สองสิงห์ สืบหาทายาท

วันที่ 14 ธค. พ.ศ.2558

สองสิงห์ สืบหาทายาท

          สาเหตุที่ตรัสชาดก พระทศพลประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการออกมหาภิเนษกรมณ์ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสดังต่อไปนี้..


         ในอดีต ณ เมืองหนึ่ง พระเจ้าเอสุการีกับปุโรหิตได้เป็น หายรักกันเพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งสองหามีโอรส ไว้สืบสกุลไม่ จึงปรึกษากันว่า ระหว่างเราสองหากใครมีบุตรชาย เราจะให้ครอบครองสมบัติของเราทั้งสองคน วันหนึ่งปุโรหิตเดินไปธุระพบหญิงเข็ญใจเดินอยู่บนถนนพร้อมกับบุตรถึงเจ็ดคน ปุโรหิตเข้าไปถามว่า..

"นี่! เจ้าทำอย่างไรถึงได้ลูกชายมากขนาดนี้"
"ดิฉันบวงสรวงเทวดาที่ต้นไทรจึงได้บุตรถึงเจ็ดคน" นางตอบด้วยเข้าใจเช่นนั้น


ปุโรหิตจึงเดินตรงไปที่ต้นไทรต้นหนึ่ง จับกิ่งไทรเขย่าพลางขู่ว่า..
"เทวดา! ท่านไม่ยอมให้โอรสแก่พระราชาบ้างเลย มีอะไรบ้างที่ท่านไม่ได้จากพระราชา ทุกๆปีมาพระราชาก็ทรงเอาเครื่องสักการะมาบูชาแก่พวกท่านมิใช่รึ ท่านยังไม่ให้โอรสแก่พระองค์เลย หญิงเข็ญใจนี้ทำอุปการะอะไรแก่ท่าน เหตุไรท่านจึงให้บุตรแก่นางถึง 7 คน! หากท่านไม่ให้โอรส แก่พระราชาบ้าง จากนี้ไปอีก 7 วัน เราจะให้คนมาฟันต้นไทรสับให้เป็นท่อนๆ เสียเลย"ปุโรหิตมาตามขู่รุกขเทวดาเช่นนี้อยู่ 6 วัน จนวันที่ 7 ก็มาจับกิ่งไทรเขย่าแล้วพูดว่า..


"รุกขเทวดาเอ๋ย.. เหลืออีกราตรีเดียวเท่านั้น ถ้าท่านไม่ยอมให้โอรสแก่พระราชาล่ะก็ พรุ่งนี้
เราจะสำเร็จโทษ"

 

    รุกขเทวดาที่ต้นไทรถูกขู่เขย่าขวัญมาทุกวันจึงหาทางรอด โดยได้ไปหาท้าวมหาราชทั้ง 4แจ้งความให้ทราบ แต่ถูกปฏิเสธว่าไม่สามารถให้บุตรได้ จึงไปพบเหล่าเสนาบดียักษ์ 28 ตน ก็ถูกปฏิเสธอีก คราวนี้ไปพบท้าวสักกเทวราช เข้ากราบทูลให้ทรงทราบ ท้าวสักกะทรงใคร่ครวญดูว่า พระราชาจะได้โอรสไหม ก็ทอดพระเนตรเห็นเทพบุตร 4 องค์มีบุญมาก จึงตรัสเรียกมามอบเทวบัญชาว่า..


"ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย! พวกท่านจงไปเกิดยังมนุษยโลกในพระครรภ์อัครมเหสีของพระเจ้า
เอสุการีราชเถิด"

เทพบุตรเหล่านั้นพากันกราบทูลว่า..


"ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ! พวกข้าพระบาทจะไปตามเทวโองการ แต่พวกข้าพระบาทไม่ต้องการเกิดในราชตระกูลเลย จะขอเกิดในบ้านปุโรหิตแทน แล้วจะละกามออกบวชในเวลาหนุ่ม"


          ท้าวสักกะจึงบอกความแก่รุกขเทวดา รุกขเทวดาดีใจ ถวายบังคมลากลับไปยังวิมานตนทันทีวันรุ่งขึ้นปุโรหิตมาพร้อมบุรุษล่ำสัน บุรุษนั้นถือขวานเตรียมจะฟันต้นไทร รุกขเทวดารีบออกมาจากต้นไทร กล่าวว่า..

 

"ช้าก่อนสิท่าน! บุตรคนเดียวจะเป็นไรไป เราจะให้บุตรแก่ท่าน 4 คนเลย"
"เดี๋ยวสิ! ข้าพเจ้าไม่ต้องการบุตร ท่านโปรดให้แก่พระราชา" ปุโรหิตแย้งขึ้น
"ไม่ได้! เราจะให้แก่ท่านเท่านั้น!" รุกขเทวายืนยัน
"ถ้าเช่นนั้น ท่านให้ข้าพเจ้าสองคน ให้พระราชาสองคนเถิด" ปุโรหิตเสนอ
"เราจะไม่ให้พระราชา จะให้ท่านผู้เดียวเท่านั้น! แต่ท่านจะเพียงสักแต่ว่าได้นะ เพราะบุตรทั้ง 4 จะไม่อยู่ครองเรือน จะออกบวชแต่หนุ่มทีเดียวล่ะ" รุกขเทวาพูดจบก็รีบหายเข้าวิมานทันทีเทพบุตรทั้ง 4 ทยอยลงมาบังเกิดในครรภ์ของภรรยาปุโรหิต คนแรกได้ชื่อว่าหัตถิปาละถูกมอบให้นายควาญช้างเลี้ยงไว้ คนที่สองชื่ออัสปาละถูกมอบให้คนเลี้ยงม้า คนที่สามชื่อโคปาละถูกมอบให้คนเลี้ยงวัว คนที่สี่ชื่ออชปาละถูกมอบให้คนเลี้ยงแพะ เด็กทั้ง 4 เติบโตแล้วมีรูปร่างหล่อเหลางดงามอย่างยิ่ง ปุโรหิตได้เชื้อเชิญบรรพชิตทั้งหลายออกไปพักอยู่นอกพระราชอาณาเขต เพราะกลัวบุตรทั้ง 4 ของตนเห็นบรรพชิตแล้วคิดออกบวช ดังนั้นเด็กทั้ง 4 จึงเติบโตมาโดยไม่เคยเห็นบรรพชิตเลยทำให้ไม่ได้ยินคำอบรมสั่งสอนจากบรรพชิต กลายเป็นผู้หยาบช้ากล้าแข็งยิ่งนัก เที่ยวเบียดเบียนคนอื่นไปทั่ว จะไปที่ใดก็แย่งชิงเอาสิ่งของชาวบ้านทุกครั้งจนเมื่อหัตถิปาละอายุ 16 ปี พระราชากับปุโรหิตติดตามดูอยู่ตลอด เห็นว่าบุตรคนโตเติบใหญ่สมควรได้ราชสมบัติแล้ว จึงปรึกษากันว่า..

 

"ถ้าบุตรเราได้รับอภิเษกแล้วคงจะเป็นพระราชาที่หยาบช้ากล้าแข็งยิ่งขึ้นเป็นแน่ หากให้บรรพชิตเข้าเมืองมาในตอนนี้ บุตรพวกเราคงจะดีขึ้นไม่น้อยเลย แต่ก็ยังเกรงว่าถ้าเขาได้เห็นบรรพชิตแล้วจะคิดออกบวชนะสิ! ถ้าอย่างนั้น เราทั้งสองจะลองทดสอบดูก่อนก็แล้วกัน"


        แล้วทั้งสองก็แปลงเป็นฤาษีเที่ยวภิกษาจารไปจนถึงประตูบ้านของหัตถิปาละ หัตถิปาละเห็นบรรพชิตแล้วยินดีเลื่อมใสเข้าไปใกล้ๆ นมัสการ กล่าวว่า..


"โอ้! นานเหลือเกิน ข้าพเจ้าเพิ่งได้เห็นพระฤาษีผู้ยินดีในคุณธรรม ผู้นุ่งห่มผ้าย้อมฝาดปกปิดรอบกายเพื่อมุ่งบำเพ็ญสมณธรรมทรมานกิเลสขอท่านผู้เจริญจงรับอาสนะ น้ำ ผ้าเช็ดเท้า และน้ำมันทาเท้าของข้าพเจ้าด้วยเถิดขอรับ ข้าพเจ้าขอต้อนรับท่านด้วยสิ่งของมีค่ามากเหล่านี้"


ปุโรหิตแปลงชี้แจงว่า..

"ลูกรัก! พวกเราไม่ใช่ฤาษีหรอก นี้คือพระราชา เราคือพ่อของเจ้าเอง"
"ทำไมพระราชากับพ่อถึงต้องปลอมเป็นฤาษี" หัตถิปาละกล่าวถาม
"ก็เพื่อมาทดลองเจ้าดูไงล่ะ!" ปุโรหิตตอบ
"ทดลองข้าพเจ้าทำไม" หัตถิปาละถาม
"ก็ทดลองดูว่า ถ้าเจ้าเห็นเราแล้ว หากไม่คิดออกบวช เราก็จะอภิเษกเจ้าให้เป็นพระราชา"
"โอ้ ท่านพ่อ! ข้าพเจ้าไม่ต้องการราชสมบัติเลย ข้าพเจ้าอยากบวช" หัตถิปาละกล่าว
"ไม่นะลูกรัก! ยังไม่ถึงเวลานะ เจ้าจงร่ำเรียนวิชาแสวงหาความรู้เพื่อหาทรัพย์ให้บุตรธิดาเจ้า
ก่อนแล้วค่อยออกบวชตอนแก่แหละดี คนบวชตอนแก่เป็นคนมีความคิด พระอริยเจ้าก็สรรเสริญ"ปุโรหิตละล่ำละลักกล่าวด้วยอาการหวาดหวั่น
"วิชาเป็นของไม่จริง! ลาภสักการะก็ไม่จริง! ใครๆ จะห้ามความแก่ด้วยลาภไม่ได้เลยสัตบุรุษสอนให้ปล่อยวางกามคุณเสียสัตว์ทั้งหลายย่อมมีกรรมเป็นของตน" หัตถิปาละกล่าว
"มารดาบิดาเจ้าแก่เฒ่าแล้ว หวังจะได้เห็นเจ้านานๆสัก 100 ปีนะ" พระราชาตรัสบ้าง
"เหตุไรพระองค์ตรัสเช่นนี้ ขอเดชะพระราชาความเป็นสหายกับความตายนั้นไม่มีทางเลยมิตรไมตรีกับความแก่จะมีแก่ผู้ใดได้ เรือที่ท่าน้ำรับคนฝังนี้ส่งถึงฝังโน้นแล้วย้อนกลับรับคนฝังโน้นส่งถึงฝังนี้ฉันใดความแก่ชราและเจ็บป่วยก็นำเอาชีวิตสัตว์ไปสู่อำนาจแห่งมัจจุราชอยู่เนืองๆ ฉันนั้น ขอพระองค์ดำรงอยู่เป็นสุขเถิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ได้เร่งรุดเข้ามาใกล้ข้าพระพุทธเจ้าผู้กำลังทูลสนทนากับพระองค์อยู่ทุกทีแล้ว ขอพระองค์อย่าทรงประมาทมัวเมาเลย"


           หัตถิปาละพูดจบก็ถวายบังคมลาพระราชา กราบลาบิดาที่ยังคงมีสีหน้าตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก แล้วพาบริวารของตนออกบรรพชาทันที มหาชนบางส่วนก็ตามไปบวชด้วย เพราะคิดว่าการบวชคงต้องเป็นสิ่งดี เมื่อเดินไปถึงริมแม่น้ำ หัตถิปาละเพ่งมองดูน้ำแล้วเจริญกสิณบริกรรม ยังฌานให้บังเกิดได้แล้ว ให้โอวาทมหาชนอยู่ที่ฝังแม่น้ำนั้นเองส่วนพระเจ้าเอสุการีกับปุโรหิตก็ตั้งความหวังไว้ที่บุตรคนที่เหลือ ได้ไปทดสอบกับบุตรคนรองโดยนัยเดียวกัน


"เมื่อพี่ชายของข้าพเจ้ายังอยู่ ไฉนเศวตฉัตรจึงมาถึงข้าพเจ้าก่อนล่ะ ท่านพ่อ!" อัสสปาละกล่าวอย่างสงสัยที่เห็นพระราชาเสด็จมากับปุโรหิตเพื่อมอบราชสมบัติให้ตน
"ลูกรัก! พี่ชายของเจ้าไม่ต้องการราชสมบัติ ตอนนี้ไปบวชแล้ว" ปุโรหิตกล่าว
"จริงเหรอพ่อ! ตอนนี้พี่ชายอยู่ที่ไหนหรือ" บุตรชายถาม
"พำนักอยู่ริมฝังแม่น้ำใกล้ๆ นี้เอง" ปุโรหิตตอบ
"ข้าพเจ้าเองก็ไม่มุ่งหวังราชสมบัติที่เหมือนน้ำลายที่พี่ชายบ้วนทิ้งแล้วหรอกนะพ่อ!สัตว์ทั้งหลายผู้โง่เขลาเบาปัญญาย่อมไม่อาจทิ้งกิเลสกามได้ แต่ข้าพเจ้าทิ้งได้! กามทั้งหลายเป็นเปลือกตมที่ข้ามออกไปยาก มันทำให้สัตว์จมลง มีจิตเลวทราม เมื่อก่อนนี้ข้าพระองค์ได้ทำกรรมหยาบช้าไว้มากผลแห่งกรรมย่อมมาถึงข้าพระองค์ ขอข้าพระองค์อย่าได้ทำกรรมอันหยาบช้านั้นอีกเลย"


       อัสสปาละกราบลาพระราชาและบิดา แล้วพาบริวารไปหาพี่ชาย พระราชากับปุโรหิตคอตกผิดหวังเดินไปหาบุตรคนที่สามต่อไปส่วนหัตถิปาละนั่งอยู่บนอากาศแ ดงธรรมแก่อัสสปาละ แล้วกล่าวว่า

"น้องรัก!สมาคมนี้จะใหญ่ยิ่ง ขอให้พวกเราจงรออยู่ที่นี้ก่อนเถิด"


         เมื่อพระราชากับราชปุโรหิตมาถึงบ้านของโคปาละก็ใช้อุบายเดิมทดสอบ แต่โคปาละปฏิเสธราชสมบัติทันทีแล้วขอลาออกบวช พระราชากับปุโรหิตอ้อนวอนให้รอก่อนสัก 23 วันเพื่อให้เห็นหน้ากันนานๆ ก่อน โคปาละก็กล่าวว่า

"ความดีควรรีบทำวันนี้ ไม่ควรผัดเพี้ยนว่าจะทำวันพรุ่งนี้ ผู้ผัดผ่อนงานที่ควรทำวันนี้ว่าจะทำพรุ่งนี้ย่อมเสื่อมจากการงานนั้น" กล่าวจบก็พาบริวารไปหาพี่ชายที่ริมน้ำเพื่อออกบวชทันทีแม้บุตรคนเล็กสุดคืออชปาละก็ทำเช่นเดียวกัน พากันไปหาพี่ชายที่ริมน้ำออกบวช ปุโรหิตสิ้นหวังแล้ว พลันได้คิดว่า..

 

"ลูกๆ ทิ้งเราไปบวชหมดแล้ว เหลือแต่เราคนเดียวเป็นเหมือนมนุษย์ตอไม้ แล้วเราจะมัวอยู่ไปทำไม ออกบวชดีกว่า!" จึงประชุมมหาเสนาประกาศว่า..


"เราจะไปบวชกับบุตรของเรา พวกท่านเล่าจะทำอย่างไรต่อไป"เหล่าเสนามองหน้าหารือกัน แล้วกล่าวว่า..


"นรกเป็นของร้อนเฉพาะท่านผู้เดียวก็หาไม่ มันก็ร้อนสำหรับพวกเราด้วยเหมือนกัน พวกเราก็จะไปบวชด้วย!"
ฝ่ายภรรยาปุโรหิตรู้ข่าวว่าสามีจะไปบวชคิดว่า..


"ลูกและผัวของเราพากันไปหมดสิ้นแล้ว แล้วเราจะมัวอยู่ทำไมกัน เราก็จะไปบวชเช่นกัน"จึงเรียกภรรยาเหล่าเสนาทั้งหลายมาแจ้งว่า


"เราจะไปบวชกับลูกชายของเราแล้วนะ"ภรรยาเสนาเหล่านั้นก็พากันกล่าวว่า..


"พวกเราก็จะขอบวชบ้างสิ!" ทั้งหมดจึงออกเดินทางไปริมแม่น้ำนอกเมือง หาหัตถิปาละตรัสถามว่า..


"ท่านทั้งหลายจะทำอย่างไรกันต่อ"อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า..


"ขอเดชะ! ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็จะขอบวชด้วย พระเจ้าข้า"พระราชาพร้อมหมู่อำมาตย์ จึงพากันไปริมน้ำหาหัตถิปาละชาวเมืองที่หลงเหลืออยู่รวมตัวพากันไปสู่ท้องพระโรงทูลอ้อนวอนขอให้พระมเหสี ครองราชย์
สืบต่อไป พระราชเทวีตรัสตอบว่า


"วันเวลาล่วงเลยคืนวันผันผ่านไป วัยเราก็แก่ลงๆไปตามลำดับ ตัวเราจะทิ้งกามทั้งหลายแล้วเที่ยวไปผู้เดียว เราจะเป็นผู้เยือกเย็น ก้าวล่วงความเกี่ยวข้องทั้งปวง"พระราชเทวีตัดสินพระทัยออกผนวชเหมือนพระสวามี จึงมีรับสั่งให้เรียกภรรยาของอำมาตย์ทั้งหลายมาเฝ้า ตรัสถามว่า..


"พวกเธอล่ะ! จะทำอย่างไรกันต่อไป"เหล่าภรรยาอำมาตย์กราบทูลว่า..
"พวกหม่อมฉันก็จะบวชด้วยเพคะ"ทั้งหมดจึงพากันออกจากพระนครไปริมฝังแม่น้ำหาหัตถิปาลกุมาร ขณะนั้นชาวเมืองก็เดือดร้อนโกลาหลกันทั่วว่า
"พระราชาและพระเทวีทรงไปผนวชแล้ว แล้วพวกเราจะอยู่ทำอะไรเล่า"
 
       ประชาชนต่างพากันทิ้งบ้านเรือนทั้งๆ ที่ยังมีสมบัติเต็มบริบูรณ์ ต่างจูงลูกจูงหลานออกไปบวชผู้คนทั่วทุกซอกทุกมุมจูงมือกันมุ่งหน้าไปที่ริมน้ำนอกเมืองราวกับไปชมงานมหรสพ ตามโรงร้านตลาดทุกแห่งหน มีสิ่งของวางแบแผ่ไว้เกลื่อนกลาด ไม่มีผู้ใดแยแสนใจทรัพย์เหล่านั้นเลย แม้แต่จะชายตามอง จะมีผู้ใดผู้หนึ่งเหลียวแลกลับมาดูก็ไม่มี พระนครทั้งสิ้นว่างเปล่าไร้ผู้คนดุจเมืองร้างหัตถิปาละเห็นว่าคนมาหมดทั้งนครแล้ว ก็พาทั้งหมดไปยังป่าหิมพานต์อันร่มรื่นชื่นใจ ท้าวสักกเทวราช ทรงแลดูก็เลื่อมใสรับสั่งให้วิสุกรรมเทพบุตรลงมาสร้างอาศรม ที่พักกลางคืน และที่พักกลางวันคั่นเป็นระยะๆ มีกระดานพิงหลังที่ฉาบปูนขาวสะอาดในสถานที่ทุกแห่งหน มีสุมทุมพุ่มไม้พร้อมดอกไม้นานาพรรณ ยังมีที่จงกรม บ่อน้ำใสและไม้ให้ผลดกอยู่ประจำแต่ละอาศรมหัตถิปาลกุมารเข้าสู่อาศรมแล้วบรรพชาเป็นฤาษีพร้อมกับให้ทุกคนบรรพชา มอบอาศรมให้นักบวช
หญิงสาวอยู่ตรงกลาง ถัดมาให้นักบวชหญิงชรา ถัดมาอีกให้นักบวชหญิงวัยปานกลางส่วนชั้นนอกสุดให้บรรพชิตชายทั้งหลายอยู่รายรอบ

 

        ต่อมา พระราชาต่างเมืองทรงทราบว่านครนี้ว่างร้างกษัตริย์ จึงรีบยกทัพมายึดพระนคร เมื่อเสด็จมาถึง ทรงทอดพระเนตรเห็นทรัพย์เกลื่อนกล่น ให้เกิดฉงนพระทัยยิ่งนัก ทรงเกรงกลัวว่าทรัพย์นี้จะมีภัยร้ายแรงจึงมิกล้าไปแตะต้องทรัพย์ เมื่อสืบสวนขี้เมาที่หลงอยู่ตามซอกหลืบจนได้ความทั้งที่ไม่น่าจะได้ความ ทรงดำริว่า

"เห็นทีว่า การบวชต้องมีคุณค่าโอฬาร ยิ่งใหญ่กว่าทรัพย์เหล่านี้เป็นแน่แท้!" จึงเสด็จไปหาหัตถิปาลฤาษี ได้ฟังธรรมแล้วพากันออกบวชหมดทั้งกองทัพ ต่อมามีพระราชาต่างเมืองยกทัพมาเช่นนี้อีกรวมเป็น 6 กองทัพได้ออกบวชตามหมด อาศรมมีปริมณฑลถึง 36 โยชน์ พื้นที่เต็มบริบูรณ์จนหาที่ว่างมิได้ ฤาษีรูปใดนึกถึงอกุศล หัตถิปาลฤาษีก็แสดงธรรมแก่ฤาษีนั้น พร้อมบอกวิธีเจริญพรหมวิหารภาวนาบ้าง กสิณภาวนาบ้าง จนฤาษีเหล่านั้นทำฌานและอภิญญาให้เกิดได้ เมื่อละโลกแล้วก็ไปพรหมโลกบ้างสวรรค์บ้าง บังเกิดเป็นมนุษย์บ้างตามแต่กำลังบุญ กาลนั้นราวกับนรกร้างว่างเปล่าสวรรค์เต็มเนืองแน่น ..

 

ประชุมชาดก
         พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าเอสุการีในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเจ้าสุทโธทนมหาราชในบัดนี้ พระเทวีได้มาเป็นพระนางมหามายา ปุโรหิตมาเป็นพระมหากั ปะ นางพราหมณีได้มาเป็นนางภัททกาปิลานี อชปาลกุมารได้มาเป็นพระอนุรุทธะ โคปาลกุมารได้มาเป็นพระโมคคัลลานะอัสสปาลกุมารได้มาเป็นพระสารีบุตรส่วนหัตถิปาลกุมารได้แก่ตถาคต ฉะนี้แล


"โอ้ชีวิตใครลิขิตให้เวียนวน ล้วนเกลื่อนกล่นโทษกามทรามแก่นสารอยากแสวงสุขหลุดพ้นพันธนาการ ช่างเบิกบานเลิกข้องเกี่ยวเหนี่ยวนิพพาน"

 

       จากชาดกเรื่องนี้ 4 เทพบุตรมีนิสัยใฝ่พรหมจรรย์มาตั้งแต่เป็นเทวดาก่อนลงมาเกิด เพราะสั่งสมนิสัยเห็นทุกข์โทษและความไร้แก่นสารของกามมาหลายชาติ จึงมีอัธยาศัยน้อมไปในพรหมจรรย์ได้เช่นนี้ การเป็นกษัตริย์เป็นที่หมายปองของชนทั้งผอง แต่สายตาของผู้ใฝ่เนกขัมมบารมีกลับมองว่าตำแหน่งกษัตริย์เป็นสิ่งที่ถูกกามคุณเย้ายวนพร้อมสรรพ ยากที่จะทำตนให้หลุดออกจากกามได้ อีกทั้งยังสมบูรณ์ด้วยอำนาจจึงยากที่จะมิให้หลงใหลในอำนาจ ผู้ใดก็ตักเตือนได้ยาก โอกาสทำผิดพลาดทำให้ต้องไปอบายนั้นมีสูงอย่างยิ่ง ทั้งเครื่องกังวลก็มีมาก ต้องคอยหวาดระแวงคนมาแย่งชิงยึดราชสมบัติอยู่ตลอดเวลา ทำให้บรรทมไม่มีวันเป็นสุข"นิสัยเห็นโทษกามกระจ่างฝังใจ, เห็นความไร้แก่นสารของกาม, ปล่อยวางกามคุณได้ไม่ติดในเรื่องเพศและสมบัติ และมุ่งแสวงหาสาระชีวิต" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในเนกขัมมบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0031062165896098 Mins