วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ เทศกาลแห่งความรัก

ข้อคิดรอบตัว

เรื่อง : พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ ( M.D.;Ph.D.)
จากรายการข้อคิดรอบตัว ออกอากาศทางช่อง DMC

 



 

เทศกาลแห่งความรัก

          ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลแห่งความรัก อยากจะกราบเรียนถามความคิดเห็นในเรื่องของความรัก

          ความรักเป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนอย่างมาก เราจะเห็นว่า บทเพลงหรือบทกวีส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักความใคร่ ยิ่งคนในวัยหนุ่มวัยสาวแล้วละก็ อารมณ์ในเรื่องนี้แรงเป็นพิเศษ

          พูดถึงเรื่องความรัก ยังจำได้สมัยเรียนมัธยมมีบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ กล่าวไว้ว่า "ความเอ๋ยความรัก เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง อย่าอำพราง ตอบสำนวนให้ควรที่ ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย"Ž และมีคำกลอนอีกกลอนหนึ่งที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องความรักดีเหมือนกัน เขาบอกว่า "จะหักอื่นฝืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ"Ž 

          บางคนถ้าผิดหวังอกหักแล้วละก็ มองฟ้า ฟ้าก็หม่น มองดิน ดินก็เศร้า ต้นไม้ใบหญ้าดูแย่ไปหมด อารมณ์จะเกาะอยู่กับเรื่องนั้น ตัดใจไม่ขาดเลย ส่วนคนที่รักกันชอบกัน ถึงจะห่างกันไปเป็นปี ๓ ปี ๕ ปี ไปอยู่ต่างประเทศ อยู่ต่างถิ่นต่างแดน ก็ยังมีความอาลัยรักถึงกัน อารมณ์รักเป็นอารมณ์ที่มีพลานุภาพค่อนข้างรุนแรงทั้งทางบวกและทางลบ ถ้าผิดหวังบางทีก็ทำเรื่องร้าย ๆ ได้ ดังที่มีข่าวคราว กันอยู่เสมอ จากความรักเป็นความแค้น ก็แค่เส้นใย เดียว มันพลิกเลยเหมือนกัน

          อารมณ์รักนี้ ศัพท์บาลีใช้คำว่า "สิเน่หา"Ž เรามาแปลเป็นไทยว่า "เสน่ห์Ž" ถ้าใจเกาะอารมณ์นี้เมื่อไร จะคล้าย ๆ ลิงติดตัง คือเวลาเขาจะจับลิง เขาจะเอาตังซึ่งเป็นยางไม้เคี่ยวจนข้นเหนียวหนึบไปวางเอาไว้ แล้วทำเป็นเอามือไปจับ ๆ สักพักก็เดินไป ลิงชอบเลียนแบบคน พอคนเดินหลบไป มันจะมาลองแตะดู พอแตะมือแรกติดตังดึงไม่ออก มันก็เอา อีกมือหนึ่งมายัน เพื่อจะดึงมือแรกออก เลยติดทั้ง ๒ มือ คราวนี้เอาขาช่วยอีกขา ติดอีก เอาอีกขามายันก็ติดอีก คราวนี้เอาหัวไปยัน แป๊บเดียวทั้ง ๒ มือ ๒ เท้า และหัว ติดอยู่ตรงนั้นเอง ชาวบ้านก็ออกมาจับไปล่ามโซ่ เป็นลิงเลี้ยงสบายไปเลย นี่แหละคือ ลิงติดตัง

          อารมณ์รักก็เหมือนกัน ปกติใจคนเราจะวิ่งไปในอารมณ์ต่าง ๆ เดี๋ยวคิดเรื่องนั้น เรื่องนี้ แต่พอเจออารมณ์รักเมื่อไรกลายเป็นลิงติดตัง หลับตาลืมตาฝ่ายหนุ่มเห็นแต่หน้าสาวลอยมา ฝ่ายสาวเห็น แต่หน้าหนุ่มลอยมา คิดเรื่องอื่นไม่ออกแล้ว ไปไหน ก็เห็นแต่หน้าเขาลอยมา ใจมันวนอยู่กับอารมณ์นี้ นี่คือสิเน่หา แปลว่า ยางเหนียว อารมณ์สิเน่หาไม่ธรรมดา เพราะฉะนั้นระวังอย่าให้เป็นลิงติดตัง แล้ว ก็ถูกจูงไปในทางที่ไม่ดีก็แล้วกัน

          ความรักที่จะเกิดผลดีต้องเปลี่ยนพลังขับเคลื่อน ที่รุนแรงให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ให้ได้ จะต้องไป คู่กับความรับผิดชอบ ถ้าปล่อยให้อารมณ์สิเน่หาดึง เราเตลิดไป จะเกิดผลเสียได้เยอะ แต่ถ้าความรักเกิด คู่กับความรับผิดชอบ เราสามารถเปลี่ยนอารมณ์นี้ไปในทางสร้างสรรค์ได้ มีพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งท่านฟังเรื่องนี้มาจากพระอาจารย์ของท่าน ซึ่งเคยเป็นอุปัฏฐากหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านเล่าว่า นายห้างสวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์ ซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ประสบความ สำเร็จมาก ตอนยังหนุ่มมีฐานะธรรมดา แต่ฝ่ายภรรยา คือคุณหญิงล้อม เป็นลูกเจ้าสัวมีฐานะดีมาก ทั้งสองเกิดพึงใจกัน แต่ว่าผู้หญิงสมัยก่อนจะทำอะไรก็ต้องฟังคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ไปหาหมอดู หมอดูทุกคนบอกว่าแต่งไม่ได้ แต่งแล้วจะแย่ จะล่มจม อะไรต่าง ๆ นานา แต่คุณพ่อคุณแม่ของฝ่ายหญิงไปกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงปู่ว่าจะเอาอย่างไรดี พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านหลับตานิ่ง ๆ พักเดียว ท่านบอกว่า แต่งแล้วจะรวย สวนกระแสหมอดูทั้งหมด

          ความที่คุณพ่อคุณแม่ฝ่ายหญิงเคารพหลวงปู่มาก ก็เลยอนุญาตให้แต่ง ฝ่ายหญิงฐานะดี ฝ่ายชาย ธรรมดา แต่พอแต่งแล้ว จากความรักที่มาพร้อมกับ ความรับผิดชอบ ฝ่ายชายรู้สึกว่า ฝ่ายหญิงเหมือนดอกฟ้าโน้มกิ่งมาหาเรา ให้เกียรติเราขนาดนี้ เรา ต้องทุ่มเททำงานอย่างหนัก วิริยอุตสาหะรับผิดชอบ ครอบครัว ให้เกียรติฝ่ายหญิงตลอดชีวิต ฝ่ายหญิงเองก็เป็นหญิงแม่ศรีเรือน ฝ่ายชายหาทรัพย์มามอบ ให้ฝ่ายหญิงดูแล ให้เป็นใหญ่ในบ้าน ฝ่ายหญิงก็จัดการดูแลทุกอย่างอย่างดี เอาเงินไปซื้อที่ซื้อทาง ลงทุนทุกอย่างจนเจริญงอกงามขึ้นมา สุดท้ายกลาย เป็นมหาเศรษฐีเลย นี่คือการเปลี่ยนพลานุภาพของ ความรักที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ ให้เป็นพลัง ขับเคลื่อนไปสู่ความวิริยอุตสาหะในการสร้างฐานะ แต่ถ้าเป็นความรักแบบหนุ่ม ๆ สาว ๆ วูบวาบไปชั่วคราว บางทีผ่านไปคืน ๒ คืน ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร อย่างนี้แย่แน่ ๆ

          เพราะฉะนั้นอย่าดูเบาเรื่องความรัก เพราะถ้า เกิดขึ้นมาแล้วฤทธิ์เดชมันมากเหลือเกิน พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้เลยว่า สิเน่หาคือยางเหนียว ปึ๊บเดียวติด อารมณ์นั้นเลย ไม่หลุดไปอารมณ์อื่น รู้อย่างนี้แล้ว อย่าเผลอใจ เรื่องนี้มันมีจุดเริ่มต้น ให้ระวังตัวไว้ไม่ให้ ถลำลงไป เพราะถ้าถลำใจไปแล้วจะรั้งกลับยากมาก บางทีหอบข้าวหอบของหนีตามกันไปก็ยังมี ทิ้งพ่อทิ้งแม่ไปด้วยกันเลย เพราะรั้งอารมณ์กลับมาไม่ไหว ที่สำคัญคือระวังอย่าให้ถลำลงไป วัยเรียนต้องเรียน อย่าเพิ่งไปยุ่งกับเรื่องนี้ คอยให้จบก่อน

          ฟังอย่างนี้บางท่านอาจจะบอกว่าเชย เอาเถิดใครเขาจะว่าเราเชยปล่อยเขาไป ถ้าเรารู้จักเวลา รู้จักวัย นึกถึงคุณพ่อคุณแม่ นึกถึงอนาคตเยอะ ๆ แล้วเราจะเป็นคนที่มีค่า และประสบความสำเร็จในชีวิตการครองเรือนในอนาคต แต่ถ้าคนไหนปล่อยใจ ให้วูบวาบไปทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา ปล่อยไปตามอารมณ์ โดยไม่นึกถึงความรับผิดชอบ สนุกวันนี้เดี๋ยวจะต้อง น้ำตาตกวันหลัง มองไกล ๆ รอให้ถึงเวลา ให้เราโต พ้นวัยการศึกษาเสียก่อน

ช่วงนี้มีกระแสการซื้อของขวัญให้กับคนรัก อย่างนี้จะมีผลดีกับเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง

          ถ้ามีการซื้อข้าวซื้อของ ในแง่ของเศรษฐกิจส่วนรวมอาจจะดีขึ้น แต่อย่าให้เศรษฐกิจส่วนตัวแย่ลง อย่าไปกู้หนี้ยืมสินมาซื้อของขวัญก็แล้วกัน การซื้อ ของขวัญให้คนที่เรารัก ซื้อได้ แต่เป้าหมายควรเป็น การแสดงให้เขารู้ว่าเราแคร์เขา เรามีน้ำใจนึกถึงเขา เป็นตัวหลัก ไม่ใช่ซื้อของแพงหรือเกินฐานะ บางคน บอกว่าเรื่องนี้เท่าไหร่เท่ากัน ต้องทุ่มซื้อใจกัน ก็ ต้องถามต่อไปว่า เรามีเป้าอย่างไรกับคนที่เราติดต่อ สัมพันธ์ด้วย หวังจะเป็นคู่รักชั่วคราว หรือหวังจะเป็น คู่ชีวิตครองเรือนร่วมกันในระยะยาว ถ้าไม่ได้หวังหวือหวาชั่วคราว หากเราแสดงความมีน้ำใจ ความระลึกนึกถึงของเราที่มีต่อเขา เขาก็น่าจะพอใจแล้ว ถ้าหากว่าเขาจะพอใจต่อเมื่อต้องซื้อของแพง ๆ ให้ ยิ่งแพงยิ่งดี แสดงว่าเขาไม่ใช่คนรับผิดชอบจริง อย่างนี้ขืนมาเป็นคู่ชีวิตกัน ในอนาคตท่าทางจะลำบาก ควรเป็นของที่สมฐานะ ไม่เกินตัว แต่เรา สามารถเพิ่มคุณค่าได้โดยเติมน้ำใจลงไป เช่น เวลา ให้ของเขา เราก็เขียนการ์ดโดยใช้คำที่สื่อถึงความระลึกนึกถึง ความสำคัญที่เขามีต่อเรา เติมแค่นี้ของ ธรรมดา ๆ อาจจะกลายเป็นของมีค่าขึ้นมา มันไม่ได้อยู่ที่ราคา ไม่ใช่การซื้อวัตถุ แต่เป็นเรื่องจิตใจ เป็นหลัก

ตอนนี้วัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาในประเทศเรามาก รวมถึงเรื่องของวันแห่งความรักด้วย อยากทราบความคิดเห็นของพระอาจารย์

          ความรักเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ซึ่งคนโดยทั่วไปยังมีเรื่องนี้อยู่ ไม่มีวันอะไรก็จ้องจะหาโอกาสอยู่แล้ว พอมีวันอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ได้จังหวะเลย ไม่เฉพาะวันวาเลนไทน์หรอก แม้แต่วันลอยกระทง กระแสก็เริ่มขึ้นมา ขอให้มีวันอะไรสักอย่างเถิด เป็น เหตุอ้างได้ จะได้มีจังหวะ คนทั้งโลกไม่เฉพาะประเทศไทย พร้อมจะไปตามกระแสกิเลสนี้อยู่แล้ว วันอะไรที่อิงกระแสกิเลสของคนก็สามารถจะบูมได้ไม่ยาก จะบูมขึ้นมาใหม่อีกสักวันก็ยังได้ ใครจะสนุกเพลิดเพลินไปตามเทศกาลบ้างก็โอเค แต่ต้องอยู่คู่กับความรับผิดชอบเสมอ เราต้องรับผิดชอบตัวเราเองให้ได้ อย่าให้เตลิดไปตามแรงของอารมณ์

มีมุมมองในเรื่องความรักแบบครอบครัว พ่อ แม่ ลูก อย่างไรบ้าง

           จะเป็นความรักของคุณพ่อคุณแม่ซึ่งถือเป็นคู่รักที่เริ่มมีความสูงวัยขึ้น หรือความรักระหว่างคุณพ่อ คุณแม่ต่อลูก ลูกต่อคุณพ่อคุณแม่ หรือพี่กับน้องก็ตาม หมู่ญาติก็ตาม ลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์ก็ตาม ถ้าทำให้คนที่เราสัมพันธ์ด้วยรู้สึกว่าเราแคร์เขา นึกถึงเขา ห่วงความรู้สึกของเขา แค่นี้ก็เกิดความอบอุ่นขึ้น ในจิตใจแล้ว ถ้าทุกคนในครอบครัวแคร์ความรู้สึก ซึ่งกันและกัน แล้วอีกฝ่ายก็รู้สึกว่าทุกคนในบ้านแคร์ ตัวเขา แค่นี้สายใยของจิตใจเกิดขึ้นแล้ว แต่ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่สนใจกันเลย ต่างคนต่างไป ต่อให้นอน บ้านเดียวกัน ห้องเดียวกัน มันก็แห้งแล้ง เพราะฉะนั้น ขอให้สื่อตรงนี้ออกมาให้ได้ว่า เราแคร์เขา เราห่วงใย ความรู้สึกของเขา ระลึกนึกถึงเขา การมอบข้าวของ อะไรต่าง ๆ เป็นแค่การแสดงออกทางวัตถุส่วนหนึ่ง เท่านั้น เป็นตัวประกอบที่ผิวเผิน แต่ที่สำคัญคือเรื่อง ของจิตใจ ยิ่งคนใกล้ ๆ กัน เจอกันบ่อย ๆ อยู่ด้วย กันทุกวันอย่างนี้ อากัปกิริยาที่เราแสดงออก สิ่งที่เรา ปฏิบัติต่อกันจะสามารถสื่อสิ่งนี้ได้ดีที่สุด แค่เจอหน้าก็ยิ้มให้ มีความเอื้ออาทรเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับถึงบ้านเอาน้ำเย็นให้สักแก้วหนึ่ง ช่วยถือกระเป๋าให้ เปิดประตูบ้านให้ มีการพูดคุยทักทายบ้าง แค่นี้ก็ สร้างความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาแล้ว

นอกจากความรักความหวังดีแล้ว ยังมีอะไรที่เราควรจะมอบให้กันอีกหรือไม่

          เริ่มจากสายใยความผูกพัน การแคร์ความรู้สึก ของกันและกันแล้ว ก็มาถึงขั้นของการ เอื้อประโยชน์ กัน ให้กำลังใจกัน ว่าเราจะช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ ซึ่งกันและกันได้อย่างไร เช่น ลูก ๆ ก็ช่วยงานบ้าน แบ่งเบาภาระพ่อแม่บ้าง แม้ไม่มาก แต่พ่อแม่จะรู้สึก ว่าเราแคร์ท่าน ทำให้ท่านมีกำลังใจที่จะทุ่มเททำงานต่อไป แล้วพ่อแม่เองก็ห่วงลูก แคร์ลูก แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี ถ้าพ่อแม่รักลูกจนกระทั่งเจ้ากี้เจ้าการกำหนดทุกอย่างให้ลูกหมด จนลูกไม่สามารถทำสิ่งที่ตัวเองต้องการได้เลย ลูกก็จะอึดอัด และรู้สึกว่าความรักของพ่อแม่มากเกินไป อันนี้ไม่มีใครชอบแน่นอน เพราะทุกคนต้องการมีอิสระทางความคิด ต้องปรับกันให้ดี

          ถามว่ามีวิธีการปรับอย่างไร ก็ต้องให้เหตุผลสะกิดให้ได้คิด ถ้าพ่อแม่บอกว่าสอนลูกยากเหลือเกิน เคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าเราทำบางอย่างไม่ค่อยเข้าท่า แล้วลูกเขาอยากจะบอกเรายากกว่าไหม ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา วิธีการหลักก็คือ เราจะแนะอะไรใคร อย่างไรก็ตาม อย่าทำให้เขาเสียศักดิ์ศรี รู้สึกถูกหมิ่นเกียรติ อย่างนี้ไม่ได้ผล ต้องอยู่บนพื้นฐานของ ความรักและความหวังดี เพราะฉะนั้นเราจะต้องระมัดระวังให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวเรากระทบกระเทือน น้ำใจน้อยที่สุด ถ้าหากจะแนะอะไรใคร ก็สะกิด ในรูปแบบที่เหมาะสม พอให้เขาได้คิดนิด ๆ

          ยิ่งถ้าเป็นคนมีปัญญามาก ไปบอกตรง ๆ เขา ไม่ชอบ อาจจะต้องใช้วิธีการเหมือนพระพุทธเจ้าสอน พระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านมีปัญญามาก พอฟัง ธรรมจบบริวารเป็นพระอรหันต์หมด แต่พระสารีบุตร ยังเป็นแค่พระโสดาบัน ต้องอีก ๓ เดือน กว่าจะได้ เป็นพระอรหันต์ และเป็นตอนฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ สอนคนอื่น ตรองตามปั๊บบรรลุธรรมเลย การสอนคน มีปัญญาก็เหมือนกัน บางทีเรากำลังบอกคนอื่น แล้ว เผอิญมันเป็นเรื่องที่สะกิดใจเขาให้ได้คิดขึ้นมา เหมือน กับเขาคิดเอง ถ้าเขารู้สึกว่าเขาคิดได้เอง ปัญหาจะน้อย ผลกระทบจะน้อย

ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันขึ้น จะมีวิธีขอโทษ หรือปรับความเข้าใจกันอย่างไร ให้บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น

          เนื่องจากอารมณ์รักมันแรงเหมือนรถวิ่งเร็ว ๆ เวลาเกิดอุบัติเหตุมันจะแรง หน้ารถยุบพังไปเลย คนเราเวลามีอารมณ์รักก็หวานแหววเลย แต่พอเกิด อะไรขึ้นมาปุ๊บ รู้สึกเหมือนกับว่าแก้วมันร้าวไปแล้ว ชาตินี้คงยากจะประสานกันได้เหมือนเดิม แต่ว่า จริง ๆ แล้ว จะประสานกันได้หรือไม่มันขึ้นอยู่กับใจ ถ้าใจเกาะติดกับความรู้สึกเดิม ๆ ก็เหมือนกับแก้วร้าว ประสานแล้วไม่เหมือนเดิม แต่ถ้าใจโปร่ง ไม่ได้ยึดติดกับเรื่องนั้น ก็พร้อมจะประสานให้เหมือน เดิมได้ แก้วร้าวไปเข้าโรงงานหลอมมาเป็นแก้วใบใหม่ มีรอยร้าวไหม ไม่มี เพราะฉะนั้นจะเป็นอย่างไรก็สุดแท้แต่ใจของคุณ ถ้าใจใสสว่าง แล้วไม่ถือสาความ ผิดพลาดในเรื่องที่ผ่าน ๆ มา ทุกอย่างก็จะเป็นเรื่องเล็ก หัวใจหลักอยู่ตรงนี้ ดีที่สุดคือชวนกันเข้าวัดปฏิบัติธรรม ให้เป็นคู่บุญคู่บารมี รู้จักเรื่องบุญกุศล เรื่องการทำความดี มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเหมือนกันดีกว่า ชีวิตครอบครัวจะเจริญก้าวหน้า หน้าที่การงานทุกอย่างดีหมด อย่างนี้ถึงจะดี เจริญพร

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ 112 กุมภาพันธ์ ปี2555

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล