ความเจริญของใจ

วันที่ 15 เมย. พ.ศ.2567

150467b01.jpg โอวาทหลวงพ่อ หลวงพ่อธัมมชโย ความเจริญของใจ สมาธิ ปฏิบัติธรรม ธรรมกาย ดวงธรรม ดวงปฐมมรรค
ความเจริญของใจ
๖ มิถุนายน ๒๕๓๖
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

 

                ต่อจากนี้ตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานทุก ๆ คนนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ นะจ๊ะ ทุก ๆ คน ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย นี่เป็นท่านั่งที่เป็นแบบแผนสืบต่อกันมา ซึ่งเราจะต้องรู้จักเอาไว้เพราะท่านั่งนี้ ท่านหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านได้จำลองแบบมาจากท่านั่งของพระธรรมกาย ซึ่งท่านได้ค้นพบภายในตัวของท่าน เพราะฉะนั้นท่านั่งที่เป็นท่ามาตรฐานเราควรจะศึกษาให้รู้จักให้เข้าใจเอาไว้ และช่วยกันรักษาเอาไว้  เป็นท่านั่งที่เหมาะที่จะทำให้กายของเราตั้งตรงอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีอาการเกร็งหรือฝืนอริยาบถเลย

 


                เมื่อเราทำเป็นแล้วน่ะ ท่านี้เป็นท่าที่เหมาะที่สุดที่จะทำให้เรานั่งได้นานโดยไม่ค่อยปวดเมื่อยเท่าไหร่และจากการที่หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญท่านเข้าไปค้นพบธรรมกายภายในท่าน เมื่อท่านเห็นท่านั่งอย่างนี้เนี่ยท่านก็เกิดความรู้แจ้งขึ้นมาในใจของท่านว่าท่าของบุคคลที่มีความสมบูรณ์ในชีวิต มีความเต็มเปี่ยมของชีวิตหมดจากกิเลสอาสวะ เสวยสุขอย่างเดียว บรมสุขอย่างเดียว ท่านั่งที่สมบูรณ์ของผู้ที่สมบูรณ์นี่น่ะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นศึกษาเอาไว้นะจ๊ะ 

 


                ในแง่ของการปฏิบัติจริง ๆ สำหรับผู้เริ่มต้นศึกษาใหม่ เมื่อเราอยู่ที่บ้านเราจะนั่งในอริยาบถที่สบายก็ได้คือ นั่งยังไงก็ได้ให้มีความรู้สึกว่าเลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะนั่งพิงข้างฝา จะนั่งห้อยเท้าหรือจะนั่งอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ให้ท่านั่งของเราอยู่ในอริยาบถที่สบาย เลือดลมในตัวเดินได้สะดวกนะจ๊ะ แต่อย่างไรก็ตามให้รักษาท่านี้เอาไว้นะ และต่อไปเมื่อเราทำเป็นแล้ว ใจหยุดนิ่งเป็นแล้วเนี่ย ท่านี้เหมาะที่สุดเลย จำไว้นะจ๊ะ

 


                เมื่อเราปรับท่านั่งดีแล้ว ต่อจากนี้ก็ทําใจของเราให้เบิกบานให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส สมมติตัวของเราเองอยู่ในท่ามกลางของอวกาศโล่ง ๆ เหมือนเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งทั้งหลาย และต้องสมมติว่าเราไม่มีภาระผูกพันกับสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้นในโลก ไม่ผูกพันกับครอบครัว ภารกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน ทำประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยพบปะเจอะเจอภารกิจเหล่านั้นมาก่อน สมมติว่าอยู่คนเดียวในโลกนะจ๊ะ และก็ทำใจให้เบิกบาน ให้สดชื่น ทำใจให้เบิกบานให้สดชื่น แผ่เมตตาธรรมของเราน่ะไปรอบทิศทางไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย

 


                คําว่าแผ่เมตตานะ แผ่ก็คืออาการที่ใจขยายออกไปน่ะ เมตตาธรรมก็คือใจที่บรรจุด้วยความสุขความปรารถนาดีเต็มเปี่ยมอยู่ในใจของเราน่ะ กระทั่งทำใจของเราให้บริสุทธิ์จากความขุ่นมัว จากความขัดเคืองใจน่ะ ความบริสุทธิ์นั้นปรากฏออกมาเป็นดวงใสสว่างจากกลางกายของเรา แผ่ขยายออกทั่วร่างกายของเรา กระทั่งขยายกว้างออกไปรอบทิศทาง ทุกทิศทุกทาง ไปยังเพื่อนสหธรรมิกยอดกัลยาณมิตรทั้งหลาย และแผ่กว้างไปเรื่อย ๆ จากจุดที่เรานั่งเรื่อยไปเลย ไปทั่วจังหวัดหลาย ๆ จังหวัด ทั่วประเทศ นานาประเทศทั่วโลก สุดขอบฟ้า สุดขอบจักรวาลไปอย่างไม่มีขอบเขต เหมือนเราเป็นจุดศูนย์กลางของวงกลมที่ไม่มีเส้นรอบวง มีความสว่างสบายน่ะ ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับกระแสคลื่นแห่งความปรารถนาดีของเรา บริสุทธิ์ตามไปด้วย มีความสุขมีความสดชื่น มีความเบิกบานเกิดขึ้น แผ่ขยายแล้วก็ทำใจให้นิ่ง ๆ ทำใจให้นิ่งนะจ๊ะ 

 


                นิ่งให้นานที่สุด รักษาอารมณ์สบายของเราเอาไว้แผ่ไปเรื่อย ๆ และก็ทำใจให้นิ่งให้บริสุทธิ์ หยุดนิ่งนี่เป็นตัวสำเร็จ ถ้าใจเราหยุดนิ่ง หยุดได้ นิ่งได้ เฉยได้ อย่างเบาสบายและต่อเนื่อง ถ้าได้อย่างนี้ไม่ช้าเราจะเข้าถึงดวงธรรมกัน แต่ตอนนี้แผ่ขยายใจไปอย่างเบาสบายนะจ๊ะ ใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีน่ะ แผ่ไปให้ทั่วเลย เมื่อไปกระทบกับสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม ธาตุเป็นธาตุตายทั้งหมดเลย ต้นหมากรากไม้ภูเขาเลากาคนสัตว์สิ่งของต่าง ๆ แผ่ไปเรื่อยเลย จนกระทั่งผู้มีกายละเอียดที่ละเอียดกว่าเราน่ะ ตั้งแต่ละเอียดน้อย ละเอียดมาก และก็มาก ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ ให้มีความสุขสดชื่นเบิกบาน แผ่แล้วทำใจนิ่ง ๆ นะจ๊ะ ทำใจให้นิ่งอย่างสบาย ๆ โดยไม่มีการบังคับเกร็งหรือตั้งใจเลย ให้แผ่อย่างสบาย ๆ และทำใจให้นิ่งให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ นี่สำหรับท่านที่มาใหม่นะจ๊ะ

 

 

                ส่วนท่านที่มาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ใครสามารถเข้าถึงดวงธรรมเบื้องต้นใส ๆ ที่กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วก็เอาใจหยุดอยู่ที่กลางนั้นและค่อย ๆ แผ่ขยายให้เราเป็นศูนย์กลางของดวงธรรมนั้นน่ะ ขยายกว้างออกไปจนกระทั่งดวงธรรมนั้นขยายรอบตัว ไปทุกทิศทุกทางจนกระทั่งสุดขอบฟ้าไปเลย นี่สำหรับท่านที่ทำเป็นนะจ๊ะ ถ้าทำเป็นจะเห็นดวงธรรมใสบริสุทธิ์เหมือนเพชรลูกหรือยิ่งกว่าเพชรที่เจียระไนแล้วนะ ไม่มีขีดไม่มีข่วนคล้ายขนแมวนะ ใสบริสุทธิ์ เราขยายไป ดวงธรรมนั้นจะโปร่งเบาคล้าย ๆ กับฟองสบู่หรือฟองแชมพูที่เราเคยเป่าเล่นน่ะ มันจะขยายกว้างออกไป นี่สำหรับท่านที่เข้าถึงดวงธรรมนะจ๊ะ 

 


                ส่วนท่านที่เข้าถึงกายภายในจะเป็นกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมหรือกายธรรม กายองค์พระใส ๆ ที่ใสบริสุทธิ์กายใดกายหนึ่งก็ตามนะ เราก็นึกแผ่ขยายให้กว้างออกไปอย่างแผ่วเบา อย่างละเอียดอ่อน อย่างนุ่มนวลสบาย ๆ และต่อเนื่องกันให้เราเป็นศูนย์กลางของกายนั้นน่ะ กระทั่งกายนั้นขยายครอบคลุมตัวเรา ใหญ่กว่าตัวเราเรื่อยไปเลย จนสุดขอบฟ้าแผ่ไปอย่างสบาย ๆ เนี่ย ทำใจเย็น ๆ งานทางใจจะต้องไม่มีการบังคับโดยเด็ดขาด จะต้องใช้วิธีประคับประคองให้ใจเราหยุด ให้ใจเรานิ่งถึงจะประสบความสำเร็จ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้คำโดยย่อว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จน่ะ 

 


                งานทางใจนี้จะบังคับไม่ได้เลยนะจ๊ะ ตรงกันข้ามกับงานทางโลก วิธีการมันกลับตาลปัตรกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็หยุดให้นิ่งให้สบาย ใครที่เมื่อนั่งแล้วแสงสว่างเกิดขึ้นและจะขยายแสงสว่างนั้นออกไปก็ได้ ตั้งแต่สว่างเหมือนฟ้าสาง ๆ สว่างเหมือนฟ้าตอนสาย ตอนใกล้เที่ยง หรือตอนเที่ยงวัน ขยายออกไปด้วยใจที่เบิกบานด้วยใจที่เป็นสุข นี่ขยายไปเลยนะจ๊ะ อย่างเบา ๆ สบายและสังเกตดูใจเราเป็นสุขไม้ หนักไปไม้ บังคับใจรึเปล่าถ้าบังคับเราก็ปรับปรุงใหม่เปลี่ยนแปลงใหม่ แต่ไปอย่างสบาย ๆ ในตอนนี้บางท่านอาจจะมีความรู้สึกว่าตัวของเรานี่บางส่วนได้หายไป บางท่านครึ่งตัวหายไป บางท่านหายไปทั้งตัวเลยเหมือนไม่มีตัวตน แล้วก็มีความรู้สึกสบายเข้ามาแทนที่ ให้รักษาภาวะนี้ไว้นะจ๊ะ 

 


                อย่าไปตกอกตกใจสำหรับท่านที่มีประสบการณ์ใหม่ว่าทำไมร่างกายของเราหายไป ช่างมัน ปล่อยไปอย่าไปฝืน หัดทำใจเฉย ๆ กับประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บางท่านอาจจะมีอาการเหมือนขนลุกซู่ไปตามร่างกาย เหมือนมีกระแสอะไรซึ่งอยู่ในตัวเรา เราก็ปล่อยมันไปอย่าไปสนใจมัน ทำใจเฉย ๆ รับรู้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแต่เราไม่รับเอาไว้ ไม่ให้ความสำคัญ ทำใจให้หยุดให้นิ่งเฉยอย่างเดียว นี่เรากำลังอยู่ในขั้นตอนของการแผ่เมตตาขยายใจอยู่นะจ๊ะ เรากำลังอยู่ในขั้นตอนนี้

 


                การปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงธรรมกายนั้นน่ะ เราจะต้องฝึกนิสัยใหม่ให้เป็นคนที่ใจเยือกเย็น ใจใส ใจสบายอย่างเยือกเย็น อย่าเร่งร้อน ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไปน่ะ อย่าไปมีความตั้งใจมากเกินไปน่ะ แม้ว่าส่วนลึกๆ ของใจเราน่ะเราอยากได้ธรรมกายจริง ๆ เราอยากเข้าถึงจริง ๆ เราอยากเห็นพระธรรมกายจริง ๆ เพราะเราได้ยินได้ฟังคนโน้นคนนี้ที่เข้าถึงเค้าพูดกัน เค้ามีความสุข เค้ามีความเบิกบานน่ะ เราก็อยากจะเข้าถึงกับเค้าบ้าง ไม่ว่าเราจะพยายามยังไงก็แล้วแต่ ส่วนลึก ๆ ก็ยังเกิดความรู้สึกอย่างนี้ ก็ให้มันอยู่ในส่วนลึกของใจนะจ๊ะ ความอยากอย่างนี้น่ะ อยากที่จะได้ อยากที่จะเห็น อยากที่จะเป็นธรรมกาย ให้มันอยู่ส่วนลึก ๆ แล้วพยายามหักห้ามใจที่จะเผลอทะยานอยากได้เร็ว ๆ น่ะ พยายามหักห้ามใจไว้นะจ๊ะ 

 


                โดยการทำใจให้ใสเยือกเย็น แล้วก็สอนตัวของเราเองทุก ๆ ครั้งที่ปฏิบัติธรรมทุก ๆ วัน ว่าการวิวัฒนาการหรือการเจริญเติบโตของสรรพสิ่งทั้งหลาย มันก็จะต้องเป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไปน่ะ อย่างเช่นเราปลูกต้นไม้น่ะ เมื่อเราฝังเมล็ดลงไปในดิน หน้าที่ของเราเพียงแค่รดน้ำมันทุกวัน ส่วนการเจริญเติบโตก็เป็นหน้าที่ของเมล็ดผลไม้นั้น ซึ่งมันจะเจริญเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปน่ะ เราก็มีหน้าที่รดน้ำ มันไปทุกวัน ความเจริญเป็นหน้าที่ของต้นไม้ ทำไปอย่างนี้น่ะ จนกระทั่งวันหนึ่งผลแห่งความเพียรของเราปรากฏเกิดขึ้น ต้นไม้นั้นก็ให้ดอกให้ผล การเจริญเติบโตของร่างกายเราก็เช่นเดียวกัน เราก็รับประทานอาหารไปแบบค่อยเป็นค่อยไป ร่างกายก็ค่อย ๆ เจริญเติบโตทีละเล็กทีละน้อย เราสังเกตไม่ออกหรอกว่าอาหารมื้อหนึ่งน่ะ จะทำให้ร่างกายเราโตวันละกี่เซ็นต์ เรานึกไม่ออก แต่เผลอ ๆ เราก็เปลี่ยนจากวัยทารกมาเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว เจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ การปฏิบัติธรรมนี้ก็เช่นเดียวกันนะจ๊ะ 

 


                เราจะเร่งรีบเราจะเร่งร้อนไม่ได้ เหมือนต้นไม้เหมือนร่างกายของเราอย่างนี้แหละ มันจะค่อย ๆ เจริญเติบโตไป ทางจิตใจ เมื่อเราทำสมาธิทุก ๆ วัน ปฏิบัติธรรมทุกวัน ฝึกใจหยุดใจนิ่งให้มีชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลางให้มาก ๆ เหมือนนักบินมีชั่วโมงบินอย่างนั้น สมาธิก็จะค่อย ๆ ถูกสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ใจของเราที่หยาบก็จะถูกค่อย ๆ ถูกขัดเกลาให้ละเอียดไปทีละเล็กทีละน้อย สิ่งที่เป็นมลทินของใจเราที่ไม่บริสุทธิ์ก็จะถูกขัดเกลาไปเช่นเดียวกันทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุดมันก็บริสุทธิ์ขึ้น ในที่สุดมันก็ละเอียดขึ้นและสักวันหนึ่ง เราก็จะสมหวัง 

 


                แต่ส่วนมนุษย์พิเศษก็มีอยู่นะจ๊ะ ที่เค้ามาเพียงวันเดียวปุ๊บปั๊บเค้าก็ฝึกใจหยุดใจนิ่งเข้าถึงดวงธรรมได้ อย่างนี้มีเหมือนกัน มองดูเผิน ๆ แล้วนี่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าหากเรามีสายตาที่ไกลไปกว่านั้นน่ะ เราจะค้นพบว่าจริง ๆ แล้วนี่มนุษย์พิเศษเหล่านั้นท่านเหล่านั้น ได้ผ่านการฝึกฝนตัวเองมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ฝึกการทำใจหยุด ฝึกการทำใจนิ่ง ฝึกการทำใจใส ๆ ต่อเนื่องกันมายาวนานหลายภพหลายชาติ สิ่งที่เค้าทำบ่อย ๆ ย่อมเกิดความชำนาญ เพราะฉะนั้นเนี่ย พอมาถึงเป็นครั้งแรกก็สามารถกำหนดนิมิตได้ เข้าถึงดวงธรรมได้ เข้าถึงกายภายในได้ อย่างนี้ก็มีอยู่

 


                เมื่อเราประสบพบท่านวิเศษอย่างนี้น่ะ มนุษย์พิเศษเหล่านี้เราควรจะทำอย่างไร สิ่งที่เราควรจะทำคือปลูกฝังมุทิตาจิตเข้ามาในใจน่ะ แสดงความยินดีกับเค้าว่า นี่เป็นผลแห่งความเพียรตั้งใจทำความดีข้ามภพข้ามชาติมานี้เค้าจึงสมความปรารถนา และในเวลาเดียวกันสร้างกำลังใจของเราให้เกิดขึ้นว่า เราจะต้องทำความเพียร ให้สม่ำเสมอเพื่อให้เป็นอย่างท่านเหล่านี้บ้าง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปนะจ๊ะ ให้ฝึกใจให้หยุดให้นิ่งให้ไส ให้บริสุทธิ์ มองดูเผิน ๆ เหมือนจะช้านะจ๊ะ ไม่ค่อยจะได้ดังใจเราเท่าไหร่ใ นการที่หลวงพ่อบอกให้ทำแบบค่อยเป็นค่อยไปน่ะ แต่เชื่อไม่จ๊ะว่าความเป็นจริงแล้วน่ะ สิ่งที่เราดูว่าเหมือนช้านี่น่ะมันกลับเร็ว สิ่งที่เราดูว่าเร็วน่ะบางทีมันจะกลับช้า อย่างเช่นเราเอาวิธีทางโลกทางหยาบ ๆ มาใช้ในการปฏิบัติธรรม เราบังคับใจเราให้หยุดให้นิ่ง กลั้นลมหายใจมั่ง พยายามตัดความคิดต่าง ๆ แล้วก็บังคับ เราอาจจะนึกนิมิตได้แต่ว่ามันหยาบ ในที่สุดมันก็จะตื้อ มันก็จะตันและพลอยทำให้เราเบื่อหน่าย 

 


                หลังจากเลิกนั่งแล้วระบบประสาทถูกรวบเข้ามาทำให้เกิดความตึงเครียด ในที่สุดมันก็ไม่ได้ผล สิ่งที่ดูว่าเร็วในที่สุดมันก็จะทำให้ช้า เพราะว่าวิธีในทางธรรมนั้นน่ะมันสวนกับกระแสทางโลก เนื่องจากดวงธรรมภายในหรือกายละเอียดภายในเป็นของที่ละเอียดมีอยู่แล้วในตัวของเรา เราจะเข้าถึงได้เราก็จะต้องทำใจของเราเนี่ยให้ละเอียดเท่ากับดวงธรรมหรือกายภายในนั้น ใจจะละเอียดจนกระทั่งเท่ากับดวงธรรมหรือกายในนั้นน่ะ มีวิธีทำได้เพียงวิธีเดียวเท่านั้นก็คือทำให้มันหยุดให้นิ่ง เฉย ๆ อย่างสบายและต่อเนื่อง มันก็จะค่อย ๆ ละเอียดไปทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งในที่สุดละเอียดเท่ากับดวงธรรมภายในหรือกายภายใน เมื่อความละเอียดเท่ากันแล้ว ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นมาคือเราจะมีความรู้สึกว่าโล่ง ใจเราโล่งโปร่ง เบาสบาย ไม่มีตัวตนน่ะ รู้สึกกายขยาย แสงสว่างก็เกิดขึ้นมาในกลางกาย เราจะเริ่มเห็นดวงธรรมผุดเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากในกลางกายของเรา 

 


                เราจะเริ่มเห็นดวงธรรมผุดเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากในกลางกายของเรา บางท่านเป็นจุดเล็ก ๆ เหมือนดวงดาวในอากาศ บางท่านเป็นดวงกลมเหมือนดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ บางท่านเหมือนดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน เกิดขึ้นมาเองเลยนะจ๊ะ เนี่ยเป็นเรื่องที่แปลกทีเดียวน่ะ พอใจของเราละเอียดแล้วสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาเอง นั่นก็คือเราละเอียดเท่ากัน ความเป็นจริงก็คือเมื่อความละเอียดเท่ากันแล้วก็จะถูกดึงดูดเข้าไปสู่สิ่งนั้นเหมือนเครื่องส่งเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์อย่างนั้น เมื่อคลื่นละเอียดเท่ากันแล้วก็จะดึงดูดเข้าหากัน เมื่อดวงธรรมกับใจเราละเอียดเท่ากัน เราก็จะเห็นดวงธรรม เมื่อเราละเอียดเท่ากับกายภายในเราก็จะเห็นกายภายในเราก็จะเห็นกายภายในใสบริสุทธิ์ ยิ่งหยุดนิ่งมากก็จะยิ่งเห็นชัดเจนมาก ยิ่งหยุดให้สนิทก็จะยิ่งเห็นแจ้งสว่างแจ้งขึ้นมาเรื่อย ๆ เลย

 


                เพราะฉะนั้นหยุดนิ่งนี่สำคัญนะจ๊ะ หยุดนิ่งเหมือนเราขับรถไปเร็ว ๆ เราจะมองวัตถุสิ่งของ ๒ ข้างทางไม่ค่อยชัดเจน เมื่อไหร่เราอยากจะให้การมองเห็นของเราได้ชัดเจน เราต้องหยุดรถจอดให้สนิท เปิดประตูรถออกไปดูน่ะถึงจะเห็นชัด นี่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าใจเราหยุดสนิทนั่งละเอียดอ่อนเราจะเห็นดวงธรรมก็ชัด เห็นกายก็ชัดเห็นสิ่งเหล่านั้นค่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เลย ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราเห็นได้ชัดเจนเหมือนเราลืมตาดูวัตถุภายนอก ถ้าหยุดสนิทกว่านั้นน่ะ เราจะเห็นชัดยิ่งกว่าลืมตาเห็น คำนี้แปลกไม๊จ๊ะยิ่งกว่าลืมตาเห็นวัตถุภายนอกคือภาพมันจะคมชัดทีเดียว ซึ่งปกติการเห็นของเรานั้นน่ะไม่สามารถจะคมชัดอย่างนี้ได้ นอกจากจะใช้เลนซ์ เลนซ์ของกระจกนะ เลนซ์ของกล้องดึงภาพเหล่านั้นเข้ามา นี่เหมือนกันถ้าใจเราหยุดเราก็จะดึงภาพเหล่านั้นเข้ามาจนกระทั่งเราเห็นชัดยิ่งกว่าลืมตาเห็น 

 


                เห็นชัดทีเดียวและถ้าหยุดสนิทกว่านี้ไปอีก เราจะถูกดูดกลืนเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นดวงธรรมหรือกายภายในน่ะ จะถูกดูดเข้าไปน่ะ อาการดึงดูดนี้ถ้าใครไม่เคยมีประสบการณ์ บางทีกลัว บางทีตกใจน่ะ บางท่านเห็นเป็นท่อกลวงลงไป เห็นเป็นหุบเหวน่ะ บางคนก็ลงไปอย่างรวดเร็ว วูบลงไปตกใจเกิดอาการเสียวมาก เลยลืมตาขึ้นมากลัว บางท่านไม่ทันกลัวมันวูบลงไปก็ถึงแล้ว แต่บางท่านก็ลงไปอย่างนุ่มนวล ค่อย ๆ ลงไปอย่างเบาสบายและก็เห็นชัดเจนทีเดียว มันน่าอัศจรรย์และน่าทึ่งเป็นแต่เพียงเราหลับตาแต่เราไปเห็นข้างในได้น่ะ และคำว่าข้างในเนี่ยมันไม่เหมือนในกล่องหรือว่าขวดโหลอะไรอย่างนั้นน่ะ มันเป็นข้างในที่กว้างขวางกว่าข้างนอก เห็นได้รอบทิศทีเดียว เห็นได้รอบตัวแปลกมาก ปกติเวลาเราจะเห็นอะไรต้องเหลียวซ้ายแลขวา แล้วค่อย ๆ เหลือบดูไปทีละนิดทีละหน่อยกว่าจะทั่วถึง แต่ภายในพอเราเอาใจหยุดนิ่งถูกส่วนมันจะเห็นได้รอบทิศ

 


                พระพุทธเจ้าท่านใช้วิธีการอย่างนี้นะจ๊ะ นี่ท่านหยุดใจอย่างนี้น่ะ หยุดอย่างเดียว วางเบา ๆ สบาย ๆ ในที่สุดพอถูกส่วนก็ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไปตามลำดับ เห็นดวงธรรมผุดขึ้นมาท่านก็ดูของท่านเรื่อยไปเลย ดูเฉย ๆ ดูแบบไม่สงสัยอะไร ไม่ต้องคิดอะไร ไม่เหมือนพวกเราดู พวกเราดูไปก็เอะอะไปเนี่ย เอะใช่ไม่คิดไปเองไม้ เอ้เราคิดไปมั้ง เลยเลิกนั่งก็มี แต่ของท่านของท่านก็ดูไปอย่างนี้ ดวงธรรมก็ผุดเกิดขึ้น กายภายในก็ผุดเกิดขึ้น จนกระทั่งเห็นกายธรรม กายธรรมน่ะมองเห็นซ้อน ๆ กันไปเลย ตั้งแต่ ๔ คู่ ๘ บุรุษนะ พระโสดาบันต่าง ๆ พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหัต ทั้งหยาบละเอียด พระโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล มองเห็นไปหมดอย่างนี้ สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล มองไปอย่างนี้เนี่ย มองไป ไปถึงกายไหน ความรู้ของกายนั้นก็บังเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นอย่างนี้นะจ๊ะ 

 


                เพราะฉะนั้นหยุดนิ่งนี่เป็นตัวสำเร็จ ที่หลวงพ่อจำเป็นจะต้องพูดยืดยาวอย่างนี้ ก็เพื่อให้ท่านที่มาใหม่ทั้งชายทั้งหญิงทั้งในและต่างประเทศ จะได้ทำความเข้าใจเอาไว้ มันมีความจำเป็นจะต้องอธิบายให้ละเอียดซักนิดนึง ถ้าหากเราทำความเข้าใจอย่างนี้ ไม่ดูเบาในสิ่งที่แนะนำซึ่งดูเหมือนไม่มีอะไรเนี่ย จะทำให้เราไม่เสียเวลาในการที่จะเข้าถึงธรรมและถ้าทำตามนี้ เราก็จะค้นพบว่า ธรรมะแม้เป็นของลึกซึ้งแต่ก็สามารถเข้าถึงได้อย่างง่าย ๆ โดยทำให้มันถูกวิธีคือทำใจให้หยุดให้นิ่งให้เฉย ๆ อย่างสบายๆ นะจ๊ะ นี่ทำกันไปอย่างนี้ ให้หยุดนิ่ง ขณะนี้เรายังหยุดนิ่งกันอยู่อย่างสบาย ๆ  

 


                จุดที่ตำแหน่งที่เราจะต้องเอาใจของเราไปวาง เมื่อใจเรานิ่งแล้วน่ะ ก็คือกลางกายตามหลักวิชา ก็หมายถึงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ คือตำแหน่งที่ ถ้าเราสมมติขึงเส้นเชือกจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้ายน่ะให้เส้นเชือกตัดกันเป็นกากบาท เหนือจากจุดตัดนั้นขึ้นมา ๒ นิ้วมือเรียกว่าฐานที่ ๗ ในทางทฤษฎีนั้นจะต้องเอาใจมาวางไว้ที่ตรงนี้ แต่ในแง่ของการปฏิบัติจริง ๆ ขอให้ท่านที่มาใหม่อย่าได้กังวลใจเกี่ยวกับศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ มากเกินไป ให้คิดแต่เพียงว่าอยู่ในกลางท้องของเรา และก็ทำใจให้สบายให้เบิกบาน แม้จะยังนึกอะไรไม่ออก ยังจะไม่เห็นอะไรก็ตามก็ควรจะรักษาความเบิกบานเอาไว้ที่ตรงกลางกายน่ะ ทำใจให้มันสบาย ๆ ให้มันหยุด ให้มันนิ่งให้มันเฉย ๆ จนกระทั่งเรามีความรู้สึกว่าเราพอใจกับความรู้สึกชนิดนี้ อารมณ์ชนิดนี้น่ะ รักษาตรงนี้เอาไว้ให้ดีนะจ๊ะ ตรงนี้คือฐานที่ ๗ นั่นเองนั่นแหละ แต่เราจะยังเห็นไม่ชัดจนกว่าใจเราจะหยุดนิ่งสนิท 

 

 

                พอหยุดสนิทเดี่ยวเราก็จะเห็นชัดขึ้นมาเองว่าตรงนี้คือตำแหน่งฐานที่ ๗ ที่หลวงพ่อได้กล่าวเอาไว้แล้ว คือเหนือจากจุดตัดของเส้นเชือกทั้ง ๒ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เราจะเห็นเองในภายหลังนะจ๊ะ เนี่ยใจให้นิ่งอยู่ที่ตรงนี้เนี้ย ขณะนี้ถ้าใครสามารถ ใครนะจ๊ะหมายถึงบางท่านน่ะสามารถนึกถึงดวงใส ๆ ได้เราก็นึกไป หรืออยากจะนึกเป็นองค์พระแก้วใส ๆ ก็ได้หรือจะนึกเป็นฟองสบู่ฟองแชมพูอะไรก็ได้ หรือจะเป็นหยดน้ำใส ๆ ที่ค้างอยู่ที่ปลายยอดหญ้าก็ได้ หรือน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว สรุปง่าย ๆ ก็คือให้ควรจะเป็นของใส ๆ กลมมีสัณฐานกลม ถ้าเป็นกายควรจะเป็นองค์พระ องค์พระก็ควรจะเป็นแก้วใส ๆ จะองค์ใหญ่องค์เล็กไม่สำคัญ ให้ท่านนั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา อยู่ในกลางกายตรงนั้นนะจ๊ะ ในแง่ของการปฏิบัติจริง ๆ นี่บางท่านกําหนดคือนึกเป็นดวงใส ๆ แต่ภาพกลับปรากฏมาเป็นองค์พระ หรือบางท่านกําหนดเป็นองค์พระแต่ภาพกลับปรากฏเป็นดวงแก้ว จะเกิดดวงแก้วหรือองค์พระอย่างใดอย่างหนึ่ง ดีทั้งนั้นนะจ๊ะ ของดีทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เราควรจะทำคือดูไปเรื่อย ๆ ทำใจเฉย ๆ ไม่ต้องไปคิดอะไรอย่าไปตั้งคำถามว่า มันถูกวิธีไม้ ถูกต้องไม้ หรือเราต้องการสิ่งนี้ทำไมเห็นสิ่งนั้น อะไรต่าง ๆ ให้จำง่าย ๆ นะจ๊ะ

 


                เห็นอะไรก็ตาม จะเป็นดวงแก้วจะเป็นองค์พระหรือนอกเหนือจากนี้น่ะ ให้ดูเฉย ๆ มองเฉย ๆ และไม่จำเป็นจะต้องไปลุ้นให้มันชัดเจนเหมือนอย่างที่เราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก มีมาให้มองชัดเจนแค่ไหนเราก็มองไปอย่างนั้นเรื่อย ๆ เช่นถ้ามีให้เห็นแค่ ๕๐% เราก็ดูไปเรื่อยในระดับที่เราเห็นภาพนั้นได้ ๕๐% อย่าไปบีบอย่าไปเค้น อย่าไปบังคับภาพให้ชัด ๑๐๐% ถ้าทำอย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะเครียดแล้วไม่ได้ผลน่ะ ตรงนี้แหละจะฝึกนิสัยให้เราเป็นคนใจเย็นคือภาพที่ปรากฏเกิดขึ้นมาน่ะ มันชัดขนาดไหนลองดูซิว่าใจเราเย็นพอไม้ที่เราจะดูภาพที่มันชัดยังไม่ได้ดังใจเราเนี่ย อย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยเราไม่รำคาญใจว่าทำไมมันไม่ชัดตามใจปรารถนา ตรงนี้แหละจะเป็นแบบฝึกหัดฝึกใจของเราที่เคยร้อนรุ่มกระวนกระวายรวดเร็วเนี่ย ให้ใจเย็นๆ ให้เชื่อหลวงพ่อนะจ๊ะ ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะได้ผลช้าแต่ความจริงนั้นเร็ว แต่ถ้าไปบีบไปเค้นภาพจะให้มันชัดได้ดั่งใจเราน่ะ ดูเหมือนเร็วแต่ว่ามันจะช้า บางท่านเสียเวลาเป็น ๑๐ ปีหรือยิ่งกว่านั้นและไม่ได้อะไร

 


                เพราะฉะนั้นมีอะไรให้ดูเราก็ดูเรื่อย ๆ ไป ทบทวนอีกทีนะจ๊ะ คำว่ามีอะไรให้ดูน่ะ จำนะจ๊ะ เวลาปฏิบัติจริง ๆ มักจะลืมกันน่ะ เพราะเราคุ้นเคยกับการบังคับใจน่ะ เพราะฉะนั้นจำไว้นะ มีอะไรให้ดูเราก็ดูเรื่อยไป เช่นพอหลับตาแล้วเนี่ย มีความมืดให้ดูไม่เห็นภาพอะไรเลย เราก็ดูความมืดเรื่อยไป แล้วเราจะค้นพบว่าไอ้มืดจริง ๆ ไม่มีหรอก ถ้ามีความมืดให้ดูจงดูความมืดเรื่อยไป ถ้าเริ่มมีความสว่างเหมือนฟ้าสาง ๆ ให้ดูเหมือนตอนตี ๕ ในฤดูร้อนน่ะ เราก็ดูเรื่อยไป มีแสงสว่างที่เกิดขึ้นยิ่งกว่านั้นเหมือนตอนสาย ๆ เราก็ดูเรื่อยไป ดูไปเฉย ๆ มีภาพจุดเล็ก ๆ ใส ๆ ให้ดู เกิดขึ้นให้ดูเราก็ดูเรื่อยไป จะเป็นดวงจะเป็นกายให้ดู เราก็ดูเรื่อยไป ไม่ว่าภาพที่เกิดนั้นน่ะจะชัดเจนเท่าไรก็ตาม ดูไปเฉย ๆ อย่าไปบังคับใจให้ชัดเจนนะจ๊ะ นี่คือสูตรสำเร็จที่จะเข้าถึงธรรมกาย  

 


                ถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้เดี๋ยวคอยดูนะจ๊ะ มันจะชัดเจนขึ้นมา แล้วเราจะซาบซึ้งกับคำว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ต่อจากนี้ไปให้ลูก ๆ ชายหญิงทุก ๆ คน ตั้งใจฝึกให้ใจให้หยุดนิ่ง ถึงตอนนี้ถ้าท่านใดเมื่อยก็ขยับตัวแต่อย่าให้สะเทือนคนข้างเคียงเค้าน่ะ หลับตาเบา ๆ ทำใจสบาย ๆ และก็ให้หยุดนิ่งอยู่ในกลางกาย ถ้าอยากจะภาวนาว่าสัมมาอะระหัง ๆ ประกอบไปด้วยก็ได้ ถ้าไม่อยากจะภาวนาคิดว่าเราวางใจเฉย ๆ จะสบายกว่าก็ทำได้ให้ทำอย่างนี้นะจ๊ะ ต่างคนต่างทํากันไปเงียบ ๆ ใจเรายังอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ หยุดนิ่งให้สนิททีเดียว ให้ใจเราหยุดในหยุด ๆ หยุดนิ่งเฉย ๆ ที่กลางกายนะจ๊ะ ใครสามารถเข้าถึงดวงธรรมได้ก็หยุดเข้าไปที่กลางดวงธรรม ดวงใส ๆ กลมรอบตัวใสบริสุทธิ์ใครเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม หรือกายอรูปพรหมก็ให้หยุดไปที่ตามกายต่าง ๆ เหล่านั้นนะ ใครที่เข้าถึงกายธรรมเห็นองค์พระใสบริสุทธิ์อยู่ในกลางกายน่ะ ก็เข้ากลาง ก็ใจหยุดอยู่ในกลางกายธรรมเรื่อยไปเลย 

 


                ให้ใจเราหยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่งตรงกลางอย่างสบาย ๆ อย่าบีบหัวตานะจ๊ะ หลับตาซักครึ่งค่อนลูกน่ะ คล้าย ๆ เราเคลิ้ม ๆ จะหลับอย่างนั้นน่ะ ตาจะปิดแค่นั้นไม่ปิดสนิทหรอก ถ้าปิดสนิทเม้มแน่นนั่นผิดวิธี จะทำให้เครียดต้องสบาย ๆ จนกระทั่งเราไม่สนใจลูกนัยน์ตาเลย ใจนิ่งอยู่ตรงกลางอย่างสบาย ๆ เนี่ย ตรงกลางนั้นเป็นทางสายกลางที่เริ่มต้นจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา ปลายทางนั้นคืออายตนนิพพาน เพราะฉะนั้นของเราก็ต้องหยุดใจไปเรื่อย ๆ เอาใจหยุดไปตรงกลางน่ะ หยุดเข้าไปตามลำดับให้นิ่งอยู่ตรงนั้นนะ จนกระทั่งเห็นธรรมกาย สำหรับท่านที่เห็นธรรมกายก็เห็นธรรมกายในธรรมกายซ้อน ๆ ๆ ๆ กันไปนะ ธรรมกายผุดซ้อนเต็มมาหมดเลยน่ะ ซ้อนอยู่ในกลางของกลางน่ะ บางท่านเกิดมาทีละองค์ บางท่านทีละหลาย ๆ องค์ บางท่านมาที่ไม่ต้องนับกันเลยน่ะ ผุดซ้อนขึ้นมาหันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา ยิ่งซ้อนกายยิ่งละเอียดยิ่งบริสุทธิ์ขึ้น ใส

 


                ในอายตนนิพพานไม่มีอะไรกำบังเป็นที่โล่ง ๆ คล้าย ๆ อวกาศ สว่างด้วยธรรมรังสีของพระธรรมกายพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์นั่งสงบนิ่งอยู่บนฌานสมาบัติหมด นั่งเต็มไปหมดเลย ไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร ไม่มีศาลาการเปรียญ ไม่มีสิ่งก่อสร้างอะไรทั้งสิ้น วิมานอะไรก็ไม่มีน่ะ โล่ง ๆ เพราะไม่มีความจำเป็นสำหรับท่านสงบนิ่งใสบริสุทธิ์เต็มไปหมดเลย พอถวายทานขาดจากใจ วัตถุทานขาดจากใจ ปุญญาภิสันธา น่ะท่อกระแสธารแห่งบุญ กระแสธารแห่งบุญเนี่ยไหลผ่านมาเลยเนี่ย เข้าสู่ศูนย์กลางกายของพวกเรา ใครตั้งใจมากก็ได้มาก ตั้งใจน้อยก็ได้น้อย ใครหยุดนิ่งมากก็ได้มาก หยุดนิ่งน้อยก็ได้น้อยน่ะ เกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายไหลเอิบอาบลงมาเลยนะ เพราะซ้อนอยู่ในกลางกายเป็นดวง เป็นดวงบุญใสบริสุทธิ์ ดวงบุญอยู่ในกลางกายเนี่ยก็จะกลั่นธาตุในตัวน่ะ เอิบอาบกลั่นธาตุดินน้ำลมไฟวิญญาณอากาศ ทั้งธาตุทั้งธรรมสะอาดหมด เห็นจำคิดรู้สะอาด กายต่าง ๆ ก็สะอาดหมด สะอาดอยู่ในนั้นสะอาดเรื่อยมาเลย เรื่อยมาจนกระทั่งถึงกายหยาบและกระแสธารแห่งบุญไหลมาเลย 

 


                บุญเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาหยาบ สัมผัสจับต้องไม่ได้ด้วยมือ แต่เห็นได้ด้วยใจที่หยุดนิ่งของธรรมกาย เห็นได้ด้วยธรรมจักขุของธรรมกาย เห็นดวงบุญอยู่ในกลางกาย สิ่งนี้จะอยู่เบื้องหลังความสุขความสำเร็จในชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าใครดวงบุญโตกระแสธารแห่งบุญมาก ธาตุในตัวก็สะอาด ธาตุธรรมในตัวสะอาด เห็นจำคิดรู้สะอาด กายก็สะอาด สิ่งที่จะตามมาคือมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอายุยืน ร่างกายก็สวยงามได้ลักษณะที่สวยงามลักษณะมหาบุรุษ ผิวพรรณวรรณก็ผ่องใสเหมือนมีรัศมีอยู่ในตัว และก็กระแสธารแห่งบุญนั้น ให้มีมีความสุขอยู่ข้างในเนีย สบายกายสบายใจ เยือกเย็นเป็นสุข ไม่ฟุ้งซ่านไม่หงุดหงิดงุ่นง่าน ฟุ้งซ่านรำคาญใจ มีความสุขตลอดไม่ว่าจะนั่งจะนอนจะยืนจะเดิน สุขตลอดเลย มีกำลังใจที่แข็งแกร่งไม่กลัวอุปสรรค ร่างกายนี่แข็งแรงมากเลย และจะเกิดถ้ามาเกิดก็มาเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร 

 


                ที่เข้าไปนั่งใกล้พระรัตนตรัย จะเกิดอยู่ในร่มเงาพระศาสนาเกิดมาในกองเงินกองทอง ไม่ต้องทำมาหากินอะไร สมบัติคอยท่าไว้เลย บุญในตัวนี้แหละดลบันดาล ให้ส่งกระแสคลื่นไปดึงดูดสมบัติต่าง ๆ ให้มาคอยรองรับเอาไว้เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ทีเดียว แต่ถ้าเรามองด้วยธรรมจักขุของธรรมกาย จะเห็นกระแสไปดูดสิ่งเหล่านี้มา มีเท่าไหร่ดูดมาหมดตามกำลัง ถ้าหากดวงบุญโตมันก็ดูดแรงหน่อย ดวงบุญเล็กก็ดูดน้อยหน่อยน่ะ เนี่ยส่งกระแสจากกลางกายออกไปน่ะ ไปทั่วทุกทิศทุกทางเลย ไปทั่วหมดไปรอบตัวเลย สมบัติจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ดูดมาหมด เนี่ยกระแสดูดมาเหมือนเป็นขั้วแม่เหล็กใหญ่อย่างนั้นน่ะ ดูดมาเลย เกิดในตระกูลที่ดี เกิดในปฏิรูปเทศคือสถานที่ที่เหมาะสมต่อการสร้างบารมี ไม่มีคนภัยคนพาล เป็นบ้านเมืองที่อยู่อย่างอยู่เย็นเป็นสุข คนก็มีศีลมีธรรม วงศ์ตระกูลพ่อแม่พี่น้องทุกคนมีศีลมีธรรมหมด ทุกคนให้ความเคารพยกย่องชื่นชมบูชาหมดเลย ไปแห่งหนตำบลใดก็สะดวกสะดวกทุกอย่าง มีสมบัติเกิดขึ้นมาแล้วก็ไม่มีความคิดจะเอาไว้สำหรับตัวเองน่ะ มีความคิดเผื่อแผ่แจกจ่ายสันติสุขให้เกิดขึ้นแก่โลกต่อไป 

 


                เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ มีพวกพ้องบริวารที่ดี มีดวงปัญญาสว่างโพลงเจนจบทั้งทางโลกทางธรรม แตกฉานหมด ในทางโลกนี้เข้าใจเหลี่ยมดูผู้คนหมด เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องโลกได้อย่างดี ในทางธรรมก็แทงตลอดในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เลย แทงตลอดหมด เนี่ยบุญเกิดขึ้นในกลางกายน่ะ ทำให้บังเกิดผลอย่างนี้ และก็ส่งผลเรื่อยไปเลยจนกระทั่งได้บรรลุมรรคผลนิพพาน มีความสุขมีบรมสุขสุขอย่างเดียวในอายตนนิพพานทีเดียว เนี่ยบุญบังเกิดขึ้นไหลเข้ามาตรงกลางกาย คุณยายก็คุมบุญให้ลูกชายหญิงทุกคนทั้งภายในและต่างประเทศนี่ ให้เข้าถึงฐานะแห่งความเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้ได้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย ให้คิดอะไรก็ให้สมความปรารถนากันทุก ๆ คน ส่วนลูกชายหญิงทุกคนก็เอาใจหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายแล้วก็อธิษฐานจิตตามใจชอบ ในขณะที่คุณยายท่านกำลังอาราธนาพระธรรมกายพระพุทธเจ้า ให้ศีลให้พรคุมบุญให้กับพวกเราทุก ๆ คนนะจ๊ะ 


 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.01112181742986 Mins