อดกลั้นให้ตาย ก็ไม่คลายพรหมจรรย์

วันที่ 14 ธค. พ.ศ.2558

อดกลั้นให้ตาย ก็ไม่คลายพรหมจรรย์

         สาเหตุที่ตรัสชาดก ณ พระเชตวันมหาวิหาร เหล่าภิกษุนั่งพรรณนามหาภิเนกขัมมบารมีของพระจอมมุนี พระชินสีห์ทรงสดับเรื่องนั้นด้วยทิพโสต เสด็จออกจากพระคันธกุฎีมายังโรงธรรมสภาทรงตั้งเรื่องที่ภิกษุสนทนาแล้วตรัสว่า บัดนี้เราบารมีเต็มแล้วทิ้งราชสมบัติเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่ไม่น่าอัศจรรย์เลย เมื่อก่อนญาณเรายังไม่แก่กล้า กำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ ได้ทิ้งราชสมบัติเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่นั้นจึงน่าอัศจรรย์! เมื่อภิกษุกราบทูลให้ทรงเล่าเรื่อง จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้..ครั้งหนึ่ง ณ ดาวดึงส์พิภพ เทพบุตรองค์หนึ่งกำลังจะจุติจากดาวดึงส์ไปสู่สวรรค์ชั้นสูงเพื่อเสวยทิพยสมบัติที่ประณีตยิ่งๆ ขึ้น ครานั้นเอง ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาเชิญเทพบุตรว่า..


"ถ้าท่านไปเกิดในโลกมนุษย์ไซร้ บารมีของท่านจะเต็มเปี่ยมเร็วไวความเจริญก็จะมีแก่ท่านและครอบครัวของท่าน"

 

       เทวบุตรไตร่ตรองดูเห็นว่านี้เป็นโอกาสดีจึงรับคำ ได้ลงมาเกิดเป็นราชโอรสมีพระนามว่าเตมียกุมาร ต่อมาเมื่ออายุ 1 เดือนพระราชบิดาทรงพาพระกุมารประทับบนพระเพลา ออกว่าราชการตรัสสั่งประหารโจร พระกุมารเกิดสะดุ้งกลัวนักหนาว่า..

 

"พ่อเราอาศัยราชสมบัตินี้ทำกรรมหนักเสียเหลือเกิน กรรมนี้แหละ! จะพาไปนรกในเร็ววัน"กุมารบรรทมดูเศวตฉัตรเกิดกลัวอย่างบอกไม่ถูก จึงพยายามใคร่จะรู้ให้ได้ว่าก่อนเกิด ตนมาจากไหนก็บัดดลนั้นพลันเกิดสัญญาระลึกชาติเห็นตลอดว่าตนเองเคยครองราชย์ที่เมืองนี้นั่นเอง ปกครองได้เพียง 20 ปี ตายแล้วไป อุสสทนรกทันที! ถูกเผาไหม้อยู่ถึง 80,000 ปีนรก แล้วจึงพ้นกรรมไปจุติที่ดาวดึงส์เพิ่งลงมานี่เอง กุมารตกพระทัยว่า..

 

    "โอ้! นี่เรามาเกิดในรังโจรนี้อีกแล้วหรือนี่! หากขืนได้ครองราชย์ต่ออีกก็คงต้องไปนรกอีกแน่แท้"พระกุมารยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัวสุดกำลัง เนื่องเพราะภาพเหตุการณ์อันทารุณกรรมในนรกซึ่งน่ากลัวกว่าในเมืองมนุษย์จนเกินกว่าคำพูดจะเปล่งออกมาได้ ยังแจ่มชัดอยู่ในพระทัยเหมือนเพิ่งประสบเมื่อวาน พระกุมารจึงคิดหาวิธีการออกจากวังนี้ไปให้ได้!ทันใดนั้นเอง เทพธิดาตนหนึ่งพลันมาปรากฏแนะนำให้พระกุมารทำเป็นคนใบ้ง่อยเปลี้ยเพื่อให้ถูกไล่ออกจากวัง แล้วมุ่งหวังบรรพชา พระกุมารตกลงพระทัยใช้วิธีนี้ได้อธิษฐานมั่นคงว่า..

 

"แต่นี้ไป! แม้กายเราจะเหือดแห้งตายไปก็ตามที เราจะไม่เคลื่อนไหวจนกว่าจะบรรลุความปรารถนาแห่งใจของเรา!"


          เป็นอันว่านับตั้งแต่นี้ไป ชีวิตอันแสนสุขในวังราวเทพบุตรเหมือนก่อนลงมาจุติเป็นอันต้องปิดฉากลงสิ้นเชิง ดูเหมือนก่อนลงมาเกิด พระองค์จะล่วงรู้เหตุ และพร้อมที่จะลงมาทนความลำบากอันสุดแสน หากพระองค์คิดมาเพื่อสบาย หาความบันเทิง ในเมื่อก่อนมาเกิดพระองค์กำลังจุติขึ้นสู่สวรรค์ชั้นสูง พระองค์เสด็จจุติขึ้นไปไยมิใช่ได้ความบันเทิงยิ่งกว่า แต่พระองค์เลือกลงมาสร้างบารมี มิใช่มาหาความบันเทิง!

 

     พระกุมารทรงข่มกลั้นร่างกายและจิตใจเพื่อยึดมั่นในคำอธิษฐาน แม้พระกุมารจะเห็นนมวางอยู่ตรงหน้าก็ข่มความหิวและความอยากเอาไว้ ไม่ยอมเสวยนมเลยตลอดทั้งวันจนซูบผอมพระองค์สุดแสนทรมานแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเสวย เพราะความทรมานในนรกมีมากกว่าความหิวเพียงแค่นี้สำหรับนรกนั้น ไม่มีขีดสุดของความทรมาน ทรมานจนต้องทิ้งความรู้สึกอื่นทั้งสิ้นจนเหลือเพียงความทรมานอย่างเดียว ที่ยิ่งกว่าขาดใจ และจะไม่มีวันได้ขาดใจ!

 

         แต่ตอนนี้ พระมารดาทรมานแทนโอรสจนแทบจะขาดใจแล้ว ในที่สุดพระมารดาก็ป้อนนมให้เองส่วนทารก 500 คนที่พระราชบิดาให้มาอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับพระกุมาร เมื่อไม่ได้นมก็ร้องไห้เจี้ยวจ้าวโหวกเหวกโวยวายจนน่าปวดหูยิ่งนัก พระกุมารต้องทนทั้งหิว และทั้งเสียงของทารกอีก 500คน พระองค์ไม่ทรงยืดแขนขา และไม่เปล่งเสียงอยู่ตลอด 1 ปีเต็ม พระราชบิดาประสงค์จะทดสอบให้แน่พระทัยจึงรับสั่งให้นำขนมมาล่อ พระกุมารแม้หิวโหยแต่ก็กลัวนรกยิ่งกว่า ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะมองขนมส่วนทารกทั้ง 500 กลับยื้อแย่งขนม ชกต่อยกันชุลมุนวุ่นวายไปหมด ผ่านไปได้อีก 1 ปีเต็ม ยากยิ่งสำหรับพระกุมาร 1 ปีที่ผันผ่านพระองค์ทรงอยู่กับประสบการณ์ที่ถูกทรมานในนรกอยู่ตลอดเวลางดังนั้น พระองค์จึงไม่กล้าประมาท

 

    ส่วนเรื่องที่ราชบุตรเป็นง่อยนั้นพระราชามิอาจทรงเชื่อได้เลย จึงทรงอยากทดลองให้หนักยิ่งขึ้น ดังนั้นในปีต่อมา พระองค์รับสั่งให้ทหารจุดไฟล้อมกุมารทุกๆ วัน โดยหวังให้กุมารตกใจกลัวแล้วลุกหนี หรือเมื่อไฟลามเข้าใกล้ตัวเต็มที่ก็จะทนไม่ไหวแล้วขยับแขนขาให้เห็นบ้าง แต่พระองค์ก็ทรงผิดหวังอยู่ทุกวัน เพราะกุมารเห็นว่าแม้ไฟนี้จะร้อนแรงเผาไหม้ผิวหนังให้ลอกเกรียมปานใด แต่ไหนเลยจะเทียบกับไฟในมหานรก พระองค์ยอมถูกไฟเผาตายเสียดีกว่าที่จะทิ้งปณิธานส่วนทารกทั้ง500 นั้นโวยลั่นห้อง วิ่งหนีแทบเหยียบกันตายราวหนูติดจั่น พระกุมารถูกไฟล้อมแผดเผากายอยู่ทุกวัน จนผ่านไปได้อีก 1 ปี

 

    ปีต่อมา พระราชาให้ช้างตกมันวิ่งมาอย่างดุดันจับราชบุตรขึ้นกวัดแกว่งไปมาให้รู้สึกอึดอัดเหลือทน แต่พระองค์ก็ทนได้เพื่อแลกกับการได้ออกผนวช อย่างไรก็ตามช้างตกมันก็มิอาจเทียบช้างในนรก ปีต่อมา พระราชาให้งูยักษ์แผ่แม่เบี้ยรัดพระกุมารอยู่ 1 ปีก็ไม่เป็นผล ปีต่อมาพระราชาทรงใช้ความบันเทิงหรรษามาหลอกล่อพระโอรสโดยนำมหรสพที่สนุกที่สุดในยุคนั้นมาแสดงให้ทอดพระเนตร หากเทียบในปัจจุบันก็นับว่าเป็นภาพยนตร์โด่งดังสะเทือนโลกทีเดียว ทั้งแสงสีเสียงล้วนดึงตา ดูดใจยิ่งนัก แต่ราชบุตรทรงนิ่ง ไม่สนพระทัยที่จะแลดูเลย ทรงเห็นแต่ภาพนรกอันน่าหวาดกลัวส่วนกุมารทั้ง 500 ล้อมวงกันนั่งดูอย่างสนุกสนาน ปรบมือ หัวเราะร่า เฮฮาลั่นห้อง เสียงดังมิหยุดหย่อนยามนั้นพระเตมียกุมารทรงดำริว่า..

 

    "ถ้าเราต้องไปอยู่ในนรก ความรื่นเริงเช่นนี้จะไม่มีแม้สักชั่วขณะจิตเลยทีเดียว"เมื่อความบันเทิงใช้ไม่ได้ผล พระราชาทรงส่งเพชฌฆาตจอมโหดมากวัดแกว่งดาบแล้วปราดไปที่ต้นคอของกุมารอยู่ทุกๆ วัน เพื่อขย่มขวัญให้ตกพระทัย แต่พระกุมารกลับไม่เห็นเพชฌฆาตอยู่ในสายพระเนตรเลย ทรงเห็นแต่นายนิรยบาลในมหานรกแทนนายเพชฌฆาตที่อยู่ตรงหน้า จนเวลาผ่านไปอีก 1 ปี คราวนี้พระราชาใช้วิธีจู่โจมทีเผลอคือ รับสั่งให้ขึงม่านล้อมกุมาร แล้วแอบเป่าสังข์ในทุกๆ ครั้งที่กุมารจะหลับและทุกครั้งที่ตื่น รวมทั้งในทุกๆ เวลาที่เงียบสงัด เมื่อถึงเวลานั้นทหารก็พร้อมใจกันเป่าสังข์เสียงดัง นั่นลั่นเตียง จนเสียงแทงเสียดเข้าไปในหู แต่ก็มิอาจแทงทะลุไปถึงพระทัยของพระกุมารได้ พระองค์ทรงตั้งสติป้องกันไว้มิให้สะดุ้ง ไม่มีพลาดเลยแม้สักวัน ต่อมาพระราชาให้เปลี่ยนเป็นเสียงกลอง แล้วเปลี่ยนมาใช้แสงแยงตาก็ไม่เป็นผลเช่นเคย วิธีที่พิสดารหลากหลายเช่นนี้
พอที่จะทำให้พระราชากลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้แล้ว

 

    ปีต่อมา พระองค์ทรงใช้น้ำอ้อยชุบร่างพระกุมาร แล้วยกไปไว้ใกล้ๆ แหล่งแมลงวันชุกชุมแมลงวันก็รุมเอาปากทิ่มแทงดุจเข็มนับพันเล่มสลับกันแทงไปมาตลอดเวลา การทดสอบครั้งนี้ทำให้พระกุมารได้รับทุกข์ทรมานอย่างมหาศาล แต่ก็ยังเหมือนผงฝุ่นเมื่อเทียบความทุกข์ในนรกขุมตื้นสุด!พระกุมารผ่านวันเวลาเช่นนี้ไปได้ด้วยความทรมานสุดแสนอยู่ 1 ปีเต็มโดยที่พระราชาไม่ทรงผ่อนผันให้แม้สักวันหนึ่ง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ทรงขยับเลยแม้แต่ปลายนิ้ว

    ปีต่อมา พระราชาไม่ให้พระกุมารสรงสนาน ไม่ให้ลงบังคนหนักและบังคนเบา ปล่อยให้พระองค์บรรทมเกลือกกลั้วอุจจาระปัสสาวะของตนเอง กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงฟุ้งตลบไปทั่วห้อง แมลงวันมารุมตอมเต็มไปหมด แม้พระองค์จะจมอยู่ในกองคูถก็วางอารมณ์เป็นกลางได้อย่างน่าชื่นชม ทรงพิจารณากลิ่นเหม็นของคูถในนรกซึ่งรุนแรงร้ายกาจกว่านี้นับร้อยเท่า พันเท่า..

 

    ปีต่อมา พระราชาทดลองวางกระเบื้องร้อนจัดไว้ใต้พระแท่นบรรทมของพระกุมาร ทำให้พระกุมารถูกความร้อนเผาราวเปลวไฟลุกท่วมร่างกาย ทรงข่มกลั้นเวทนาอย่างแรงกล้า ไม่ยอมให้ตนกระดิกมือและเท้าดิ้นรนไปมาจากความร้อนที่ย่างตนอยู่ ทรงสกัดกั้นอารมณ์อย่างยิ่งยวดและทรงตักเตือนตนเองว่าความร้อนในอเวจีนั้นทำลายนัยน์ตาของสัตว์นรกที่อยู่ไกลนับร้อยโยชน์ได้ความร้อนที่พระองค์ผจญอยู่นี้ยังดีกว่าตั้งร้อยเท่า พันเท่า..

    ผ่านมาหลายปีของการทดสอบ พระชนกและพระชนนีเหมือนพระทัยจะแตกสลายลงให้ได้ทุกครั้งที่เห็นพระโอรสทรมานแสนสาหัส ใกล้สวรรคต ก็ทรงแหวกฝูงชนเข้าไปนำพระโอรสออกมาจากอันตราย บางคราวทั้งสองก็สลับกันเข้ามาวิงวอนพระโอรสว่า..

 

    "พ่อเตมียเอย พวกเรารู้นะว่าเจ้ามิใช่คนง้อยเปลี้ย ลูกเป็นบุตรที่พวกเราปรารถนามานานเหลือเกินนะ ลูกจงช่วยปลดเปลื้องพ่อกับแม่จากคำครหาของพระราชาทั่วแผ่นดินด้วยเถิด"แต่พระกุมารก็ทรงนิ่งไม่ไหวติง พระชนกพระชนนีทรงกรรแสงปานจะขาดพระทัย..

    บัดนี้พระเตมีย์กุมารมีพระชนม์ได้ 16 ชันษาแล้ว หมู่อำมาตย์เสนอให้ยั่วยวนพระองค์ด้วยสนมนารีทั้งหลาย พระราชาจึงคัดเหล่านางสนมนักฟ้อนรำบำเรอที่สมบูรณ์ด้วยความงามดัง
เทพอัปสรมาเป็นจำนวนมาก แล้วตรัสว่า..
"หากใครสามารถทำให้พระกุมารร่าเริงยินดีในกามได้ เราจะให้เป็นอัครมเหสีของโอรส เราเลย!"

 

    หญิงเหล่านั้นดีใจสุดๆ รีบพากันวิ่งไปที่ห้องบรรทมของพระกุมารแล้วแย่งกันกรูเข้าไปหาพระกุมารด้วยความหวังอันเปียมล้น ต่างรุมล้อมพระกุมาร พยายามแสดงแขนขายั่วยวนราชบุตรหนุ่มให้มาร่วมอภิรมย์ด้วย บางคนก็ฟ้อนรำ บางคนพูดคำหวานกรอกพระกรรณ ล้วนเป็นถ้อยคำที่ยียวนพระทัยทั้งสิ้น! พระองค์ต้องข่มกลั้นอารมณ์อย่างสูง ทรงใช้พระปรีชายิ่ง มิยอมทอดพระเนตรดูหมู่นารีเลย ทรงอธิษฐานมิให้หญิงใดมาถูกต้องพระวรกายของพระองค์ได้ แล้วทรงกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะจนพระสรีระแข็งกระด้าง เหล่านารีเห็นดังนั้นก็ตกใจสุดขีดคิดว่าราชบุตรนี้เป็นยักษ์แน่แล้วรีบวิ่งหนีออกจากห้องไปกันหมด พระราชาทรงส่งหญิงสาวสวยหน้าใหม่ๆ หมุนเวียนกันมาทดลองอยู่อย่างนี้ตลอด 1 ปี ก็ไม่มีพิรุธให้เห็นแม้สักวันเดียว!

 

    การทดลองสิ้นสุดลงแล้ว! พระราชาตรัสเรียกหมู่อำมาตย์มาด้วยความกริ้วว่า..
"เฮ้ย! พวกเจ้าบอกแก่เราว่า บุตรของเราเป็นผู้มีบุญมาเกิด แล้วไฉนตอนนี้บุตรของเราเป็นทั้งง่อยเปลี้ย ทั้งใบ้ ทั้งหูหนวก!"


อำมาตย์กลัวตายรีบทูลแก้ตัวพัลวันว่า ..
"ข้าแต่พระมหาราชเจ้า! นิมิตที่พวกเราไม่รู้นั้นไม่มีเลย ความจริงพระกุมารนี้เป็นคนกาลกรรณีตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถ้าพวกข้าพระองค์ทูลบอกไปตรงๆ เกรงว่าพระองค์จะทรงโทมนัสจนพระทัยแตกสลาย จึงไม่ได้กราบทูลพระเจ้าข้า แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วถึงปิดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ข้าแต่มหาราช! ถ้าพระกุมารอยู่ในราชมณเฑียรนี้ต่อไป อันตราย 3 อย่างจะมีแก่พระองค์แน่พระเจ้าข้าคือพระองค์จะมีอันตรายต่อชีวิต ต่อราชสมบัติ และต่อพระอัครมเหสีของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จะชักช้าไม่ได้แล้ว โปรดให้นำพระกุมารนี้ไปฝังในป่าช้าผีดิบเถิด พระเจ้าข้า"

 

    พระราชาทรงสดับแล้วก็เกิดกลัวภยันตรายทั้ง 3 นั้นเป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดให้ทำตามที่โหรอำมาตย์แนะนำทันที พระมเหสีทราบข่าวก็ตกพระทัยรีบมาทูลวิงวอนขอร้องพระสวามีให้ปล่อยพระกุมารไป แต่พระองค์ก็ไม่ทรงยินยอม เมื่อพระกุมารทรงทราบเรื่องจากพระมารดาก็เกิดปีติโทมนัสล้นพ้น ทรงดำริว่า..

 

    "ในที่สุดความพยายามที่เราทำมา 16 ปีก็จะถึงที่สุดในวันพรุ่งนี้แล้ว!"พระมารดาเฝ้าพร่ำพิไรรำพันอยู่หน้าพระกุมารปานหทัยจะแตกสลายลงเสียให้ได้ พระกุมารสูงสุดสงสารอยากจะตรัสกับพระมารดาให้เบาใจเหลือเกิน พระองค์ต้องข่มพระทัยมากกว่าครั้งก่อนๆทั้งหมด เพราะความสงสารเกือบจะทำให้พระองค์หลุดปากตรัสวาจาออกไปแล้ว แต่ทรงดำริยับยั้งไว้ได้ทันว่า..

 

    "หากเราไม่พูด! ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อพระชนกพระชนนี และมหาชน แต่ถ้าพูดออกไปความพยายามที่ทำมา 16 ปีก็จะล้มเหลวทันที!" จึงทรงอดกลั้นโศกาดูรไว้ไม่ตรัสกับพระชนนีนายสารถีนำพระกุมารขึ้นรถแล้วขับไปป่าช้า ขณะที่เอาจอบขุดหลุมอยู่ พระกุมารได้ลงจากรถมาประทับยืนหน้าหลุมแล้วตรัสถามสารถีว่า..

