พลังมวลของความบริสุทธิ์

วันที่ 14 เมย. พ.ศ.2567

140467b02.jpg

 

พลังมวลแห่งความบริสุทธิ์
๒ พฤษภาคม ๒๕๓๖
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย นึกตามไปนะจ๊ะ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตัก พอสบาย ๆ วางไว้บนหน้าตัก พอสบาย ๆ นะจ๊ะ แล้วก็หลับตาของเราเบา ๆ พอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย สำหรับท่านั่งขัดสมาธิท่านี้เป็นท่าที่ถอดแบบออกมาจากพระธรรมกายภายในตัว จะต้องจำท่านั่งท่านี้เอาไว้ให้ดีนะจ๊ะ สำหรับลูกชายหญิงที่มาใหม่ รวมทั้งที่อยู่ต่างประเทศนะจ๊ะ 

 


                เมื่อเราปรับท่านั่งของเราให้ถูกต้องและถูกส่วนแล้ว ก็ให้ทุกคนทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใสโดยการปลดปล่อยวางภารกิจทั้งหลายให้หมดสิ้นจากใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม จะเป็นเรื่องการศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องธุรกิจการงานหรือเรื่องอะไรก็ตามที่คั่งค้างอยู่ในจิตในใจเนี่ย เราปลดปล่อยวางออกไปให้หมด ทำประหนึ่งว่าเราไม่เคยพบปะเจอะเจอกับสิ่งเหล่านั้นมาก่อนเลย หรือเราอาจจะนึกอย่างนี้ก็ได้ ว่าคนก็ดี สัตว์สิ่งของเหล่านั้นก็ดี ล้วนไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ของแท้จริง ไม่เป็นสาระแก่นสารอะไร เป็นของอาศัยอยู่ พึ่งพาอาศัยชั่วคราวซึ่งกันและกันเท่านั้น พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าก็จะต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้นไป คิดอย่างนี้แล้วก็ทำใจของเราให้เป็นกลาง ๆ ให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส

 


                แผ่เมตตาจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย แผ่เมตตาจิตโดยนึกเบา ๆ ให้สบาย ๆ ว่าขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ไม่มีประมาณเหล่านั้น พ้นจากทุกข์โศกโรคภัย ให้พบแต่ความสุขกาย สุขใจน่ะ มีความสุขทั้งนั่ง ทั้งนอนทั้งยืนทั้งเดิน ทั้งหลับ ทั้งตื่นตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเวลาเลย ที่มีทุกข์ก็ให้พ้นทุกข์ ที่มีสุขแล้วก็ให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป นึกอย่างสบาย ๆ แผ่ไปให้หมดเลย นึกอย่างสบาย อย่างเนี้ยนะ นึกให้กระแสแห่งความเมตตาของเรา ความปรารถนาดีของเรานะ เป็นแสงสว่างออกจากร่างกายเรา ออกจากใจของเราประหนึ่งว่าตัวเรา กายเรา ใจเรา เป็นศูนย์กลางของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เนี่ยเราแผ่ออกไปเป็นแสงสว่าง ใหม่ ๆ อาจจะเป็นความรู้สึกว่ามีแสงสว่างออกจากภายในกลางกายเรา แล้วแผ่ขยายไปให้ทั่ว 

 


                แต่ถ้าใครทำเป็นแล้ว มันจะเป็นแสงสว่างจริง ๆ ที่เราเห็นแจ้งด้วยใจของเรา เป็นแสงที่ละเอียดอ่อนนุ่มนวล เป็นพลังมวลแห่งความบริสุทธิ์ ความปรารถนาดีเนี่ย ประดุจแสงสว่างแห่งพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แต่ว่ากระจ่างแจ่มจ้าเหมือนอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน คือสว่างประดุจดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน แต่ว่าเย็นเหมือนแสงจันทร์นำความชุ่มชื่นเบิกบาน ให้เกิดขึ้นแก่สรรพสัตว์ สรรพสิ่งทั้งหลาย ให้นึกแผ่ไปแล้วก็ทำใจให้นิ่งๆ โล่งๆ ว่าง ๆ ใจจะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับพระรัตนตรัย เนี่ยเราแผ่ไปอย่างนี้สักหนึ่งหรือสองนาทีนะจ๊ะ ลองหัดแผ่ไปโดยเริ่มต้นอาจจะเป็นความรู้สึกว่ามีแสงสว่าง เป็นพลังมวลแห่งความบริสุทธิ์ที่เปล่งประกายเจิดจ้า จากศูนย์กลางกายในกลางท้องของเรา หรือจากตัวของเราขยายกว้างออกไป 

 


                ส่วนท่านที่ทำเป็นแล้วนะ เข้าถึงปฐมมรรคแล้ว พบกายภายในแล้ว หรือเห็นองค์พระแล้ว ก็เปล่งให้สว่างออกไป ด้วยสภาวธรรมที่เราเข้าถึงนั้น ถ้าเราเข้าถึงดวงก็เปล่งให้เป็นดวงสว่าง เป็นพลังมวลแห่งความบริสุทธิ์กระจายกว้างออกไป ถ้าเป็นองค์พระก็ขยายแสงสว่างเป็นพลังมวลแห่งความปรารถนาดีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ ขยายออกจากองค์พระออกไป องค์พระจะขยายตามไปด้วย สำหรับท่านที่ทำเป็นแล้วนะ ถ้าเข้าถึงดวง ดวงก็จะขยายกว้าง ดวงนั้นเหมือนฟองสบู่หรือฟองแชมพูบาง ๆ ที่ขยายกว้างออก ตั้งแต่เล็กกว่าตัวเรา เท่าตัวเรา ใหญ่กว่าตัวเรา ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เต็มสภาธรรมกาย กระทั่งครอบคลุมวัดพระธรรมกาย ครอบคลุมศูนย์กลางธรรมกายแห่งโลกสองพันไร่ 

