นผู้นำบุญของจังหวัด รู้สึกชอบวัดมาก นับแต่ก้าวแรกที่เหยียบแผ่นดินของวัด ตื่นเต้น ปีติใจ เป็นสุข เหมือนว่าได้เดินอยู่ในแดนสวรรค์ ยิ่งได้เห็นระเบียบต่างๆ รวมถึงระบบการจัดงานของวัด ก็ยิ่งประทับใจมากขึ้น เธอมีความรู้สึกและบอกกับตนเองว่า "ชอบที่สุดเลย"


คุณปวีญาตั้งใจตั้งแต่แรกที่มาวัดว่า จะต้องมาวัดทุกอาทิตย์ต้นเดือน และหลังจากนั้นก็มาวัดอย่างสม่ำเสมอตามที่ได้ตั้งใจไว้ เวลามีงานบุญพิเศษนอกจากวันอาทิตย์ต้นเดือน ไม่ว่าจะเป็นงานบุญใหญ่บุญเล็ก เธอก็จะมา นอกจากนั้นยังได้บอกข่าวเชิญชวนให้คนข้างเคียง โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานที่เป็นลูกน้องของเธอ ให้มาร่วมทำบุญด้วยกัน ใครมาวัดได้ก็จะพามา อย่างเช่นเมื่องานบวชอุบาสิกาแก้ว คุณปวีญาก็ได้พามาบวชหลายคน


คุณปวีญาเองได้ทำบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัวไว้ แต่ทำแบบผ่อนทยอยบุญ ได้ครบเต็มองค์เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑" และได้สร้างพระให้กับมารดาด้วยอีก ๑ องค์ สำหรับหมู่ญาติ เธอได้ชวนให้ได้มาร่วมสร้าง ได้มาประมาณ ๑๐ องค์ เมื่ือทำบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัวและเติมบุญองค์พระของตัวเองจนครบแล้วก็รู้สึกดีใจ ปีติใจมาก จนเธอได้ตัดสินใจรับเสื้อผู้นำบุญ ที่มีข้อความบนเสื้อว่า ทุ่มชีวี สร้างมหาธรรมกายเจดีย์ มาใส่ ๑ ตัว ซึ่งผู้ที่จะรับเสื้อนี้มาได้ต้องทำหน้าที่กัลยาณมิตรเชิญชวนคนมาร่วมบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัวให้ได้ ๑๐ องค์เป็นอย่างน้อย


จากนั้นคุณปวีญาได้ตัดสินใจขอลางาน ๔ วัน คือวันที่ ๖-๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ เพื่อทำหน้าที่กัลยาณมิตร เธอได้ออกเดินทางเชิญชวนให้ผู้คนมาเป็นเจ้าภาพองค์พระได้ถึง ๓๓ องค์ และเชื่อมั่นอยู่ทุกวันนี้ว่า บุญที่ได้ทำนั้น รวมกับอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหาสิริราชธาตุและพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ รวมถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ทำให้เธอรอดพ้นจากเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านในวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ ได้อย่างอัศจรรย์


ก่อนเล่าถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ คุณปวีญาได้เล่าถึงความบังเอิญอย่างน่าประหลาดในการชวนคนมาทำบุญสร้างองค์พระประจำตัวบางราย ดังนี้


ในตอนที่ตั้งใจจะชวนคนให้มาเป็นเจ้าภาพสร้างองค์พระให้ได้อย่างน้อย ๑๐ องค์นั้น คุณปวีญาไม่ได้คิดเรื่องการได้รับพระของขวัญสำหรับผู้รวบรวมได้ครบ ๑๐ องค์ คือพระคะแนนสุด สุด เลย เธอคิดแต่เพียงว่าจะต้องช่วยพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ให้สำเร็จให้ได้


รายแรกที่ไปชวน ชื่อคุณสุจิตรา จันทราพา เป็นสรรพสามิตอำเภอเมืองนครนายก คุณสุจิตรามีมารดาป่วยเป็นโรคปัสสาวะเองไม่ได้ ต้องต่อสายยางจากทวารเบาลงถุงอยู่ตลอดเวลา มานานเป็นเวลาเกือบปีแล้ว ทางแพทย์บอกว่าคงต้องใส่อย่างนี้ตลอดไป คุณปวีญารู้สึกสงสารคนป่วย จึงได้เล่าเรื่องอานุภาพของพระมหาสิิริราชธาตุและผลบุญจากการสร้างพระธรรมกายประจำตัวที่มหาธรรมกายเจดีย์ให้ฟัง คุณสุจิตราตัดสินใจสร้างพระประจำตัวให้กับมารดาและตนเองรวม ๒ องค์ หลังจากได้ทำบุญไปแล้ว ภายในสัปดาห์นั้นเอง สายยางที่ใส่ช่วยการปัสสาวะ หลุดออกมาเอง และคนป่วยก็สามารถปัสสาวะเองได้ หายป่วยตั้งแต่เวลานั้น ทำให้คนในครอบครัวคุณสุจิตราเชื่อมั่นในผลบุญ และอานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุ ที่ทำให้โรคหายได้อย่างอัศจรรย์ พี่น้องของคุณสุจิตรารู้สึกตื่นเต้นและมีศรัทธา จึงร่วมกันทำบุญสร้างองค์พระมาถึง ๑๐ องค์ และต่างก็พากันขอบใจคุณปวีญา ที่นำสิ่งดีๆ มาบอก


คุณปวีญาจำคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยได้เป็นอย่างดี ซึ่งท่านบอกเสมอว่า ผู้มีบุญคอยเราอยู่ เพียงแต่เรายังไม่ได้บอกเขา คุณปวีญาจึงคิดอยู่เสมอว่า เธอมีหน้าที่ไปบอก ไปแจ้งข่าว ถ้าเขามีบุญ เขาจะต้องทำเอง เธอจึงบอกบุญกับทุกคนทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่เลือกว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน


รายที่สองที่คุณปวีญาไปชวนนี้ชื่อคุณสมพร มนต์กันภัย รายนี้ฝันล่วงหน้าก่อนที่คุณปวีญาจะไปพบ ฝันว่ามีคนมาบอกให้สร้างองค์พระ รุ่งเช้าคุณปวีญาก็ได้ไปบอกบุญสร้างองค์พระจริงๆ โดยถามคุณสมพรว่า "ได้สร้างพระประจำตัวหรือยัง น่าจะสร้างไว้นะ อย่างน้อยสักหนึ่งองค์ก็ดี" คุณสมพรฟังแล้วก็มีศรัทธา เต็มใจทำบุญทันที เพราะเหตุการณ์นั้นตรงกับความฝัน


รายที่สาม ชื่อคุณดวงพร เป็นนักโภชนาการในโรงพยาบาลนครนายก เมื่อได้ฟังคุณปวีญาชวนทำบุญ ก็ได้ชี้แจงว่าได้นำเงินไปใช้ในเรื่องอื่นก่อนหน้าเสียแล้ว แต่เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม คุณดวงพรได้โทรศัพท์ให้คุณปวีญาไปพบ และบอกว่าได้เอาเงินไปซื้อเครื่องประดับมาชิ้นหนึ่งราคาสองหมื่นบาท พอนำไปให้ร้านเพชรดู เขาตีราคาเพียง ๘ พันบาท คุณดวงพรจึงนำไปคืนกับทางร้านที่ซื้อมา ทางร้านหักเงินถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ได้เงินคืนมาหนึ่งหมื่นห้าพันบาท คุณดวงพรจึงขอทำบุญสร้างองค์พระโดยจะขอขับรถมาทำบุญที่วัดด้วยตนเอง


รายที่สี่ ชื่อแพทย์หญิง ธิติมา เหล่าศิริรัตน์ แพทย์สูติกรรมของโรงพยาบาล คุณปวีญาทราบจากคุณรุ่งอรุณ มงคลวงศ์ ซึ่งต้องการเงินไปทำบุญเหมือนกัน แต่ยังไม่มีพอจะทำบุญ คุณปวีญาจึงถามว่าพอทราบไหมว่ามีใครบ้างที่กำลังคิดจะทำ คุณอรุณก็บอกชื่อต่างๆ รวมถึงชื่อแพทย์หญิงธิติมาด้วย เมื่อคุณปวีญาไปพบ เธอไม่อยู่ คุณปวีญาเลยนำเงินทำบุญเท่่าที่สามารถชวนได้ ๕ รายส่งไปที่วัด ตอนเย็นคุณปวีญาโทรศัพท์ไปชวนแพทย์หญิงธิติมาให้สร้างพระ ซึ่งเธอก็เต็มใจทำบุญ และบอกให้ไปรับเงินได้เลย และยังบอกอีกว่า เพิ่งจะมีเงินในเย็นวันนั้น หากมาตอนเช้าก็ยังไม่มีเงินให้


คุณปวีญายืนยันว่านับแต่นั้นมา ได้ร่วมทำบุญเอง และชวนคนอื่นๆ ให้มาทำบุญสร้างองค์พระได้ทั้งหมดเกินกว่า ๔๐ องค์ รู้สึกภูมิใจมากที่ตนเองได้มีส่วนร่วมในการสร้างมหาธรรมกายเจดีย์


สำหรับเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดกับเธอนั้น มีเหตุการณ์ดังนี้


วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๑ เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ได้นั่งสมาธิและสวดบทสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุตามในเทปแล้ว เธอนึกในใจว่า วันนี้ต้องท่องจำบทสวดให้ขึ้นใจให้ได้ ถ้าท่องไม่ได้จะไม่ลุกจากเตียง ในที่สุดก็ท่องได้สำเร็จ ตลอดวันนั้นพยายามท่องทบทวนอยู่เสมอ ตอนเย็นเพื่อนโทรศัพท์มา ขอยกเลิกนัดที่จะไปต่างจังหวัด เธอจึงอยู่บ้านกับมารดาซึ่งอายุมากแล้ว ซึ่งคุณปวีญาก็ได้ชวนท่านสวดบทสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ ๓ จบ ปกติแล้วคุณปวีญาจะนอนแต่หัวค่ำ เช้ามืดจะตื่นขึ้นมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ


ในวันนั้น คุณปวีญานอนหลับไป เป็นเวลาประมาณ ๓ ทุ่มมีพยาบาลรุ่นน้องมาปลุกเรียกเพื่อนำของมาให้ พอกลับมานอนต่อก็นอนไม่หลับ เลยลุกขึ้นมานั่งสมาธิประมาณ ๓๐ นาที เธอได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ไฟไหม้ ไฟไหม้ เธอตกใจรีบวิ่งลงจากบ้านมาดู บ้านที่พักของเธอเป็นบ้านสองชั้น ชั้นบนเป็นไม้ มีห้องติดกันเป็นแถวยาว ๖ ห้อง บ้านต้นเพลิงอยู่ที่ห้องที่สอง ห้องของคุณปวีญาอยู่ที่ห้องที่ ๖ ห้องที่มีไฟลุกนั้นไม่มีคนอยู่ ผู้คนพยายามเข้าไปดับไฟก็ไม่สามารถเข้าไปได้ รถดับเพลิงมา ๓ คัน แต่ปริมาณน้ำไม่เพียงพอที่จะดับไฟได้ ไฟยิ่งลุกโหมมากขึ้น


คุณปวีญาเรียกแม่ บอกท่านว่า "เอาแต่ตัวกับสตางค์เท่านั้นนะแม่ ไม่ต้องห่วงข้าวของอย่างอื่น" คุณปวีญาเองก็หยิบถุงผ้า ซึ่งมีกระเป๋าสตางค์ รูปภาพของพระมหาสิริราชธาตุ และหนังสืออานุภาพพระมหาสิริราชธาตุเล่ม ๗ อยู่ในถุงนั้น มีของติดตัวออกมาเพียงเท่านั้น ผู้เป็นแม่สวดมนต์ตลอดเวลา ส่วนคุณปวีญาก็นึกถึงแต่พระมหาสิริราชธาตุ หลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์ว่า ขอให้ช่วยลูกด้วย ขณะพามารดาออกมาอยู่หน้าห้อง เพื่อจะลงจากบ้าน มีคนขนของหนีไฟผู้หนึ่งทำแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งหล่น แล้วก็รีบไปโดยไม่สนใจที่จะเก็บกระดาษแผ่นนั้น


คุณปวีญาก้มลงเก็บมาดู เห็นเป็นธงรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่ใช้โบกในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ที่วัดพระธรรมกาย เธอรีบถือธงไว้แน่น นึกถึงวันที่ชูธงที่วัด เธอหยิบธงชูขึ้น หันหน้าไปทางไฟที่กำลังไหม้มา แล้วโบกสบัดธงไปมา นึกให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย พร้อมทั้งตะโกนออกเสียงดังๆ แต่ไฟก็ไม่มีท่าว่าจะลดกำลังลงเลย กลับลุกลามมาทีละห้อง


ในใจของเธอขณะนั้นคิดว่า "ทั้งพระมหาสิริราชธาตุ หลวงพ่อทั้งสอง ทั้งคุณยาย ต้องช่วยเราได้ซิ ต้องช่วยได้แน่ๆ เราไม่เชื่อว่าท่านจะไม่ช่วย แต่เพราะว่าเราตื่นเต้นตกใจ ใจไม่สงบสับสนวุ่นวาย จึงติดต่อกับท่านไม่ได้"


พอคิดได้ดังนี้จึงเดินหลีกผู้คนมานั่งหลับตาวางใจนิ่งที่ศูนย์กลางกาย อธิษฐานจิตถึงพระมหาสิริราชธาตุ บารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งสองและคุณยายอาจารย์ "ท่านต้องทำได้ ท่านต้องทำได้ ท่านต้องทำได้ ช่วยได้ ช่วยได้ซิ ท่านทั้งสี่ต้องช่วยได้" หลับตานึกอยู่อย่างนั้น กระทั่งมีเสียงคนร้องขึ้นว่า "ไฟดับแล้ว ไฟดับแล้ว"


เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ระยะทางอีกช่วงแขนเดียวจะถึงห้องของคุณปวีญา ไฟดับไปได้เองเป็นอัศจรรย์


ที่พักทั้ง ๖ ห้อง เหลืออยู่ห้องเดียว อยู่สมบูรณ์ทุกอย่าง แม้แต่หลังคา ซึ่งเป็นหลังคาเดียวยาวติดต่อกัน ไฟก็หยุดไหม้เมื่อใกล้ถึงห้องพักคุณปวีญา ข้าวของในห้องพักซึ่งไม่ได้ขนไปไหนเลย ก็อยู่ปกติ


ไฟดับลงแล้ว เหลือถ่านสีแดงอยู่บางแห่ง ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างพากันมารุมถามคุณปวีญา "คุณมีของดีอะไร มีพระดีอะไร มีของศักดิ์สิทธิ์อะไร ฯลฯ" แล้วแต่จะถามกันไปต่างๆ บางคนเห็นคุณปวีญาโบกกระดาษอะไรสีเหลืองๆ ร้องให้หลวงพ่ออะไรไม่รู้มาช่วย จึงพากันมาดูกระดาษของธงภาพหลวงพ่อวัดปากน้ำ ต่างพากันคิดว่า ธงผืนนี้เองศักดิ์สิทธิ์มากจนห้ามไฟได้


แต่คุณปวีญาทราบดีว่า ธงเป็นเพียงเครื่องเตือนสติ ให้เธอนึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหาสิริราชธาตุ นึกถึงบารมีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์ กระแสใจของเธอที่นึกถึง เป็นสื่อดึงดูดพลังบุญจากแหล่งกำเนิด คือพระนิพพาน ผ่านมาทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น พลังบุญนั้นเองมีอานุภาพต้านทานภัยพิบัติทั้งปวงได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภัยร้ายแรงขนาดไหน ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุทางเรือบิน ทางรถ ทางเรือ หรือแม้จากคนร้าย สัตว์ร้าย ฯลฯ บุญปกป้องให้แคล้วคลาดได้เป็นอัศจรรย์ ดังที่ทราบข่าวกันอยู่


อันที่จริง เรื่องของคุณปวีญา อุจวาที รายนี้ บุญได้ปกปักรักษามาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุไฟไหม้ บันดาลให้เพื่อนโทรศัพท์เลิกนัดไปต่างจังหวัดในตอนเย็น บันดาลให้นอนหลับหัวค่ำไปแล้ว เพื่อนรุ่นน้องนำของมาให้ ทำให้ต้องตื่นมาต้อนรับ บันดาลให้ตื่นแล้วนอนต่อไม่หลับ จึงนั่งทำสมาธิต่อ เสมือนเติมพลังบุญเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นพอมีคนตะโกนว่า ไฟไหม้ จึงเตรียมตัวได้ทันเหตุการณ์


หากไปต่างจังหวัดกับเพื่อน ปล่อยให้มารดาผู้ชราอยู่บ้านตามลำพัง ไม่มีใครอธิษฐานจิตอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยดับไฟอย่างที่คุณปวีญากระทำ อะไรจะเกิดขึ้น ใครจะปลุกคุณแม่ ไฟลุกถึงห้อง ใครจะช่วยท่าน หรือหากคุณปวีญาไม่ได้ไปต่างจังหวัดก็จริง แต่นอนหลับสนิทตอนหัวค่ำตามปกติเหมือนทุกคืน ไฟไหม้ขึ้นแล้ว จะตื่นตอนไหน โชคดีที่มีผู้มาเรียกให้ตื่นตอน ๓ ทุ่ม ทำให้นอนต่อไม่หลับ เหมือนตื่นมาคอยรับเหตุการณ์พอดี


มองดูแล้ว เหมือนเหตุการณ์บังเอิญ ตามความเป็นจริงเป็นด้วยแรงบุญบันดาลทั้งสิ้น บุญคือกรรมชนิดหนึ่ง เรียกว่ากุศลกรรม เป็นกรรมฝ่ายดี มีอำนาจส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าของรับแต่เรื่องดีๆ ตรงข้ามกับบาปอกุศล อันเป็นกรรมชั่ว ซึ่งใครทำกรรมชนิดนี้เอาไว้ กรรมชั่วก็จะคอยส่งผลให้เจ้าของทำนองเดียวกัน


เพียงแต่ปุถุชนธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆ ไม่สามารถทราบได้ว่า กรรมชนิดไหนจะให้ผลเวลาใด ในลักษณะอย่างไร เพราะเป็นเรื่องของกรรมวิสัย คนธรรมดารู้ไม่ได้


อย่างไรก็ดี มีสิ่งที่ทุกคนสามารถรู้ได้อย่างดียิ่งอยู่ประการหนึ่งคือ หากเราไม่ทำกรรมชั่วเลยแม้แต่น้อยนิด ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่กุศลกรรมความดีงามอยู่อย่างเดียว เป็นอาจิณกรรม เวลาถึงคราวกรรมส่งผลจะมีความชั่วที่ไหนมาเป็นเหตุให้เดือดร้อน ย่อมมีแต่กรรมดีส่งผลอยู่อย่างเดียว จะเกิดอีกสักกี่ชาติ กี่ครั้งกี่หน ก็ไม่ยอมทำชั่วเลยเป็นอันขาด ชีวิตเมื่อมีแต่กรรมดีส่งผล ย่อมสร้างบุญสร้างบารมีเพิ่มเติมได้สะดวกง่ายดาย ไร้อุปสรรคขวากหนาม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมได้ในที่สุด

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล