วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ คนมีความรู้ถูกหลอกง่ายจริง ๆ หรือ ?

ทันโลก ทันธรรม
เรื่อง : พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D., Ph.D.) จากรายการทันโลก ทันธรรม อกอากาศทางช่อง DMC

 

 

 

    หัวเรื่องวันนี้ ทำไมคนมีความรู้ถึงถูกหลอกง่าย ดูเผิน ๆ คนมีความรู้น่าจะหลอกยาก คนความรู้ น้อยน่าจะหลอกง่าย

           คนมีความรู้ถูกหลอกง่ายจริง ๆ หรือ ?
           ต้องบอกว่าจริงในบางแง่มุม เพราะการตัดสินใจของคนเรา ตัดสินใจจาก ๒ อย่าง อย่างแรก คือตัดสินใจจากความคิด จากหลักตรรกะ การตรองเหตุตรองผล อีกอย่างหนึ่ง ตัดสินใจโดยสี่งที่ตนสัมผัสได้ จากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต

           คนมีความรู้ได้รับการศึกษามามาก มีแนวโน้ม ที่จะตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ จากหลักตรรกะ การตรองเหตุตรองผล มากกว่าคนที่มีความรู้น้อย การตรองเหตุตรองผลก็อยู่ที่ว่ามีใครชี้นำ หรือเปล่า ถ้ามีผู้ชี้นำที่ให้เหตุผลแบบไม่รอบด้าน ให้เพียงบาง มุม แต่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้เหตุผลเหมือนนักโฆษณาชวนเชื่อ คือ ให้เหตุผลบางด้าน ทำให้คนฟังรู้สึกดี รู้สึกมีเหตุมีผล ก็จะคล้อยตาม นี่คือ การตัดสินใจแบบใช้เหตุใช้ผล แต่ถ้าเป็นเหตุผลไม่รอบด้าน ก็เลยกลายเป็นถูกเขาจูงไป เหมือนสี่งที่เคย เกิดขึ้นจรีงแล้วในโลก เช่น ระบอบคอมมิวนิสต์ เหตุผลครั้งแรกดูดี คือ ในช่วงที่สังคมเรี่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นมา มากมาย เจ้าของโรงงานก็ค่อน ข้างจะหวังกำไรมาก รับคนงานเข้ามาก็ให้เงินเดือนนิดเดียว อยู่กันลำบาก ลำบน แต่เจ้าของรวยขึ้น ๆ คาร์ล มาร์กซ์ คนคิดระบอบคอมมิวนิสต์ขึ้นมา ก็เลยคิดว่า ชนชั้นกรรมาชีพ (ชนชั้นคนงาน) ต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติ ต่อมา ก็มีการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ แล้วก็ยึดโรงงาน จากนายทุนเอามาแบ่งปันกัน กำไรมีเท่าไรคนงานก็แบ่งกันเอง ทุกคนก็ได้กันอย่างเสมอภาค ไม่มีนายทุนเข้ามากดขี่ขูดรีด

           ซึ่งก็ฟังดูดี แล้วก็มีคนเชื่อตามคาร์ล มาร์กซ์ มากทีเดียว โดยเฉพาะปัญญาชน จนสุดท้ายสามารถ ปฏิวัติรัสเซีย ให้กลายเป็นประเทศแรกที่ปกครองด้วย ระบอบคอมมิวนิสต์ แล้วก็แพร่ระบาดไปจีน คิวบา เกาหลี เวียดนาม
และประเทศต่าง ๆ ครึ่งค่อนโลก กว่าจะพิสูจน์ความจริงว่า ระบอบคอมมิวนิสต์นี้ ไม่เวิร์ก ประเทศสหภาพโซเวียตก็ต้องล่มสลายกลายเป็น ๑๕ ประเทศ จนถึง ณ เวลานี้ ทั้งโลกแทบไม่มีใครเชื่อแล้วว่า ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ จะสามารถเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจได้จริง แม้ยังมีบางประเทศ ที่ยังปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์อยู่ เช่น จีน เวียดนาม แต่ก็หันมาพัฒนาเศรษฐกิจด้วยระบอบทุนนิยมทั้งสี้น แต่ด้านการเมืองยังไม่เปิดกว้าง พรรคคอมมิวนิสต์ยังผูกขาดการปกครองประเทศ

           ถามว่าอะไรคือความบกพร่องของแนวคิดคอมมิวนิสต์ หลักสำคัญอย่างหนึ่งที่เขามองข้ามไป คือ เรื่องของแรงจูงใจ พอทุกคนทำอะไรแล้วได้เท่ากันหมด คนจะมีแรงจูงใจอะไรในการทำงาน ทำงานมากก็ได้เท่าเดิม ทำงานน้อยก็ได้รับผลตอบแทนเท่าเดิม คนก็เลยไม่ค่อยทุ่มเทในการทำงาน ผลโดยรวมก็คือ การผลิตตกต่ำลง ระบบทุกอย่างแย่ไปหมด ดังนั้น เมื่อเตี้ง เสี่ยว ผิง มากอบกู้เศรษฐกิจประเทศจีน เรี่มใช้แนวคิดที่ว่า แมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้ก็แล้วกัน แล้วเรี่มเอาเศรษฐกิจระบบการตลาดเข้ามาใช้ เรี่มให้ประชาชน มีที่ดินส่วนตัว ใครปลูกอะไรได้ก็เอาไปขายเป็นสมบัติส่วนตัว ไม่ใช่ส่วนกลางแบบคอมมิวนิสต์ ปรากฏว่า ๒-๓ ปีผ่านไป ผลผลิตจากแปลงเล็ก ๆ ของแต่ละคนให้ผลมหาศาลจนแทบจะเลี้ยงคนทั้งประเทศได้ เพราะทุกคนทุ่มเททำเต็มที่ รู้ว่าทำแล้ว เป็นของตัวเอง นี่คือเรื่องแรงจูงใจ 

           ฟังเผิน ๆ ระบอบคอมมิวนิสต์ดีมาก ยุติธรรม เท่าเทียม คิดถึงประชาชนส่วนใหญ่ แต่ผลออกมาก็คือ ประชาชนทุกคนจนเท่ากันหมด ชนชั้นนายทุน หายไป มีอภิสิทธี์ชนเกิดขึ้น คือ ชนชั้นปกครองกลุ่มเล็ก ๆ กับอีกกลุ่ม คือ ประชาชนทั่วไปที่จนเหมือนกันหมด คนที่เห็นด้วยกับระบอบคอมมิวนิสต์ มากที่สุด ก็คือคนมีความรู้ เพราะฟังเหตุผลแล้วดูดี กว่าจะพิสูจน์ได้ผ่านไปตั้ง ๗๐ กว่าปี มีคนได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้หลายพันล้านคน นี่คือเรื่องจริง ที่เกิดขึ้น

           แล้วถ้ามองว่าหน้าที่ของรัฐบาลคืออะไร คือ การบริหารประเทศให้เจริญก้าวหน้าเป็นหน้าที่หลัก ถ้าหากมีใครมาบอกว่า รัฐบาลไม่ดี บกพร่องเรื่องนั้น เรื่องนี้ ความจริงก็คือ ทุกรัฐบาลในโลกนี้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มีข้อบกพร่องทั้งนั้น ไม่มีใครบริบูรณ์พร้อม แต่โดยภาพรวมถ้าบริหารประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ ประคองสังคมโดยส่วนรวมไปได้ ก็ถือว่าสอบผ่าน

           แต่ถ้าใครมาชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ดี ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ แล้วปลุกระดมประชาชนให้เห็นคล้อยตาม เกิดการแบ่งพวก แบ่งเหล่าขึ้นมาในสังคม แล้วมีการโจมตีกัน มีการแตกแยกเกิดขึ้น ก็จะเป็นตัวฉุดรั้งทำให้ประเทศถอยหลัง

           อย่างจีน เศรษฐกิจโตเร็วมากจนทั่วโลกผวา ๓๐ ปีที่ผ่านมา โตเฉลี่ยเกือบปีละ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่เคยมีใครในโลกนี้ทำได้มาก่อน แต่ถามว่ารัฐบาล จีนมีข้อบกพร่องไหม มี ถ้าปล่อยให้นักโฆษณา ชวนเชื่อเข้าไปในประเทศ
จีน แล้วไปปลุกระดมคนจีน ว่า รัฐบาลแย่อย่างนั้น อย่างนี้ แล้วไปหาจุดที่ประชาชนลำบากมาโจมตี แล้วปลุกให้คนจีนลุกขึ้น มาเดินประท้วงรัฐบาลให้เกิดความระส่ำระสายในประเทศ รับรองว่า ในเวลาเพียงแค่ปี ๒ ปี เศรษฐกิจ ประเทศจีนจะทรุดเลย ที่กำลังเจริญก้าวหน้าก็จะถอยหลังทันที เพราะฉะนั้น จะดูอะไรต้องดูภาพรวม แล้วก็มองว่า ประเด็นหลักที่ใช้ในการตัดสินใจคืออะไร เราถึงจะพบคำตอบ

           มองระดับประเทศแล้ว มามองระดับบุคคลบ้าง สมมุติในครอบครัวมีนักโฆษณาชวนเชื่อมาพูดคุยกับภรรยาให้เห็นว่า สามีซึ่งเป็นคนที่ใช้ได้ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เจ้าชู้ รักครอบครัว ขยันขันแข็งทำการงาน ดูแลครอบครัว เป็นอย่างดี แต่เผอิญเป็นคนพูดจาค่อนข้างจะโผงผาง แข็ง ๆ หน่อย แต่เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรกัน ซึ่งโดยทั่วไปไม่มีพ่อบ้านคนไหนสมบูรณ์พร้อม โดยภาพรวม อย่างนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่นักโฆษณาชวนเชื่อมาปลุกระดมภรรยาว่า พ่อบ้านคุณนี่แย่ พูดจาไม่นึกถึง หัวใจของฝ่ายหญิงบ้าง ไม่ถนอมน้ำใจกันเลย แย่มาก แล้วเขาก็พูดกรอกหู หาจุดเล็กจุดน้อยมาโจมตีทุกวัน จนกระทั่งแม่บ้านคล้อยตามว่าจริง ยี่งฟังยี่งเห็นว่าพ่อบ้านแย่ ข้อดีลืมหมดเลย เอาข้อเสียที่มีอยู่เล็กน้อยมาปลุกระดมบ่อย ๆ จนแม่บ้านหลงเชื่อ แล้ว ไปมองข้อบกพร่องซึ่งสมมุติว่ามีขนาดเท่ามด แต่เอา กล้องขยายมาส่องจนเห็นใหญ่เท่าช้าง ส่วนความดีที่มีอยู่ขนาดเท่าช้าง เอาเลนส์ย่อมาส่องให้เล็กลงเหลือเท่ามด แม่บ้านก็จะเห็นว่าพ่อบ้านตัวเองเป็นคนที่แย่มาก ความดีที่มีอยู่แค่กระผีกรี้น แต่ความบกพร่องใหญ่โตจนทนไม่ไหวต้องไปเซ็นหย่ากัน

           แล้วก็ไปแต่งงานกับคนใหม่ พ่อบ้านคนใหม่ ปากหวานมาก แต่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เจ้าชู้ งานการไม่ค่อยทำ เอ้า..แม่บ้านไปทำงานก็แล้วกัน แล้วฉันจะมาพูดเพราะ ๆ ให้ฟัง แต่ฉันก็จะไปกินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เจ้าชู้ ทุกอย่าง เอาหมด ซึ่งในชีวิตจริงก็สามารถเกิดสี่งนี้ขึ้นได้ ถ้าเราเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรเพียงแต่ฟังเหตุผลผ่าน ๆ เหตุผลที่ไม่รอบด้าน ไม่ได้คิดให้รอบคอบ แล้วก็คล้อยตามเชื่อเขาไป เราก็จะกลายเป็นคนมีความรู้ที่ถูกหลอกง่ายอีกคนหนึ่งหรือสมมุติมีนักโฆษณาชวนเชื่อที่มีวาทศิลป์ดีมากมาพูดวิพากษ์วิจารณ์นางงามจักรวาลที่ถือว่าเป็นคนสวยที่สุดของโลกในปีนั้นว่า นางงามคนนี้ ตี่งหู ไม่สวยเลย เรียว ๆ ไม่อี่ม แล้ววิพากษ์วิจารณ์ตรงตี่งหูไปเรื่อย จนความงามอย่างอื่นลืมหมด คนฟังฟังไป ๆ รู้สึกว่า นางงามจักรวาลคนนี้เป็นคนที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลกเลย

           ขณะเดียวกัน เอาคนที่หน้าตาธรรมดามาก ๆ มาชื่นชมบางจุดว่า ..ดูสี ผีวตรงนี้เนียนมาก สุดยอด จนกระทั่งคนฟังค่อย ๆ เคลี้ม รู้สึกว่า ผู้หญิงคนนั้น คือคนที่สวยที่สุดในปฐพี ถ้าหากมีคนที่มีวาทศิลป์รู้จักการให้เหตุผลเป็นเลิศ แต่เป็นเพียงบางแง่มุม ชักจูงจนผู้ฟังคล้อยตามได้ เขาก็สามารถจะกล่อมให้คนฟังเห็นว่า นางงามจักรวาล คือ คนที่อัปลักษณ์ แล้วผู้หญิงที่หน้าตาไม่ค่อยดีกลายเป็นคนสวยกว่านางงามจักรวาลได้ ด้วยการให้เหตุผลเพียงแค่บางแง่มุม

           ถ้าในชีวิตจริง เราจะต้องเจอคนอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ เราจะทำอย่างไร มีอย่างเดียว คือ อย่าลืม ดูภาพรวม อย่าไปลงแต่รายละเอียดอย่างเดียว เราถึงจะพบความจริง จะตัดสินเรื่องอะไรก็ต้องดูว่า หน้าที่หลักคืออะไร โดยภาพรวมข้อดีข้อเสียทั้งหมดเป็นอย่างไร โดยไม่คาดหวังให้ทุกคนต้องงาม พร้อมหมด ไม่ยึดเอาแค่มุมใดมุมหนึ่งเป็นตัวตัดสิน อย่างดูต้นไม้ต้องดูให้เห็นทั้งต้น ไม่ใช่ดูแค่ใบ ดูแค่ดอก ดูแค่กี่งเสี้ยวใดเสี้ยวหนึ่ง แต่ต้องดูให้เห็นภาพ รวม เราจึงจะตัดสินได้อย่างรอบด้าน

 


 

           หรือเรื่องวัด ถ้าบอกว่าวัดดีไม่ดี ต้องดูว่าวัดนั้นสามารถสอนประชาชนให้เป็นคนดีมีศิล มีธรรมได้หรือเปล่า ถ้าได้ก็แสดงว่าใช้ได้ แต่ถ้าเกิด บอกว่าวัดดี แต่ไม่สามารถสอนประชาชนให้เป็นคนดีได้ มันก็ชักจะอย่างไร ๆ อยู่ หรือบอกว่า วัดนี้ สอนไม่ดี แต่คนเข้าวัดเป็นคนดีทั้งนั้นเลย ก็แสดงว่า คนให้เหตุผลนั้นชักไม่เข้าท่า เรี่มให้เหตุผลแค่บางส่วน เป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ ชักจูงให้คนคล้อยตาม ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เราต้องดูโดยมองเป้าหมาย หลักของบุคคลผู้นั้น องค์กรนั้น ว่ามีหน้าที่หลักคืออะไร แล้วสามารถทำให้เข้าเป้าหมายหรือเปล่า ข้อดี คืออย่างไร ข้อเสียคืออย่างไร ข้อบกพร่องหากมีอยู่ บ้างคืออะไร แล้วเราจะสามารถตัดสินใจได้ด้วยความรอบคอบ แล้วก็ไม่พลาด ไม่ถูกหลอกง่าย

           มาดูอีกมุมหนึ่ง ถ้าคนมีความรู้ถูกหลอกง่าย แล้วคนมีความรู้น้อยถูกหลอกง่ายไหม ถ้าเป็นในแง่เกี่ยวกับเรื่องทางเทคนิค เรื่องทางวีชาการต่าง ๆ คนมีความรู้มากก็คงจะต้องมีความรู้ที่ดีกว่าคนที่มีความรู้น้อยเป็นธรรมดา แต่ในบางแง่มุม คนที่มีความรู้น้อยถูกหลอกได้ยากกว่า เพราะว่าคนมีความรู้มากตัดสินอะไรด้วยหลักตรรกะ พอฟังแล้วมีเหตุผลก็เชื่อตามเขาไป เจอคนที่เป็นนักโฆษณา ชวนเชื่อพูดเก่ง ๆ ก็คล้อยตามเขา เพราะฟังแล้วมีเหตุมีผล แต่ตามไม่ทัน คิดไม่ทัน ก็เพราะว่าเหตุผล ที่เขาให้เป็นแค่เหตุผลบางด้าน เขาตั้งใจจะมากล่อม ให้ไปเชื่อตามเขา มาส่องให้เห็นมดกลายเป็นช้าง แล้วก็ทำช้างให้กลายเป็นมด ก็ยังดูเป็นช้างเป็นมดอยู่ แต่แค่เอากล้องไปขยายกับไปย่อเท่านั้นเอง ทุกอย่างดูกลับตาลปัตรไปหมด

           แต่คนความรู้น้อย เขาจะตัดสินเรื่องที่ใกล้ตัวเขา ที่มีผลต่อตัวเขาด้วยความจริง ไม่ใช่ด้วยเหตุผล เช่น เรื่องรัฐบาล ใครมาพูดให้ตายว่ารัฐบาลไม่ดี แต่ถ้ารัฐบาลมาแล้วชีวิตเขาดีขึ้น ทำมา หากินคล่องขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น ป่วยไข้ไม่สบายมีคน ดูแลรักษาโดยค่าใช้จ่ายไม่แพง รู้สึกว่าทุกอย่างดีขึ้น เขาก็จะถือว่ารัฐบาลนี้ดี ใครจะมาว่าไม่ดี โจมตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ

           แต่ถ้าบอกว่ารัฐบาลดี จะดีอย่างไรก็ตาม ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ ทำมาหากินฝืดเคือง ข้าวปลาอาหารราคาแพง พืชผลขายได้ราคาไม่ดี เขาก็ไม่เชื่อ แล้วว่ารัฐบาลดี เขาไม่ได้คิดด้วยหลักตรรกะ ด้วยเหตุผล ใครจะไปกล่อมอย่างไรเขาก็แค่ฟังไว้ แต่เขา ตัดสินด้วยความจริง มองดูในหม้อแล้วมีข้าวเต็ม ล้วงกระเป๋าแล้วมีสตางค์ ป่วยไข้ไม่สบายแล้วไปหาหมอได้ อันนี้คือดี

           เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ในบางแง่มุมหลอกยากกว่าคนมีความรู้ ตรงนี้อาจจะเป็นคำตอบว่า ทำไมสังคมไทยถึงแยกเป็น ๒ ซีกในปัจจุบัน หนทาง จะมาเชื่อมโยงกันมีได้อย่างเดียว คือ ทุกส่วนของสังคม ทุกกลุ่มทั้งที่มีความรู้มาก ความรู้น้อย ทั้งที่เรียกว่าปัญญาชน ทั้งที่เรียกว่ารากหญ้า สามารถพบจุดสมานฉันท์ได้ตรงกัน คือ เมื่อพบกับความเป็น จริงซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการมองภาพรวม โดยเฉพาะ อย่างยี่ง ถ้าได้ศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้เห็นภาพรวมเสมอ เรื่อง แต่ละเรื่อง ธรรมะที่พระองค์แสดง ให้ภาพรวมที่ครบถ้วนและบริบูรณ์ ใครหมั่นศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาแล้วก็นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถพบความจริงได้ดีกว่าบุคคลอื่น

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล