พระเวสสันดร

วันที่ 28 พย. พ.ศ.2558

พระเวสสันดร

    สาเหตุที่ตรัสชาดก ครั้งเมื่อพระจอมมุนีเสด็จยังกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อโปรดพระประยูรญาติกาลนั้นฝนโบกขรพรรษสีแดงตกลงมา ผู้ต้องการให้เปียกก็เปียก ผู้มิต้องการให้เปียก ฝนก็ไม่ต้องกายผู้นั้น ภิกษุพูดกันในนิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ว่า โอ น่าอัศจรรย์ โอ ไม่เคยมี โอ อานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า มหาเมฆจึงยังฝนโบกขรพรรษเห็นปานนี้ให้ตกในสมาคมแห่งพระประยูรญาติทั้งหลาย พระทศพลทรงสดับดังนั้นมีพระพุทธดำรัส ว่า มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เวลาที่เรายังเป็นโพธิสัตว์อยู่ มหาเมฆก็ยังฝนโบกขรพรรษให้ตกในญาติสมาคมเหมือนกัน เมื่อภิกษุทูลอาราธนาจึงทรงนำอดีตมาตรัสเล่าดังต่อไปนี้..

 

            ในอดีต ณ เชตุดรนคร มีพระราชโอรส แห่งพระเจ้าสัญชัยพระนามว่าเวสสันดร พระองค์ทรงฝึกนิสัยรักการให้มาแต่ก่อนประสูติ จนเป็นนิสัยฝังแนบแน่นในกมล เป็นผลให้ทันทีที่ออกมาจากพระครรภ์ทรงถึงกับเหยียดพระหัตถ์ตรัสถามพระมารดาว่า..

"มีทรัพย์อะไรไหม หม่อมฉันจะบริจาคทาน"พระองค์ทรงให้ทานเรื่อยมาจนกระทั่ง 8 ชันษา วันหนึ่งทรงขึ้นบนประสาทเห็นผู้คนผ่านไปมาเกิดความดำริขึ้นวูบหนึ่ง วูบเดียวก็เกินพอ มีค่าพอที่จะเปลี่ยนชีวิตของพระองค์อย่างมหาศาล บางทียังมีค่ามากกว่าความคิดบางคนทั้งชีวิต! ทรงดำริว่า..


    "ถ้าใครขอดวงหทัย เราจะผ่าอกควักให้ หากขอดวงตา เราจะให้ดวงตา หากมาขอเลือดเนื้อในกาย เราก็จะเชือด สรีระนำเลือดออกมาให้ หากขอเราไปเป็นคนรับใช้ในบ้าน เราก็ยินยอมทั้งสิ้น"พระองค์ดำริความนี้ด้วยวัยเพียง 8 ชันษาเท่านั้น!

    เพียงแค่ความคิดก็มีอานุภาพได้ อยู่ที่คิดอย่างไร บางคนคิดแล้วต้องสำนึกเสียใจภายหลัง บางคนคิดแล้วแอบปลื้มอยู่ลำพัง แต่สำหรับความคิดของราชบุตรครั้งนี้เกิดผลตามมาอย่างน่าอัศจรรย์เทวดาได้ยินความคิดพระองค์ แผ่นดินไม่มีจิตใจก็ยังได้ยิน แผ่นดินชอบฟังความคิดเช่นนี้คล้ายดั่งว่าความคิด เช่นนี้มีคุณค่าต่อแผ่นดินและควรค่าแก่การฟัง เพราะมีแต่ผู้คิดเช่นนี้เท่านั้นที่จะให้สุขแก่ส่ำสัตว์บนผืนแผ่นดิน แผ่นดินถึงจะเบาขึ้น มิต้องรับภาระหนักเกินไป!

 

    ดังนั้น ในชั่วพริบตา มหาปฐพีได้กึกก้องกัมปนาท นั่นหวั่นไหวสะเทือนเลือนลั่น ฟ้าก็ร้องคะนองลั่นสายฟ้าแลบแปลบปลาบ เขาสิเนรุก็โอนเอนไปมา ฝนลูกเห็บตกทั่วท้องฟ้า ท้าวสักกะปรบพระหัตถ์กึกก้องร่าเริงยินดี มหาพรหมเปล่งเสียงสาธุการก้องจักรวาล โลกคล้ายหยุดหมุน มีแต่เสียงสาธุการโกลาหลเป็นอันเดียวกันทั้งจักรวาล เหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมาย นี้เป็นผลจากความคิดของพระราชโอรส วัยเพียง 8 ชันษา! วัยมิได้กำหนดความคิด แต่เป็นความคิดที่กำหนดวัย!ผู้ต้องการให้แผ่นดินไหวตอบรับตนใยมิคิดเช่นนี้ คือคิดสร้างบารมีเอาชีวีเดิมพัน แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ชอบคิดหนีความตาย กระทั่งจนตายก็ไม่ได้คิด!

 

    บัดนี้พระเวสสันดรทรงมีพระชนมายุ 16 ชันษาแล้ว พระองค์ได้รับมอบราชสมบัติจากพระราชบิดา ทรงใช้พระราชอำนาจที่มีมาใช้ในการบริจาคทรัพย์วันละ 6 แสน การเสด็จตรวจดูโรงทานคือพระราชกรณียกิจหลักของพระองค์ ก็ครานั้นเองพระองค์ทรงประทับบนช้างมงคลตรวจดูโรงทานทันใดนั้นมีกลุ่มพราหมณ์ชรายื่นมือมาขออะไรบางอย่างกับพระองค์.."ท่านจะขออะไรเรารึ" พระองค์ตรัสถามด้วยพระพักตร์ยินดีพร้อมมีความหวังหนึ่งลึกๆ ในพระทัย"ขอเดชะมหาราชเจ้า! ข้าพระองค์มาจากต่างเมืองยินว่าพระองค์มีช้างมงคล ข้าพระองค์
ประสงค์จะได้ช้างนี้ไปยังนครของข้าพระองค์บ้างเพราะฝนไม่ตกมานานแล้ว พระเจ้าข้า" พราหมณ์ทูลตอบ
พระเวสสันดรทรงผิดหวังเล็กน้อย ทรงดำริว่า..


"เราซิ! อยากจะบริจาค ศีรษะ ดวงตา เลือดเนื้อและหัวใจ แต่พราหมณ์นี้กลับไพร่มาขอช้าง"แล้วทรงตรัสตอบพราหมณ์ไปว่า..
"เอาเถอะ! เราจะให้ช้างมงคลแก่ท่านทั้งหลายในบัดนี้เลย" แล้วทรงเสด็จลงจากคอช้างพระราชทานมงคลหัตถีประจำเมืองให้พราหมณ์เฒ่าทันที แต่ชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์กลับไม่เข้าใจพระองค์ โพทนาต่อๆ กันไปว่าพระองค์ทำบ้านเมืองให้ฉิบหาย ทั้งนี้เพราะชาวเมืองเข้าใจว่าที่ผ่านมา ช้างทำความเจริญให้บ้านเมือง จึงรวมตัวกันขับไล่พระเวสสันดรไปอยู่ที่อื่น ความจริงผู้ที่ทำให้บ้านเมืองเจริญคือคนแต่กลับเห็นเป็นช้าง! อย่าว่าแต่ชาวเมืองได้รับทานจากผู้ใด เหตุผลนี้ชาวเมืองไฉนไม่เข้าใจ และไม่มีปัญญาไปเข้าใจ ชาวเมืองใยมิใช่ช้าง!

 

    พระเวสันดรแม้ถูกเนรเทศ แต่นั่นกลับทำให้พระองค์ประสงค์เร่งให้ทานยิ่งขึ้น และต้องยิ่งใหญ่กว่าที่เคยให้ในครั้งใดๆ นี่คืออัธยาศัยของนักสร้างบารมี! เมื่อถูกขัดขวางก็ยิ่งต้องสู้! อัธยาศัยของพระองค์เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว..พระองค์ยังได้สิทธิครองราชย์อยู่อีก 1 วัน จึงไม่มีเวลามากังวลสนใจกับคำของชาวเมืองมากนัก
พระองค์มิเพียงไม่เสียพระทัยที่ถูกชาวเมืองขับไล่ แต่กลับปีติพระทัยที่จะได้ทำมหาทานครั้งยิ่งใหญ่เพิ่มพูนบารมีให้ยิ่งขึ้นไป ทรงปรารภว่า..

"ต่อให้ชาว สีพีมาฆ่าเรา เราก็ไม่เลิกบริจาคทานเป็นอันขาด! ดวงหทัยและดวงเนตรเรายังให้ได้ จะอะไรกับแค่ทรัพย์ที่พวกพราหมณ์มาขอ พรุ่งนี้ล่ะ! เราจะบริจาคมหาทานครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด"รุ่งขึ้นพระเวสสันดรทรงบริจาคมหาทรัพย์ทุกอย่างตั้งแต่เช้าจรดเย็น รุ่งขึ้นอีกวันทรงกราบทูลลาพระราชบิดามารดาเสด็จไปเขาวงกตทันทีส่วนพระนางมัทรีผู้เป็นมเหสีขอนำบุตรน้อยทั้งสองตามติดไปด้วย พระมารดาทราบว่าพระโอรส ชอบทำทานจึงเอารัตนะพร้อมพระภูษามากมายใส่เกวียนจนเต็มเพื่อไว้ใช้ในป่า พระเวสสันดรตรัสอำลาชาวเมืองว่า..

"เราขอลาพวกท่านไปก่อน ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความสุข อย่าได้มีโรคภัยใดๆ และอย่าได้ประมาท จงหมั่นทำบุญทำทานกันให้ดีเถิด"

 

    พระเวสันดรออกนอกเมืองไปแล้ว ระหว่างทางยังมียาจกวณิพกมาขอทานอยู่ตลอดทาง ผู้มาขอมีอยู่ 18 ราย ทรัพย์ของพระองค์หมดสิ้นไม่เหลือแม้กระทั่งภูษาที่พระราชมารดาเตรียมไว้ให้ใช้ในป่า แต่ว่ายังเหลือเกวียน! มิคาดยังมีคนมาขอเกวียนไปใช้อีก พระองค์ไม่เหลืออะไรแล้วสองกษัตริย์เดินพระบาทเปล่าด้วยความปลอดโปร่งโล่งพระทัย เพราะมิเหลืออะไรอีกแล้ว ระหว่างทางทรงผ่านมาตุลนคร พระราชาแห่งมาตุลนครเคยเลื่อมใสในพระเวสสันดรมาเก่าก่อน เมื่อได้ฟังเรื่องราวก็รู้สึกเห็นใจจึงชวนให้มาครองราชย์ร่วมกัน แต่พระเวสสันดรเกรงว่าชาว สีพีจะไม่พอใจที่พระราชาเมืองนี้จะอภิเษกตนผู้ซึ่งถูกเนรเทศออกมา จะนำพาความบาดหมางระหว่างรัฐให้เกิดขึ้น จึงทรงปฏิเสธพระสหายอย่างตื้นตันพระหฤทัย นับว่าพระองค์ทรงสละราชสมบัติอีกครั้งทั้งๆ ที่ไม่มีทรัพย์ เป็นการสละที่นับว่าทำได้ยากยิ่ง..

 

    พระองค์ทรงรอนแรมมาถึงเขาวงกต ทรงครองผ้าเปลือกไม้ สีแดงบำเพ็ญวัตรในอาศรมส่วนพระนางมัทรีออกไปหาผลไม้และเฝ้าอุปัฏฐากอยู่ในบริเวณนั้น กษัตริย์ทั้ง 4 อยู่ในป่าอันสงบร่มรื่นจนกาลเวลาผ่านไปได้ 7 เดือน ชูชกก็พลันปรากฏตัว!

    ชูชกคือชายแก่ผู้ต้องการมาขอพระโอรส และพระธิดาของพระเวสสันดรไปเป็นทาส รับใช้ชูชกนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนสันดานชั่วช้า ผู้ใดได้พบเห็นหน้ามักจะเหี่ยวเฉาใจในทันที แต่ชายเฒ่านี้กลับบันดาลให้พระเวสสันดรแช่มชื่นพระหฤทัยยิ่งนัก เนื่องเพราะพระองค์ทรงรู้แน่ว่าชายชรานี้ต้องมาขอทานเป็นแน่แท้ พระองค์ดำริว่าวันนี้จะได้ทำทานแล้ว ทรงเกิดปีติโสมนัสแผ่คลุมไปทั่วพระวรกายราวได้อาบน้ำเย็นพันหม้อในฤดูแล้ง พระองค์จึงทรงเข้าไปกล่าวกับชูชกว่า.."ท่านนี้มาดีแท้ เรามีชีวิตตรอมตรมอยากให้ทานมา 7 เดือนแล้ว ขอเชิญท่านเข้าข้างในก่อน"พระองค์อดพระทัยมิได้รีบถามต่อ.."ท่านมาเพื่ออะไร จงรีบบอกเรามาเถิด!" "ข้าพระองค์มาเพื่อทูลขอพระโอรส พระธิดากับพระองค์ โปรดพระราชทานด้วยเถิด" ชูชกกล่าวเป็นจริงดังที่พระองค์คาดการณ์ ทรงเกิดปีติโสมนัส ท่วมท้นทั่วสรรพางค์กาย ภูเขาบรรพตก็ไหวสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอีกแล้ว!พระเวสสันดรตรัสแก่ชูชกอย่างไม่ลังเลว่า.."ท่านพราหมณ์! เราขอยกให้ท่าน ไม่ขอเปลี่ยนใจ แต่ทว่ามารดาของกุมารจะกลับมาเวลาเย็นขอท่านโปรดพักที่นี่สักคืนก่อนเถิด มารดาจะได้ร่ำลาบุตรแล้วมอบให้ท่านในวันพรุ่งนี้"แต่เฒ่าชูชกยืนยันจะออกเดินทางทันที พระองค์จึงทรงแนะว่า ..

 

"ถ้าท่านนำพระกุมารไปถวายพระเจ้าสัญชัยซึ่งเป็นพระอัยกา พระองค์จะต้องพระราชทานทรัพย์ให้ท่านอย่างมากมายเป็นแน่"พระเวสสันดรหาบุตรทั้งสองไม่พบ ทรงออกตามรอยเท้าจนทราบว่าทั้งสองดำน้ำแอบอยู่ใน
สระบัว ตรัสเรียกขึ้นว่า.."ลูกรักเอ๋ย ลูกจงมาเพิ่มพูนบารมีของพ่อนี้ให้เต็มด้วยเถิด ขอลูกช่วยโสรจสรงหฤทัยของพ่อนี้ให้เย็นฉ่ำด้วยบารมี ลูกทำตามที่พ่อบอกเถิดนะ .. สองเจ้าจงช่วยเป็นนาวาพาพ่อข้ามฝังวัฏสังสาร
ด้วยเถิด พ่อจะพามนุษย์และเหล่าเทวดาให้ข้ามพ้นไปด้วย ลูกอย่าได้หวาดหวั่นไปเลย"

    พระโอรสสดับคำพระบิดาแล้วเกิดมีน้ำพระทัยต่อพระบิดาสลัดความกลัวทิ้ง ประสงค์จะช่วยพระบิดาให้บรรลุประโยชน์สุขอันยิ่งใหญ่ ทรงดำริว่า.."เอาเถิด! จากนี้ไปตาพราหมณ์แก่จะเอาเราไปทำอะไรก็เชิญเถิด เราจะไม่ให้พระบิดาต้องลำบากพระทัยเลย"
    พระโอรสโผล่พระเศียรแหวกใบบัวเสด็จขึ้นจากสระ หมอบกราบกอดพระบาทพระบิดาไว้แน่นพลางกรรแสงอย่างน่าสงสาร ต่อมาพระธิดาก็เสด็จขึ้นตามมาบ้าง พระเวสสันดรทรงโศกเศร้าเพราะสงสารบุตรทั้งสอง พระองค์แม้รู้ว่าบุตรต้องไปลำบากแต่พระองค์ก็ไม่อาจไม่พระราชทาน พระองค์จำต้องตัดใจมิให้มีสิเน่หาอาลัย เพื่อช่วยสรรพสัตว์ที่ทนทุกข์ในห้วงวัฏฏะ แม้ต้องเสียสละบุตรทั้งสองพระองค์ก็ยอม เนื่องเพราะพระองค์เห็นทางออกแล้ว ทรงเห็นทางที่จะช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ไปได้ กุญแจที่จะไขไปสู่ทางออกนั้นคือพระสัพพัญญุตญาณ พระองค์ต้องแลกสิ่งนี้มาด้วยน้ำพระทัยอันยิ่งใหญ่ที่มากพอ หากพระองค์ยังตัดใจในบุตรทั้งสองมิได้ พระองค์ก็ไม่มีน้ำพระทัยไปแบกรับภาระความทุกข์ยากของมนุษย์และเทวาได้เช่นกัน!

 

    น้ำพระทัยที่ทรงแผ่ให้ส่ำสัตว์เสมอกันทั่วหน้าเท่านั้น จึงจะโปรดสรรพสัตว์ได้ หากกระทั่งชูชกเพียงผู้เดียวพระองค์ก็ให้ไม่ได้! จะกล่าวไปใยกับชาวโลกทั้งหลาย หากพระองค์ไม่คลายสิเน่หาอาลัยในเรื่องนี้ก็จะต้องอาลัยในเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องเผชิญในอนาคต กระทั่งอาลัยในชีวิตถึงตอนนั้นจิตใจที่จะทำเพื่อ รรพสัตว์ก็ต้องสูญสิ้นไปหมดแล้ว!

          ดังนั้นพระเวสสันดรได้ตรัสแก่บุตรสุดรักว่า.."พ่อชาลีเอ๋ย เจ้าไม่รู้หรือว่าพ่อวิตกถึงทานบารมีของพ่อเพียงไหน เจ้าช่วยทำน้ำใจของพ่อให้ถึงที่สุดด้วยเถิด"เมื่อพระโอรสพระธิดายินดีรับคำของพระราชบิดาแล้ว พระเวสสันดรก็จับพระหัตถ์บุตรแล้วนำน้ำเต้าหลั่งน้ำลงในมือชูชก มอบปิยบุตรเป็นทานให้ทันที และในพริบตาเดียวกัน เมทนีดลก็กึกก้องกัมปนาทคำรามสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอีก คลื่นมหาสมุทรโหมกระหน่ำราวกับจะท่วมจักรวาล ขุนเขาสิเนรุก็เอนเอียงราวถูกไฟลนจนอ่อนตัว คนทั่วทั้งจักรวาลเกิดอัศจรรย์ใจในเหตุการณ์ เสียงสาธุการของเหล่ามหาพรหมและเหล่าเทพก้องกลบภพสาม สองค์อัมรินทร์ปรบพระหัตถ์ร่าเริงยินดี หมู่สัตว์พิสดารในหิมพานต์ต่างบันลือ สีหนาทจนก้องเป็นเสียงเดียวกันหมดสายฟ้าอัสนีบาตฟาดราวช้างตกมันสายฝนที่เย็นฉ่ำชื่นใจก็ตกหลั่งไหลไม่หยุดหย่อนคล้ายกับจะชื่นชมพระองค์ผู้ชำนาญในการให้ เป็นผู้เลิศล้ำในทานเหนือกว่าเทพเจ้าใดๆในฟากฟ้าและแดนดิน แผ่นดินหวั่นไหวครั้งใหญ่สุด หวั่นไหวให้กับใจคนที่ไม่หวั่นไหว

 

    พระเวสสันดรกำลังทรงปีติ พระองค์มอบน้ำพระทัยให้ชูชก แต่ชูชกกลับมอบบททดสอบให้พระองค์! กระทั่งยังท้าทายพระองค์ บททดสอบแรก ชูชกเอาเถาวัลย์มัดมือกุมารทั้งสองติดกันแล้วลากไปพลางเอาไม้เฆี่ยนตีไปพลางจนเนื้อปริแตก โลหิตไหลนองต่อหน้าพระองค์ พี่น้องสองกุมารต่างเจ็บแสบไปทั่วร่าง แต่ยังอดไม่ได้ที่เอาหลังเข้ารับไม้แทนกันและกัน ชูชกก็เร่งลากจูงไปดุจลากวัวควาย ชูชกสะดุดหินล้มลง มือสองกุมารก็หลุดจากเถาวัลย์ กุมารทั้งสองเกิดความกลัวต่อมนุษย์ปีศาจตนนี้มากเหลือประมาณ จนลืมความตั้งใจเดิมที่ปฏิภาณไว้ใน สระบัว ทั้งคู่คิดว่าจะไม่ยอมไปกับมนุษย์ปีศาจนี้อีกแล้ว รีบวิ่งกลับไปหาพระบิดาด้วยน้ำตานองหน้า และนี่คือบททดสอบที่พระองค์จะต้องผ่านไปโดยยากยิ่ง! พระกุมารทูลอ้อนวอนพระบิดาพลางตัดพ้อว่า..

    "เสด็จพ่อ! พราหมณ์นี้มิใช่คน แต่เป็นยักษ์! จะกินเนื้อหม่อมฉันนะเสด็จพ่อ ธรรมดาบิดามารดาย่อมมีใจอ่อนโยนต่อบุตร ไม่อาจทนดูบุตรทรมานได้ แต่พระหฤทัยของพ่อเหมือนแผ่นหินหรือไร หรือใจของพ่อใช้เหล็กผูกเอาไว้! หม่อมฉันทั้ง สองทุกข์ขนาดนี้ ทำไมพ่อไม่เดือดร้อนอะไรเลยไฉนพ่อยังนั่งเฉยอยู่เหมือนไร้ความรู้สึกล่ะ"

    ไม่ทันที่พระกุมารจะตรัสอะไรได้ต่อ ชูชกก็ปราดเข้ามาดึงตัวพระกุมาร จับเถาวัลย์ที่รัดมือกุมารอยู่แล้วลากโบยตีต่อหน้าพระเวสสันดรอีกจนแผลเหวอะหวะทั่วร่าง นับเป็นบททดสอบจิตใจของพระองค์ที่เข้ามาโดยมิทันตั้งตัวและถาโถมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนพระหฤทัยพระองค์แทบจะแตกสลายไปแล้ว! หรือโลกนี้ยังจะมีใครที่ทนเยี่ยงนี้ได้อีก ในที่สุดบททดสอบของชูชกผู้ชั่วช้าก็เป็นผลจนได้เนื่องเพราะบัดนี้ดวงพระเนตรของพระเวสสันดรมีสีแดงดั่งเปลวเพลิง อารมณ์พระองค์ถึงขีดสุดแล้วพระองค์ถึงกับทรงลืมพระสัพพัญุตญาณไปแล้ว! ท้องฟ้าบัดนี้ช่างอึมครึมเหลือเกินความเศร้าโศกอันมหาศาลท่วมทับพระเวสสันดรจนพระองค์สุดจะอดกลั้นอีกต่อไปได้ ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับพระองค์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ตัดสินอนาคตของพระองค์เอง ดวงหทัยของพระองค์ร้อนระอุแทบมอดไหม้ไปกับความโศกาดูรที่พุ่งประดังเข้ามาเป็นระลอก ดุจคลื่นใหญ่
กระทบฝัง น้ำพระอัสุชนไหลนองท่วมพระพักตร์ ทรงพร่ำรำพันว่า..

 

          "เจ้าพราหมณ์ชูชก! ตีลูกต่อหน้าเรา ช่างไม่ละอายใจเลย ใครที่ไหนจะกล้าตีคนที่เขา สละให้ไปแล้วได้ลงคอ นี่ทั้งด่าทั้งตีลูกที่รักยิ่งของเราต่อหน้าต่อตาทีเดียว นับว่ามันทำเกินไปแล้ว!"พระองค์ไม่รอช้ารีบไปคว้าพระแสงดาบหมายจะไปฆ่าชูชก พละกำลังที่พระองค์ข่มไว้มายาวนานตั้งแต่ทรงประทับในนครเชตุดร ทรงอดกลั้นต่อชาว สีพีนับหมื่นได้ แต่กลับต้องประทุแตกออกมาเพียงเพราะชูชกผู้เดียว! มิทันที่พระองค์จะก้าวออกจากอาศรมก็พลันรู้สึกตัวว่าไม่ใช่แล้ว!พระองค์เกิดความละอายพระทัยที่ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน กลับได้ สติฉุกคิดได้ทันทีว่า.."เรานี้ได้บริจาคไปแล้ว การบริจาคทานแล้วต้องมาเดือดร้อนใจในภายหลัง มิใช่ธรรมเนียม
ของบัณฑิตเลย" คิดได้ดังนี้พระองค์จึงวางพระแสงดาบสงบใจอยู่พระองค์ทรงฝึกนิสัยดีๆ มานานหลายชาติ จึงทรงละอายพระทัยได้รวดเร็วเช่นนี้ บางคนอาจฉุกคิดได้แต่มิอาจข่มกลั้นอารมณ์ได้ บางคนรู้ว่าผิดแต่กลับห้ามจิตใจตนเองไม่ได้ เนื่องเพราะมิได้พยายามฝึกนิสัยมา ยอมปล่อยให้ใจเป็นทาสอำนาจดำจนคุ้นเคย! คุ้นเคยกับการให้อำนาจดำควบคุมเหยียดหยามทำลายตนมาหลายชาติเหลือเกิน หยามทำลายตนจนกระทั่งไปหยามทำลายผู้อื่น!พระเวสสันดรทรงตั้งพระสติได้ แล้วจึงทรงอธิษฐานมั่นในพระทัยว่า..

 

          "บัดนี้ แม้ชูชกจะฆ่าลูกเราก็ตามที เราจะไม่กังวลอะไรอีกแล้ว"ทรงเสด็จออกจากอาศรมมานั่งบนแผ่นศิลาประดุจพระปฏิมาทองคำ ขณะเดียวกันเฒ่าชูชกเดินสะดุดหิน กุมารทั้งสองได้ทีไม่รอช้ารีบวิ่งกลับมาหาพระเวสสันดรด้วยอาการอกสั่นขวัญหายคล้ายลูกไก่ที่สั่นสะท้าน ชูชกวิ่งไล่ตามด้วยความโกรธสุดขีด พระเวสสันดรเพิ่งจะข่มพระทัยได้ไม่ทันไร ชูชกก็เข้ามาฉุดกระชากลากเฆี่ยนตีพระกุมารนำกลับไปอีก คราวนี้ตีจนผิวหนังกระเด็นหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ ดวงฤทัยของพระเวสสันดรก็กระเด็นหลุดตามผิวหนังของบุตรสุดรักไปทันที!พระโอรสเหลียวกลับมาดูพระบิดาด้วยน้ำตานองหน้าตะโกนว่า..

    "เสด็จพ่อ! ตานี่เป็นปีศาจ! จะเอาหม่อมฉันไปเคี้ยวกิน พระองค์ทอดพระเนตรไม่เห็นหรือ"พระเวสสันดรสดับเสียงบุตรเช่นนั้น พระหฤทัยก็สลายไปอีก ความโศกประดังเข้ามาอีกดวงหทัยพระองค์ทุกข์ระทมแสนสาหัสช่างน่าเวทนายิ่งกว่าบุตรนับร้อยเท่า พันเท่า พระองค์มีหทัยร้อนรนจนลมอัสาสะ ปัสาสะต้องปล่อยออกมาทางพระโอษฐ์ พระอัสสุชนก็หลั่งไหลดั่งหยาดโลหิตนองเต็มเบ้าพระเนตร ทรงดำริว่า..

 

"ความทุกข์ที่เราได้รับนี้ช่างมากมายยิ่งนัก! มันเกิดเพราะความรักความสิเน่หา มิใช่เพราะอะไรเลย ฉะนั้นเราจำเป็นต้องวางอารมณ์ให้เป็นกลางให้ได้โดยเข็ดขาด"แล้วทรงข่มพระทัยอดกลั้นอารมณ์ให้เป็นปกติ การข่มอารมณ์เยี่ยงนี้นับว่าตายเสียเลยยังง่ายดายเสียกว่า การข่มใจอาจง่ายสำหรับคนเฉยชาไร้น้ำใจ คนใจชืดชาบางทีอาจไม่ต้องข่มใจเลยแต่พระองค์มิใช่คนเย็นชาใจหิน เนื่องเพราะคนใจหินต้องไม่คิดช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหมดแน่นอนกระทั่งคนเดียวก็ไม่ช่วย พระองค์มีพระทัยอบอุ่นดั่งดวงตะวัน พระทัยของพระองค์มีชีวิตชีวาอย่างยิ่งฉะนี้นับว่าพระองค์ต้องข่มพระทัยเพียงไหนหากมิใช่พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยเมตตาอย่างเต็มเปียมเพื่อ
หวังช่วย รรพสัตว์ทั้งหมดในห้วงมหรรณพ พระองค์ก็ไม่ต้องตัดใจที่จะไม่ไปช่วยบุตรรักทั้ง อง หากไม่มี
ความหวังที่จะช่วยส่ำสัตว์มายึดเหนี่ยวน้ำพระทัยพระองค์ไว้ ป่านนี้หทัยของพระองค์มิแตก ลายไปนานแล้ว!

 

    พระนางมัทรีเสด็จกลับจากหาผลไม้ไม่พบบุตรจึงได้สอบถามพระสวามี พระเวสสันดรเกรงว่าพระนางจะมีหทัยแตกจึงปิดความไว้ก่อน พระนางได้เที่ยวออกตามหาอยู่จนค่ำแล้วเป็นลมสลบไปเมื่อพระนางฟื้นคืนสติ พระเวสสันดรจึงตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดและปลอบพระทัยขอให้พระนางอนุโมทนาในปิยบุตรทานนี้ พระนางก็ยินดีตามพระสวามีขณะนั้นเองท้าวสักกะทรงดำริว่า..
    "ก็เมื่อวานพระเวสสันดรเพิ่งประทานบุตรแก่ชูชกไป ถ้ามีคนต่ำช้ามาทูลขอพระนางมัทรีไปอีก พระเวสสันดรก็จะขาดผู้อุปัฏฐาก เราจะต้องแปลงเป็นพราหมณ์ไปขอพระนางไว้ก่อนแล้วค่อยฝากพระองค์ไว้ ไม่ต้องเอาให้แก่ใครๆ อีก อีกทั้งยังเป็นการให้พระองค์ได้ถือเอายอดแห่งทานบารมีอีกครั้งหนึ่งด้วย"ท้าวสักกะแปลงมาปรากฏพระองค์อยู่หน้าอาศรมทูลว่า.."ข้าพระองค์เป็นคนแก่ชรามาเพื่อทูลขอพระนางมัทรีอัครมเหสีของพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานเถิด"พระเวสสันดรทรงมองพระพักตร์พระเทวีคู่พระทัย พระนางมัทรีคล้ายดั่งรู้พระอัธยาศัยของพระสวามีทรงนิ่งโดยดุษฎีภาพ พระเวสสันดรก็ทราบพระอัธยาศัยอันประเสริฐของพระนางมัทรีทรงปีติยินดี ตรัสกับพราหมณ์ว่า..

 

    "อาตมาจะให้สิ่งที่ท่านขอ" แล้วทรงหลั่งน้ำลงในมือพราหมณ์ แผ่นดินก็กึกก้องกัมปนาทครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ท้าวสักกะตรัสชมเชยสองกษัตริย์ว่า.."พระองค์ทั้งสองได้ชัยชนะข้าศึกทั้งปวงแล้ว ปฐพีก็บันลือลั่น เสียงสาธุการมีก้องทั่วไตรทิพย์เทพเจ้าทั้งหมดล้วนอนุโมทนาว่า พระองค์นี้ทำสิ่งที่ยากยิ่งแท้ เป็นสิ่งที่คนพาลทั้งหลายไม่เข้าใจและทำตามได้ยาก คติที่ไปของบัณฑิตเช่นพระองค์กับคติของคนพาลเหล่านั้นย่อมต่างกันโดยแท้ คนพาลล้วนไปนรก ขอให้พระองค์จงสำเร็จพระสัพพัญุตญาณดังประสงค์เถิด ข้าพระองค์ขอถวายพระนางมัทรีผู้ประเสริฐคืนแด่พระองค์ เพราะพระนางมีอัธยาศัยเสมอด้วยพระองค์ ขอพระองค์ทรงบำเพ็ญทานบารมี
ต่อยิ่งๆ ขึ้นไป หม่อมฉันคือท้าวสักกะจอมเทพจะขอถวายพระพร 8 ประการ" ท้าวสักกะตรัสไปพลางคืนร่างเป็นเทวราชดังเดิมประทับยืนอยู่บนนภากาศ

 

          พระเวสสันดรมีจิตเลื่อมใสยินดีตรัสรับพรว่า.."ถ้าพระองค์จะประทานพรแก่หม่อมฉันแล้วไซร้ ขอให้พระชนกจงยินดีให้หม่อมฉันกลับไปยังนิเวศน์อีกเพื่อประโยชน์แห่งทานบารมี และให้หม่อมฉันสามารถให้นิรโทษแก่นักโทษประหารได้ทุกคน ขอให้คนทุกชนชั้นอาศัยหม่อมฉันเลี้ยงชีวิตโดยไม่ต้องทำมาหากิน อย่าให้หม่อมฉันต้องพลาดไปตกอยู่ในอำนาจของสตรีทั้งหลาย บุตรที่พลัดพรากจากหม่อมฉันไปจงอายุยืน สืบราชย์ครองแผ่นดินโดยธรรม เมื่อราตรีนี้สิ้นไปอาทิตย์อุทัยปรากฏขออาหารทิพย์จงบังเกิด เมื่อหม่อมฉันบริจาคทานอยู่
ทรัพย์อย่าได้หมดสิ้นไป เมื่อบริจาคแล้วอย่าได้เดือดร้อนใจในภายหลัง ให้ยินดีผ่องใสอยู่เป็นนิตย์และเมื่อละอัตภาพนี้ขอจงไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิตอันวิเศษ ครั้นจุติลงมาจงบรรลุพระสัพพัญุตญาณ""ความปรารถนาของพระองค์ทุกอย่างจักถึงที่สุด ทรงอย่าเพิ่งร้อนพระทัย ขอพระองค์ทรงไม่ประมาทเถิด" ท้าวสักกะตรัสจบแล้วเสด็จกลับดาวดึงส์

 

    ฝ่ายชูชกเดินทางถึงกรุงเชตุดรได้พบพระเจ้าสัญชัย พระองค์จำพระกุมารทั้งสองได้จึงไถ่ตัวจากชูชก และเลี้ยงต้อนรับชูชกอย่างดี มิคาดชูชกกลับตะกละตะกลาม รีบกินอาหารรสเลิศที่ไม่เคยลิ้มลองเร็วเกินไป มากเกินไป อาหารไม่อาจย่อย นอนตายตรงนั้นเอง ทรัพย์ค่าไถ่ทั้งหมดจึงตกเข้าคลังหลวงตามเดิม พระเจ้าสัญชัยประสงค์จะไปรับพระเวสสันดรกลับมาครองราชย์ดังเดิม ได้นำกองทัพใหญ่เสด็จรับสองกษัตริย์กลับมา บัดนี้ชาวสีพีรู้สำนึกผิด ได้ทูลวิงวอนให้พระองค์ครองราชย์ สืบไป พระเวสสันดรรับสั่งให้ปล่อยคนและสัตว์ที่ถูกขังให้สิ้น ทรงรำพึงว่า..


    "บัดนี้พวกยาจกทั้งหลายรู้ว่าเรากลับมาอีกครั้งแล้ว จะพากันมาในวันพรุ่งนี้แล้ว เราจะให้อะไรแก่ยาจกทั้งหลายดีหนอ"ท้าวสักกะรู้ความดำรินั้นโดยพลัน บันดาลทรัพย์ผุดขึ้นมาเต็มทั่วพระราชนิเวศน์ พร้อมบันดาล
ฝนรัตนชาติตกไปทั่วทั้งเมือง พระเวสสันดรเริ่มตั้งโรงทานกลับมาอีกครั้ง พระองค์ได้ให้ทานตลอดไม่ขาดสายสมพระหฤทัยพระนางมัทรีและบุตรทั้งสองก็สุขสันต์อยู่ใต้ร่มโพธิแห่งพระบารมีของพระองค์ เมื่อพระองค์ละโลกไปก็มุ่งตรงสู่ดุสิตเทวโลกทันที เพื่อจดจ่อรอคอยการลงมาอีกครั้ง! ลงมาคราวนี้พระองค์จะได้ครอบครองพระสัพพัญุตญาณ ครอบครองกายทั้งสอง กายมหาบุรุษแลธรรมกาย

 

ประชุมชาดก
          พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ชูชกในครั้งนั้นคือภิกษุเทวทัตในบัดนี้ พระเจ้าสัญชัยมาเป็นพระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระนางผุสดีเทวีมาเป็นพระนางสิริมหามายา พระนางมัทรีเทวีคือยโสธราพิมพา มารดาราหุล ชาลีกุมารคือราหุล กัณหาชินาคือภิกษุณีอุบลวรรณา พระเวสสันดรคือ เราตถาคตแลจากชาดกเรื่องนี้ พระเวสสันดรทรงตัดสิ่งที่ชาวโลกทั้งหลายติดกันแน่นเหนียวคือ "สิเน่หา"ออกจากใจได้ แม้พระองค์ทรงสิเน่หารักมั่นผูกพันในบุตรมาก แต่ถึงคราวต้องตัดใจก็สามารถตัดได้ นี้เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่งยวดสำหรับผู้ที่กำลังสิเน่หาพันผูกอยู่กับใครผู้หนึ่ง แล้วต้องตัดสิเน่หานั้นให้ได้ถ้าไม่รักการสร้างทานบารมีอย่างยิ่งจริงๆแล้ว จะตัดใจไม่ได้เด็ดขาด เพราะทนความโศกไม่ไหว จิตใจจะแห้งผากทุรนทุราย"นิสัยรักการให้จนตัดสิเน่หาอาลัยออกไปได้" จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในทานบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0011489669481913 Mins