 

 

                 ครอบคลุมจังหวัดปทุม จังหวัดข้างเคียง ทั่วประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน ทั่วโลก กว้างออกไปอย่างไม่มีขอบเขต ไปยังจักรวาลน้อยใหญ่ทั้งหลาย อันไม่มีประมาณ ถ้าลูก ๆ ชายหญิงอยู่ที่ต่างประเทศ ก็เริ่มต้นจากตัวของเราน่ะ เป็นพลังมวลแห่งความบริสุทธิ์ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีไปยังมวลมนุษยชาติ โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนาและเผ่าพันธุ์ ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีสองเท้า สี่เท้า มีเท้ามาก มีเท้าน้อย หรือว่าไม่มีเท้า ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในกำเนิดทั้งสี่ ทั่วทั้งภพทั้งสามเลย ถ้าไม่เข้าใจก็คิดว่าเป็นพลังมวลแห่งความบริสุทธิ์ที่ออกจากกายเราเนี่ย สว่างโพลงไปรอบทิศ ทุกทิศทุกทางเหมือนเรานั่งอยู่กลางอวกาศโล่ง ๆ และขยายไปรอบทิศ

 


                ถ้าเราสังเกตจิตใจเรา เราจะรู้สึกว่า ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข และความสุขที่เกิดจากการให้นั้นเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีอะไรจะมาเสมอเหมือน ตอนนี้ความสุขที่เกิดจากการให้ความสุขกับเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเกิดจากพลังใจของเรา กลั่นออกมาเป็นมวลแห่งความบริสุทธิ์ ขยายออกไปยังมวลมนุษยชาติ ยังสรรพสัตว์ทั้งหลายน่ะ เราจะสังเกตว่าใจเราเริ่มมีความโล่ง โปร่งเบาสบาย โล่ง มีอาการรู้สึกว่ามันโล่งๆ เหมือนออกมาอยู่ จากที่แคบ ๆ มาสู่ที่โล่ง ๆ ที่กว้าง ๆ เราจะรู้สึกสดชื่น รู้สึกโปร่ง เหมือนไปยืนอยู่บนยอดเขาที่มีแต่อากาศที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ ไม่มีมลภาวะ ไม่มีมลพิษน่ะ เบาเหมือนปุยนุ่น ที่ลอยไปในอากาศ ร่างกายเราเหมือนจะลอยได้ แล้วก็สบาย มีความสบาย มีความเบิกบาน มีความสบายน่ะใจสบาย เมื่อใจสบายเราก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องร่างกายเลยเนี่ย เราลืมไปชั่วขณะทีเดียวว่า เรามีร่างกายนี้อยู่ เพราะฉะนั้นร่างกายของเราก็เหมือนกับไม่มี ไร้ตัวตน มีแต่ความสว่างโพลง ที่ประกอบไปด้วยมวลแห่งความบริสุทธิ์ สังเกตให้ดีนะ

 


                เมื่อใจเราเริ่มนิ่ง ๆ สบาย ๆ รักษาอารมณ์สบายนี้ให้ต่อเนื่อง ให้ยาวนาน เพราะว่าอารมณ์สบายนี้ได้มาจาก พลังมวลแห่งความบริสุทธิ์ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ใจเรานิ่งนาน แซ่อิ่มอยู่กับความโล่ง โปร่ง เบา สบาย และเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีอันนี้ ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ และถึงตอนนี้ถ้าใครสามารถนึกถึงดวงดาวในอากาศ ที่กลางท้องที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ได้ ก็ให้นึกนะจ๊ะ นึกในกลางท้อง เป้าหมายของเราคืออยู่ที่ฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือโดยประมาณ แต่ว่าอย่าไปกังวลกับศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ มากเกินไปนะจ๊ะ เรานึกทึกทักเอาว่าในกลางท้องของเราตรงนี้ เป็นตำแหน่งศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เราลองนึกถึงดวงดาวในอากาศ ที่เป็นจุดสว่างใส ๆ เหมือนดาวพระศุกร์ ดาวประจำเมืองน่ะใส ๆ หรือบางท่านจะลองนึกเป็นดวงใส ๆ ก็ได้ 

 


                ท่านที่มาใหม่เมื่อใจสบายก็ลองนึกถึงดวงดาวในอากาศ ดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ หรือพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ลองนึกดูนะจ๊ะ อย่างสบาย ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง นึกที่กลางกายของเราตรงฐานที่ ๗ กลางกาย ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าเริ่มไม่มีตัวตนน่ะ ใจนิ่งตรงไหน ก็ให้นึกตรงนั้น ถ้าเริ่มมีความรู้สึกว่าเราไม่มีร่างกาย ใจเรานั่งตรงไหนก็ให้นึกนิมิตอยู่ที่ตรงนั้น เป็นจุดสว่างใส ๆ ใสเหมือนกับเพชร คงเคยเห็นเพชรกันแล้วน่ะ หรือใสเหมือนอย่างน้ำแข็งใส ๆ หรือใสเหมือนน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัวอยู่ที่กลางกาย หรือกลางจุดที่นิ่ง เมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่มีตัวตน เป็นจุดเล็ก ๆ เท่าดวงดาวในอากาศ หรือพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ หรือพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน นึกตรงที่นิ่งนะจ๊ะ นึกนิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ นึกสบาย ๆ น่ะ 

 


                ถ้านึกสบายไม่ออกก็ให้นึกเฉย ๆ ทำใจให้มันสงบหรืออยู่กับอารมณ์สงบให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ลองนึกถึงรูปร่างของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาวน่ะ จริง ๆ แล้วมันกลมนะ กลมเหมือนดวงแก้วอย่างเนี้ยะ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว แต่ว่าบางเบาเหมือนฟองสบู่ ฟองแชมพู เบา แล้วก็มีความใสเหมือนกับน้ำแข็ง หรือใสเหมือนกับเพชรน่ะ เพชรที่โดนแสง เหมือนกับเพชรที่โดนแสงน่ะ แต่ว่ากลม กลมรอบตัว นึกนะจ๊ะ ลูกชายหญิงที่มาใหม่ นึกนะ นึกตามไปอย่างนี้ อย่างสบาย ๆ รักษาอารมณ์สบายตรงนี้เอาไว้นะ นึกถึงดวงจันทร์ ดวงดาว หรือดวงอาทิตย์ แต่ให้ใสเหมือนกับน้ำแข็ง หรือใสเหมือนกับเพชร ให้สว่างไปพร้อม ๆ กัน 

 


                แต่ถ้าหากว่าไม่สามารถนึกไปพร้อมกันได้ คือบางท่านนึกได้ความใสแต่ไม่สว่างก็ไม่เป็นไร หรือบางท่านสว่างแต่ว่าไม่ใสก็ไม่เป็นไร ทำใจให้นิ่ง ๆ นะจ๊ะ นิ่ง ๆ สงบให้นานที่สุด การที่เราทำใจอย่างนี้น่ะ คือนึกถึงสิ่งเหล่านี้ดังกล่าว จะเป็นวิธีเตรียมใจของเรา ที่จะรองรับพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งและที่ระลึกอันสูงสุดของพวกเราทั้งหลาย เราจะรู้จักว่าท่านเป็นที่พึ่งได้ ต่อเมื่อเราเข้าถึงท่าน ระลึกถึงท่านตลอดเวลา เข้าถึงเมื่อไหร่ เราจะรู้จักว่านี่คือที่พึ่งอันสูงสุดของเราจริง ๆ แตกต่างจากสิ่งที่เราเคยคิดเคยเจอมา ว่าคนนั้นพึ่งได้ คนนี้พึ่งได้ หรือทรัพย์พึ่งได้ ต้นไม้พึ่งได้ จอมปลวกมั่ง อารามศักดิ์สิทธิ์มั่ง เราจะเห็นข้อแตกต่างได้ชัดเจนทีเดียว เมื่อเราได้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน คุณสมบัติของผู้ที่เป็นที่พึ่งนั้นน่ะ สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส รู้แจ้งแทงตลอด เมื่อเราเข้าไปถึงแล้วเราจะอบอุ่น อบอุ่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะมีความรู้สึกว่าเราปลอดภัยทั้งปวง ไม่ว่าภัยในมนุษย์นี้หรือภัยในอบาย หรือภัยในวัฏสงสาร 

 


             แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือภัยในเมืองมนุษย์เนี่ย จะเกิดจากภัยอะไรก็ตามเนี่ยะ เมื่อเราเข้าไปอยู่ในกลางท่าน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์พระธรรมกายจริง ๆ แล้วน่ะ เราจะเข้าใจคำว่าที่พึ่งจริง ๆ เลย พึ่งพิงก็ได้ พึ่งพาก็ได้ พึ่งได้ทุกอย่างเลย เมื่อเข้าถึง ฉะนั้นจุดแห่งความสว่างบริสุทธิ์ที่เราเริ่มต้นนึกอย่างนี้นะจ๊ะ จะนำให้เราได้เข้าถึงที่พึ่งภายในอันแท้จริงได้ และในขณะนั้น กายวาจา ใจ ของเราจะถูกกลั่นให้บริสุทธิ์ไปเรื่อย ๆ ถูกขัดเกลาให้บริสุทธิ์ ถูกกรองให้บริสุทธิ์ ถูกกลั่นให้บริสุทธิ์ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งความบริสุทธิ์ปรากฏขึ้น อยู่ที่ตำแหน่งที่ใจหยุดนิ่งน่ะ เราจะเห็นชัดเจนเลย เป็นดวงใสมั่ง เป็นองค์พระใส ๆ บ้างน่ะเกิดขึ้น เนี่ยะลูกชายหญิงที่เริ่มต้นใหม่ต้องเข้าใจอย่างนี้นะ เข้าใจง่าย ๆ ง่ายเหมือนกับเด็กอนุบาลที่เข้าใจคำสอนของครูอนุบาล อย่าพึ่งไปคิดอะไรมากนะจ๊ะ เข้าในตรงนี้ก่อน ง่าย ๆ และจากจุดนี้น่ะ จะทำให้เราเข้าถึงพระธรรมกายอย่างง่าย ๆ

 


                พระธรรมกายเนี่ยะเป็นของจริงในพระพุทธศาสนา จริงแท้ ลึกซึ้งแต่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่าย ๆ ถ้าเรารู้วิธีวางใจอย่างนี้นะจ๊ะ เราจะรู้สึกว่ามันไม่ยากเลย ให้เริ่มต้นอย่างนี้ซะก่อน ทบทวนอีกทีนะ นึกถึงจุดสว่างเหมือนดวงดาวในอากาศ หรือพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ หรือเหมือนพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ที่กลางกายของเราหรือกลางจุดที่ใจมันหยุดมันนิ่งตรงนั้นน่ะ แล้วก็ให้นึกอย่างสบาย ๆ รักษาความสบายให้ต่อเนื่อง ให้ใสเหมือนน้ำแข็งหรือเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมวไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว ให้สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ให้นึกอย่างนี้นะ นึกไปเรื่อย ๆ ถ้าหากมันฟุ้ง เราก็เริ่มต้นนึกใหม่ เริ่มต้นนึกใหม่ถ้ายังฟุ้งอีก ก็ให้ภาวนาสัมมาอะระหัง ควบคู่กันไป ภาวนาสัมมาอะระหังไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ จนกว่าจะมีความรู้สึกว่าไม่อยากจะภาวนาถ้าความรู้สึกชนิดนี้เกิดขึ้น ก็ให้เลิกภาวนาเลย รักษาแต่อารมณ์สบายที่หยุดนิ่งนาน ๆ ที่กลางกายนะจ๊ะ หรือกลางจุดที่เรานิ่งน่ะ แล้วก็อยู่กับมันตรงนั้นอย่างสบาย ๆ ให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก อยู่กับอารมณ์สบายนี้นาน ๆ

 


                เมื่ออารมณ์สบายที่เกิดขึ้นพาเราไปสู่ประสบการณ์ภายในซึ่งเราไม่เคยเจอมาก่อนเช่นมีอาการขนลุกบ้าง ตัวขยายไปข้าง ๆ บ้าง หรือยืดสูงขึ้นไปบ้าง หรือย่อต่ำลงไป หรือมีความรู้สึกหล่นตกจากที่สูงลงไปน่ะ หรือนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้น่ะ อย่ากลัวนะจ๊ะ อย่าไปสงสัยมัน อย่าเพิ่งสงสัยมัน ให้เราคุ้นกับประสบการณ์อย่างนี้ซะก่อน แล้วต่อไปหลวงพ่อจะค่อย ๆ อธิบายให้ฟัง ค่อย ๆ ปล่อยมันไปตามประสบการณ์นั้น เพราะประสบการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อใจของเราเริ่มเคลื่อนย้ายออกจากความสับสนวุ่นวาย ไปสู่จุดแห่งความสงบ เราจะต้องผ่านขั้นตอนของประสบการณ์เหล่านี้เนี่ยะ บางท่านก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนสังเกตไม่ออก บางท่านก็ค่อย ๆ ผ่านไปจนกระทั่งสังเกตออก จะสังเกตออกหรือไม่ออกก็ตาม สิ่งที่จะต้องทำคือ อย่าไปฝืนมัน จงปล่อยมันไปตามประสบการณ์นั้น โดยไม่ไปใช้ความพยายาม อย่าพึ่งไปตั้งคำถามว่ามันคืออะไรน่ะ ให้ใจนิ่ง ๆ ใจจะได้innocent เมื่อใจ innocent ใจบริสุทธิ์กับประสบการณ์นั้น ประสบการณ์นั้นก็จะนำเราเข้าไปสู่จุดหมายปลายทางเบื้องต้น คือ เข้าถึงปฐมมรรคภายในเอง 

 


                เพราะฉะนั้นต้องอย่าฝืนนะจ๊ะ เฉย ๆ วางใจให้นิ่ง ๆ อย่างนี้น่ะ ต่อไป เรื่อย ๆ แล้วเราจะรู้สึกสนุกกับมันกับประสบการณ์ภายในที่เราพบไปเรื่อย ๆ บางครั้งพบแสงสว่างบ้าง บางครั้งพบดวงธรรมเป็นดวงกลม ๆ ใส ๆ บ้าง บางครั้งก็จะพบกายภายในน่ะ ที่คล้าย ๆ ตัวเราเอง หน้าเหมือนตัวเราเองเลย มันน่าตื่นเต้นและน่าติดตามประสบการณ์ภายในทีเดียวน่ะ แล้วเราจะรู้จักว่า ภายในกายของเราร่างกายก้อนนี้ มันยังมีกายที่ซ้อนอยู่ภายในเป็นชั้น ๆ เข้าไป ที่มีชีวิตจิตใจเหมือนเราอย่างเงี้ยะ แต่ว่าละเอียดกว่า บริสุทธิ์กว่ามีภูมิธรรมกว้างกว่า เป็นชีวิตระดับลึกที่อยู่ภายในน่ะ จะซ้อน ๆ กันเข้าไปเป็นชั้น ๆ ๆ ๆ นี่คือสิ่งที่น่าทึ่ง น่าอัศจรรย์ น่าติดตามที่จะศึกษาเข้าไปภายในตัวน่ะ 

 


                น่าศึกษาไปจนกระทั่ง เราจะไปพบตัวตนที่แท้จริงของเรา ซึ่งอยู่ภายในลึก ๆ มีลักษณะสวยงามมาก เกตุดอกบัวตูม ใสเป็นเพชรทีเดียว ใสเกินใส ใสยิ่งกว่าเพชรน่ะ อยู่ในท่าอิริยาบถที่สมบูรณ์ ที่ไม่ต้องประกอบธุรกิจการงานอันใดเลย คือท่านั่งขัดสมาธิ แล้วเราก็จะค้นพบว่าท่านั่งนั้นเหมือนกับท่านั่งที่หลวงพ่อสอนตั้งแต่ตอนแรกน่ะ คือท่านจะนั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักชิดเข้ามาที่ตัวเราปิดช่องว่าง ตัวเราไม่มีช่องว่างเลยปิดหมดเลย ตรงกายตรง ใจท่านติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจของเราเลย แล้วเราจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้แจ้ง เห็นแจ้งแทงตลอด และความสุขที่แท้จริงทั้งมวล เป็นกายที่สำคัญของตัวเราและของมวลมนุษยชาติ เราจะเข้าถึงอย่างนี้นะจ๊ะ 

 


                ให้ได้อยู่ในอารมณ์เบา สบาย อย่างต่อเนื่อง และจิตจะดื่มด่ำดิ่งเข้าไปสู่ภายในเอง และก็จะไปพบกายในกายซ้อนซ้อน ซ้อนกันอยู่เข้าไปข้างใน ลึก ๆ ๆ ๆ ซ้อนกันอยู่อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว คล้าย ๆ การซ้อนของผลไม้เนี่ย หรือต้นไม้เนี่ย มีสะเก็ด มีเปลือก มีกระพี้ มีแก่น แก่นซ้อนแก่นเข้าไปเรื่อย ๆ นี่แก่นกายเหมือนกัน แก่นกาย แก่นใจ แก่นคน ก็อยู่ตรงกลางน่ะ มันซ้อน ๆ ๆ ๆ หุ้มไปเรื่อย ๆ เลย นี่น่าอัศจรรย์ สิ่งนี้มีอยู่แล้วน่ะ เป็นสัจธรรม เป็นของจริง ไม่ใช่ไปทำให้มันมีอยู่ เป็นสัจธรรม แต่พิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุด้วยผลน่ะ พิสูจน์ได้ เข้าถึงได้ด้วยหลักการที่ทำใจให้หยุดให้นิ่ง ให้เบาสบายอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวเราจะเข้าถึงเองน่ะ นี่ทำอย่างนี้นะ ทำให้สบายๆ น่ะ ทำใจให้หยุดให้นิ่ง ถ้าเมื่อยก็เปลี่ยนอิริยาบถ แล้วก็เริ่มต้นใหม่อย่างสบาย ๆ น่ะ ทำกันไปเงียบ ๆ นะ ให้นิ่งสักพักหนึ่งให้ใจบริสุทธิ์ที่สุด

 


                ให้ใจหยุดอย่างนี้นะ ไม่มีบุญอันใดจะประเสริฐเลิศเท่ากับการเข้าถึงธรรมภายใน แม้เพียงช่วงระยะเวลาพริบตาเดียวเท่านั้น แค่พริบตาเดียวน่ะ จิตนั้นบริสุทธิ์สว่างเห็นหนทางไปสู่อายตนนิพพานได้ นั่นแหละเป็นยอดของบุญเลย ลูก ๆ ชายหญิงทุกคนน่ะมีบุญมาก แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวมีบุญ และวันนี้ได้มาเข้าถึงจุด ๆ นี้ได้ และก็ต้องถือว่าเป็นยอดแห่งบุญเลย สั่งสมบุญเอาไว้ให้เยอะ ๆ นะจ๊ะ จำเอาไว้ว่าไม่มีบุญใดเลิศประเสริฐเท่ากับการเข้าถึงหนทางไปสู่อายตนนิพพานซึ่งขณะนี้ ลูก ๆ ชายหญิงทุกคนกำลังทำอยู่ ฉะนั้นหยุดตรงนี้ให้ดี ให้นาน ๆ ให้ดีที่สุดเลย บุญที่เกิดขึ้นในตอนเนี่ยะ แม้ยังไม่ได้บูชาข้าวพระ ก็มากกว่าการสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างวัดวาอารามเป็น ๑๐ วัดทีเดียวเนี่ยะ เมื่อไหร่เข้าถึงธรรมกาย ก็จะเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อพูดประโยคเมื่อกี้เนี่ยะ 

 


                เราจะเห็นปริมาณแห่งบุญนั้นมันไม่เท่ากัน ความบริสุทธิ์ไม่เท่ากัน จะเห็นได้ด้วยตัวของเราเอง แต่ตอนนี้จำแค่นี้ไว้ก่อน เพราะฉะนั้นหยุดให้สนิทนะจ๊ะ หยุดให้นานอย่างสบาย ๆ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ สักพักนึง เวลากล่าวคำบูชาพระหรือบูชาข้าวพระก็ตาม เช่น เมื่อเรากล่าวคำว่า นะโม ตัสสะ เนี่ย เราจะต้องเอาใจนี่นะจ๊ะหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือตรงที่เราหยุดนิ่งแล้วสบายที่สุดตรงนั้นน่ะ ตรงเนี่ยะสำคัญ ถ้าหากเอาใจหยุดอยู่ที่ตรงนี้น่ะ เราจะเชื่อมโยงกับพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านได้ เพราะว่ามันเป็นตำแหน่งเดียวที่จะเชื่อมโยงกับท่านได้ คือตรงกลางกายฐานที่ ๗ ตรงนั้นน่ะ  มันจะมีช่องว่าง ๆ เล็กนิดนึง เท่าปลายเข็มน่ะ เล็กนิดนึง พอจรดไปตรงนั้น เสียงของเรานะจ๊ะ จะถูกกลั่นให้เป็นเสียงที่ละเอียด เสียงที่เป็นทิพย์ก้องสะท้อนไปถึงท่านเลยเช่นเมื่อเรากล่าวคำว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ  และขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบน่ะ เวลากล่าวคำอย่างนี้

เนี่ยะ  

 


                กาย วาจา ใจ ของเราจะพร้อมเป็นหนึ่ง แล้วก็จะประสานกันเป็นจุดเดียวกัน ยิ่งถ้าเรากล่าวพร้อม ๆ กันน่ะ ก็จะเกิดมวลแห่งความบริสุทธิ์ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความนอบน้อม มุ่งตรงไปถึงท่านทีเดียว ก็จะเกิดการประสานกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวน่ะ กระแสธารแห่งบุญจากท่านก็หลั่งไหลมาสู่ตัวเรา คุ้มครองตัวเราให้ปลอดภัยจากสิ่งไม่ดีทั้งหลายได้น่ะ ใจเราจะถูกยกขึ้นให้สูงขึ้นถูกกลั่นให้บริสุทธิ์ ให้มีพลังแห่งความดี แห่งความสุข ความสำเร็จเกิดขึ้นทีเดียวนะ การบูชาข้าวพระก็เช่นเดียวกัน เพราะเหตุว่ามันเป็นอย่างนี้หลวงพ่อถึงอยากให้ทุกคนได้กล่าวไปพร้อม ๆ กัน แล้วหยุดนิ่งไปที่ศูนย์กลางกายน่ะ การทำอย่างนี้ความตั้งใจก็จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติโดยอัตโนมัติ แล้วก็จะเป็นหนึ่งเลย ก็ให้ทุกคนเอาใจหยุดนิ่งหยุดอย่างเดียวนะจ๊ะ หยุดนิ่งไปที่ศูนย์กลางกาย หยุดอยู่ในกลางกายของเรา หยุดนิ่ง ๆ

 


                หยุดนี่แหละเป็นตัวสำเร็จที่จะเข้าถึงธรรม ที่จะไปถึงพระองค์ท่านได้ เราจะหายสงสัยเลยว่าเราหยุดได้ถูกส่วนและเข้าถึงพระธรรมกาย เมื่อเข้าถึงพระธรรมกาย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกายแล้วเนี่ย เราจะพบพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าที่อยู่ในอายตนนิพพาน ที่ท่านดับขันธ์ปรินิพพาน ถอดกายทั้งหมดออกแล้วเหลือธรรมกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเดียวนะ ๒๐ วา หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา หรือโตใหญ่กว่านั้นหนักขึ้นไปน่ะ เต็มไปหมดเลย มากกว่าเมล็ดทรายในทั่วโลกเลยน่ะ มากทีเดียว เพราะฉะนั้นคำที่เค้าพูดออกมาที่ที่ให้หลวงพ่อนำกล่าวนั้นน่ะ ไม่ใช่เป็นคำกล่าวขึ้นมาลอย ๆ หรือสมมติขึ้นมา แต่ว่าความจริงมันเป็นอย่างนั้นน่ะ 

 


                ถ้าหากเราเข้าถึงจริงเราก็จะเห็นอย่างนั้น คือมันมากทีเดียว มีพระธรรมกายมากเต็มไปหมดเลย จนกระทั่งไม่ทราบว่าจะเอาอะไรมาเทียบ ที่ท่านดับขันธปรินิพพานเข้านิพพานไปกาลก่อนนู้นไปแล้วน่ะ หลุดพ้นจากกิเลสจากอาสวะที่บังคับร้อยรัดต่าง ๆ หลุดไปหมดเลยเนี่ยะ หลุดด้วยกายธรรมน่ะ พอเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปหมดแล้วมีพลังหลุด พลังเนี่ยะจะหลุดจากกิเลสที่เข้ามาครอบงำ หลุดหมดเลย กิเลสอาสวะต่าง ๆ ที่หมักดองมากี่ภพกี่ชาติ นับภพนับชาติไม่ถ้วนน่ะ หมักดองแช่อิ่มตามกายต่าง ๆ เค้าบังคับกายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม อรูปพรหมหรือกายธรรมโคตรภู โสดา สกิทาคา พระอนาคาเนี่ยะบังคับ ได้มาตามลำดับ ก็จะหลุดพ้นไปหมดเลยน่ะ หลุดไปเลยน่ะ สู่อายตนนิพพาน นับพระองค์ไม่ถ้วนเลย มากกว่าเมล็ดทราย ในท้องพระมหาสมุทรทั้งสี่ มีจริง ๆ เลยเนี่ย เห็นจริงๆ เมื่อเราเข้าถึงนะจ๊ะ

 


                ลูกหญิงลูกชายที่มาใหม่ก็ให้เอาใจหยุดนิ่งเฉย ๆ ตรงนั้นไปก่อนนะ ตรงกลางน่ะ ส่วนที่ทำเป็นแล้ว ที่เข้าถึงดวงธรรมเป็นดวงใสบริสุทธิ์ก็หยุดอยู่ในกลางดวงธรรมนั้น ถ้าสามารถปล่อยใจเข้ากลางดวงนั้นได้ก็ปล่อยใจเข้าไป ที่สามารถเข้าถึงกายละเอียด กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมก็ปล่อยเข้าไปน่ะในกลางกายนั้นนะให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่เข้าถึงกายธรรมได้ก็ปล่อยเข้าไปอยู่ในกลางกายธรรม ได้เห็นกายธรรมในกายธรรม กายธรรมในกายธรรมซ้อน ๆ ๆ ซ้อนกันเข้าไปเรื่อย ๆ ไปเลยเนี่ย ปล่อยเข้าไปอย่างนั้นนะ หยุดเข้าไปอย่างมีความสุข สบายทีเดียว หยุดอยู่ตรงนั้นนะ หยุดให้ดีนะ 

 


                ในอายตนนิพพานนี้จะเป็นที่โล่งว่างเหมือนอวกาศ สว่างด้วยธรรมรังสีของระพุทธเจ้า ของพระธรรมกายพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรกำบังเลย ไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร ไม่มีศาลาการเปรียญ โล่ง ท่านนั่งขัดสมาธิอยู่บนฌานสมาบัติลอยอยู่ในนั้นเต็มไปหมดเลย อย่างเป็นระเบียบ เป็นระเบียบทีเดียวนะ เป็นระเบียบเลยเป็นวงเป็นระเบียบ ล้อมกันออกมาเป็นชั้น ๆ ๆ ๆ เข้าไปน่ะเต็มไปหมด พวกเราก็เอาใจหยุดนิ่งอยู่ตรงกลางอย่างสบาย ๆ ใครเข้ากายไหนได้ก็ปล่อยใจเข้าอยู่ในกลางกายนั้นเราก็นึกน้อมไปเรื่อย ๆ เลย ปล่อยใจเข้ากลางไป ใครสามารถเข้ากลางกายธรรมได้ ก็ปล่อยกายธรรมในกายธรรมเป็นซ้อน ๆ ๆ ๆ เข้าไปเนี่ย ใหม่ ๆ ก็เห็นทีละองค์ ผุดขึ้นมาทีละองค์ แล้วก็นับไป ๑ องค์ ๒ องค์ ๓ องค์ ไปเรื่อย ๆ เลย จนกระทั่งมาเป็นชุดเลย ทีละ ๑๐ องค์มั่ง ทีละ ๑๐๐ ทีละ ๑,๐๐๐ องค์ ผุดขึ้นมา ซ้อน ๆ ๆ ๆ กันขึ้นมา อยู่ในกลางกาย ยิ่งโตใหญ่หนักยิ่งขึ้นเลยเวลาหยุดเข้าไป กายท่านจะยิ่งสุกใส โตขึ้น ขยายขึ้น กว้างขึ้น มีความสุขมากเลย ยิ่งเข้าไปน่ะ

 


                เมื่อเราถวายทานขาดจากใจ จะเป็นข้าวเป็นน้ำ เป็นวัตถุสิ่งของใดอะไรก็ตาม อย่างวันนี้ถวายเครื่องไทยธรรม มีดอกไม้ธูปเทียน อาหารหวานคาว พอถวายขาดจากใจ คือถวายไปแล้วท่านจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่ท่านน่ะ ไม่ติดใจอะไรเลยอย่างนี้เรียกว่า ขาดจากใจ กระแสธารแห่งบุญก็ไหลเข้ามา อยู่ในกลางกายเรานะเอิบอาบซึมเข้ามาในตัวเราเลยเนี่ยะ ซึมเข้ามาอยู่ในกลางเลย เป็นท่อธารปุญญาภิสันธาร ท่อธารแห่งบุญก็ไหลเข้ามาในกลางกายเรา หยุดอยู่ในกลางมาจากตรงกลางตรงนั้นน่ะ แล้วรวมมาเป็นดวงบุญ กลมคล้าย ๆ ดวงแก้ว อย่างนี่แหล่ะ แต่ว่าละเอียด มีมวลแห่งบุญอยู่ในกลางดวงนั้น ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าชีวิตในระดับไหนก็ตาม ชีวิตที่อยู่ในมนุษย์ หรือชีวิตที่อยู่ในภพทิพย์ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่จะไปมรรคผลนิพพาน 

 


                กระแสบุญที่อยู่ในตัวเนี่ยะ จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสุข ความสำเร็จทั้งมวล จะดึงดูดสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาหาตัวเราน่ะ อย่างเช่นทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง มีรูปกายที่งาม แข็งแรง อายุยืน เกิดในตระกูลที่ดี ๆ เนี่ย และกายก็เปี่ยมไปด้วยสติ ด้วยปัญญา มีความฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบทุกอย่าง เกิดในตระกูลที่ดี มีโภคทรัพย์สมบัติมาก มีพวกพ้องบริวารที่ดี มีจังหวะชีวิตที่ดี ๆ โอกาสที่ดี ๆ ที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จในทางโลก จะไปอยู่ที่ไหนก็จะได้รับการยกย่อง ชื่นชม บูชา ได้รับการต้อนรับในทุกสถานที่ จะเดินทางไปไหนก็ปลอดภัย จากภัยพิบัติทั้งมวล จะเข้าใจโลกได้แจ่มแจ้ง จะแทงตลอดในชีวิตของการเกิดมาเป็นมนุษย์ และจะเข้าใจคำสอนของพระบรมศาสดาได้เป็นอย่างดี และจะมีใจเต็มเปี่ยมไปด้วยมหากรุณา อยากช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากความทุกข์ จะมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้อันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ไปยังเพื่อนมนุษย์ได้ จะมีพลังใจที่สูงส่งโดยไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคทั้งมวล จะมุ่งไปสู่เป้าหมายปลายทางอย่างแน่วแน่ทีเดียวน่ะ เนี่ยกระแสธารแห่งบุญที่อยู่กลางกายเนี่ยะ จะเป็นพลังที่ดึงดูดเหมือนกระแสแม่เหล็กอย่างเนี้ยะ จะถึงดูดสิ่งที่ดีงามเข้ามาหาตัวเรา แล้วก็ผลักสิ่งที่ชั่วร้ายที่ไม่ดีผลักออกไปทั้งหมดเลย จะดึงดูดสิ่งที่ดี ๆ

 


                ทรัพย์นี้เป็นของกลางของโลกน่ะ มีอยู่ในโลกมากทีเดียว จะเป็นทรัพย์ที่มีวิญญาณครอง หรือไม่มีวิญญาณครองก็ตาม ถ้าหากเรามีกระแสธารแห่งบุญอยู่ในตัวเนี่ย มันจะดึงดูดเข้ามาทีเดียวน่ะ แต่ถ้าหากดวงบุญในตัวของเรานี้ไม่มีหรือมีน้อย มีดวงบาปเยอะ ดวงบาปก็เป็นดวงดำ ๆ มีกระแสแห่งความดำ ๆ อยู่ภายในนั้น มันก็จะผลักสมบัติออกและก็ดึงวิบัติเข้าหาตัวเรา เพราะฉะนั้นทรัพย์แม้จะมีอยู่ในโลกมากมายแค่ไหนก็ตาม ก็เอามาใช้ไม่ได้ เพราะกระแสบาปนั้นมันผลักออกไปน่ะ แล้วดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาหาเรา ให้มีอุปสรรคเกิดขึ้น ให้มีความขลุกขลักอะไรต่าง ๆ กายก็ซูบซีดเศร้าหมอง คิดอะไรก็ไม่ออก วินิจฉัยก็พลาด พบปะแต่คนที่ไม่ดีและจังหวะชีวิตก็ไม่สมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ถ้าหากเรามีดวงบุญในตัวใสสว่างมันก็ตรงข้ามกัน ตรงกันข้ามกันเลย มันก็จะดึงดูดสมบัติ ที่อยู่ในโลกเบี้ยซึ่งเป็นของกลางของโลกเข้ามาหาเรา สมบัตินี้เป็นของกลางของโลกนะจ๊ะ เป็นของกลาง ๆ ของโลก เป็นเครื่องมือสำหรับให้ผู้มีบุญใช้สร้างบารมี ใช้สร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นแก่ตัวเองและชาวโลก ถ้าหากว่าใจใครมีความคิดอย่างนี้ด้วยความบริสุทธิ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยกระแสธารแห่งบุญ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะใช้สมบัตินี้เนี่ยเพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นแก่โลก สมบัติก็จะเกิดขึ้น จะดึงดูดเข้ามาหาตัวเราอย่างสะดวกสบาย อย่างง่ายอย่างดาย

 


                อย่างในวันนี้ เราบูชาข้าวพระเนี่ย กระแสธารแห่งบุญที่เกิดขึ้นกลางกายเป็นดวงบุญสว่างทีเดียวน่ะ ติดหมดทุกกายของพวกเราทุกคนเลย แต่โตไม่ค่อยเท่ากันน่ะ ใครตั้งใจมากหยุดนิ่งได้สนิทก็โตมาก ใครตั้งใจน้อยหยุดได้สนิทน้อยหรือหยาบกว่า มันก็เล็กลงมาน่ะ เพราะฉะนั้นปริมาณของบุญก็ไม่เท่ากัน ผลแห่งบุญก็จะไม่เท่ากัน ถ้าเราอยากจะให้เท่า ๆ กันนั้น ก็จะต้องทำใจให้หยุดอย่างที่หลวงพ่อแนะนำนะจ๊ะ หยุดให้นิ่งให้สนิท แล้วหยุดไปพร้อม ๆ กันทุกคนเป็นทีมเลย เอาความหยุดนิ่งของทุกคนมารวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มาซ้อนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่นถ้าใครสามารถเข้าถึงธรรมกายได้ และก็สามารถเอามาซ้อนกับธรรมกายของหลวงพ่อได้เนี่ย สิบคนซ้อนทั้งสิบคน ร้อยคนซ้อนพร้อมกันร้อยคน พันคนซ้อนพร้อม ๆ กันพันคน หมื่นคน แสนคนล้านคน มารวมกันเป็นจุดเดียวที่กลางหลวงพ่ออันเดียวกัน กระแสธารแห่งบุญเราก็จะได้เท่าเทียมกันไปเลย และก็จะไปพร้อม ๆ กัน ไปสู่เป้าหมายปลายทาง ไปพร้อมกันไปเลย 

 


                เพราะฉะนั้นอยากจะได้บุญมาก ทำบุญ เมื่อทำบุญด้วยธรรมกายสิจ๊ะ คือเราปฏิบัติเข้าถึงธรรมกายแล้วหยุดไปในกลางธรรมกายนะ จะให้ทาน ทานนั้นก็เป็นทานอันเลิศ จะรักษาศีล ศีลนั้นก็เลิศ จะเจริญภาวนา ภาวนานั้นก็เลิศ เพราะฉะนั้นธรรมกายเป็นหลักที่สำคัญเลยนะจ๊ะต้องทำให้ได้ ถ้าเอามาซ้อน ๆ ๆ ตรงกันมันก็จะเป็นกำลังทบ ทบซ้อนกันแล้วก็จะไปพร้อมกันไปเลย นี่คือสิ่งที่หลวงพ่ออยากให้ลูกชายหญิงทุกคนทั่วโลกเนี่ย จะได้เข้าถึงจุดนี้เนี่ย เข้าถึงแล้วเนี่ยะจะเกิดปรากฏการณ์พิเศษ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกที่เราเรียกว่า ธรรมกาย effect น่ะ เป็นผลเป็นอานิสงส์เกิดขึ้นจากอานุภาพแห่งธรรมกาย ดลบันดาลให้สิ่งที่ดีงามบังเกิดขึ้นในโลกนี้ มวลมนุษยชาติจะปรองดองกัน จะมีความสามัคคีกันจะแบ่งปันทรัพยากร ที่มีจำกัดอยู่ในโลกนี้ให้ซึ่งกันและกันจะรู้จักการให้ จะรู้จักวิธีการแสวงหาความสุข ที่เกิดจากการให้ จะยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน

 


                เพราะฉะนั้นธรรมกาย effect จะเกิดขึ้นเมื่อทุกคนเข้าถึงธรรมกาย แล้วก็เอาธรรมกายเหล่านี้นะจ๊ะ มาซ้อนให้ตรงกันเลยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์เลย หลวงพ่อขอฝากลูก ๆ ชายหญิงทุกคนเอาไว้อย่างนี้นะจ๊ะ ที่นี้เราก็อธิษฐานจิตคุณยายก็คุมบุญ คุมบุญแล้วก็อาราธนาพระธรรมกายพระพุทธเจ้าให้ศีลให้พรแก่ลูก ๆ ชายหญิงทุกคนใครที่เป็นนักศึกษาก็ให้มีดวงปัญญาอันเลิศ ศึกษาให้สำเร็จสมความปรารถนา ใครเป็นนักธุรกิจก็ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ใครที่รับราชการก็ให้ไปได้สูงที่สุดในสายนั้น ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข เป็นครอบครัวตัวอย่างของโลก เป็นครอบครัวธรรมกาย ให้สมบัติทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้หลั่งไหลมาที่ลูก ๆ ชายหญิงทุกคน ได้สร้างบารมีอย่างไม่รู้จักหมดไม่รู้จักสิ้น 

 


                ให้สมบัติทั้งหลายหลั่งไหลมาที่ลูก ๆ ชายหญิงทุกคน ได้สร้างบารมีอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น ให้สมบัติทั้งหลายที่อยู่ในโลกนี้นะ หลั่งไหลมาที่ลูก ๆ ชายหญิงทุกคน ให้ลูก ๆ ชายหญิงทุกคนได้สร้างบารอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น ให้เข้าถึงฐานะแห่งความเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้เข้าถึงฐานะแห่งความเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้เข้าถึงฐานะแห่งความเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญให้แทงตลอดในวิชชาธรรมกาย ให้แทงตลอดในวิชชาธรรมกาย ให้แทงตลอดในวิชชาธรรมกาย ให้ปลอดภัยในทุกสถานที่ ให้ปลอดภัยในทุกสถานที่ ให้ปลอดภัยในทุกที่สถานที่ ให้พระธรรมกายพระพุทธเจ้าปกปักรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข คิดอะไรให้สมความปรารถนา คุณยายคุมบุญอย่างนี้นะจ๊ะ ให้กับลูก ๆ ชายหญิงทุกคน ลูกชายหญิงทุกคนก็เอาใจหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้วก็อธิษฐานจิตตามใจชอบทุก ๆ คนเลยนะจ๊ะ 


 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.078931168715159 Mins