 

"ท่านจะรีบขุดหลุมไปทำไมหรือ"
สารถีขุดไปพลางตอบชายที่ถามไปว่า..
"พระโอรสของพระราชาเป็นใบ้ หนวก ง่อยเปลี้ย พระราชารับสั่งให้ฝังในป่าช้านี้แหละ!"
"ข้าพเจ้ามิได้เป็นคนหนวกใบ้และไม่ได้ง่อยเปลี้ย ถ้าท่านฝังข้าพเจ้าไว้ในป่า ท่านก็ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม บุคคลนั่งนอนร่มเงาไม้ใดก็ไม่ควรหักรานกิ่งของไม้นั้น เพราะผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนลามกเลวทราม พระราชาเป็นเหมือนต้นไม้ เราก็เหมือนกิ่ง ตัวท่านเหมือนคนอาศัยร่มเงา ถ้าท่านฝังเรา ท่านทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรมแล้ว" พระราชโอรสตรัส

 

    สารถีหยุดขุดหลุม เงยหน้ามองดูชายที่สนทนาด้วย ไม่เชื่อว่าเป็นพระกุมาร จึงเดินไปดูที่รถไม่พบพระกุมารและห่อเครื่องประดับ แล้วกลับมาดูหน้าชายหนุ่มนั้นใหม่ ก็จำพระองค์ได้จึงหมอบลงแทบพระบาทอย่างดีใจทูลว่า..

"ขอพระองค์จงทรงพระเจริญเถิด พระองค์โปรดเสด็จกลับไปครองราชสมบัติเถิด พระเจ้าข้าพระองค์จะทรงทำอะไรในป่าแห่งนี้"
"นายสารถี! เรานี้ไม่ต้องการราชสมบัติที่ได้มาด้วยการประพฤติอธรรมเลย พระชนกพระชนนี และชาวแว่นแคว้นได้สละเราแล้ว เราเป็นผู้ไม่มีเหย้าเรือนแล้ว เราจะบวชอยู่ป่าคนเดียวไม่ต้องการกามคุณ ท่านจงรับรู้ไว้! ความหวังผลของคนผู้ไม่รีบร้อนย่อมสำเร็จแน่นอน เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ได้ออกบวชแล้ว จะมีภัยมาแต่ไหนเล่า" พระราชโอรส ทรงยิ้มแย้ม ตรัสด้วยเบิกบานพระทัย

 

    สารถีได้ฟังคำของพระราชบุตรแล้วให้อัศจรรย์ใจยิ่งนัก กล่าวชื่นชมว่า..
"พระองค์ช่างมีพระดำรัสไพเราะจริงๆ แต่ข้าพระองค์สงสัยเหลือเกิน เหตุไรพระองค์จึงไม่ตรัสอะไรๆ กับพระชนกและพระชนนีบ้างเลย พระเจ้าข้า"
"เราระลึกชาติปางก่อนได้ ว่าเราเคยเสวยราชสมบัติอยู่เมืองนี้เพียง 20 ปี จากนั้นต้องไปตกนรกอันกล้าแข็งหมกไหม้อยู่ยาวนานถึง 80,000 ปีนรก เรากลัวราชสมบัติเหลือเกิน ดังนั้นเรามิได้เป็นใบ้ก็ต้องทำเหมือนใบ้ มิได้ง่อยเปลี้ยก็ต้องให้คนเข้าใจว่าเราง่อยเปลี้ย แกล้งนอนเกลือกกลิ้งในปัสาวะอุจจาระของตน เช่นนั้น นายสารถีเอ๋ย! ชีวิตนี้เป็นของลำบากเป็นของน้อยทั้งยังมีทุกข์มากใครเล่าจะอาศัยชีวิตสั้นๆ นี้ทำกรรมเวรด้วยเหตุการณ์เพียงเล็กๆ น้อยๆ เพราะไม่มีปัญญาและไม่เห็นธรรมเล่า"

 

    สารถีฟังแล้วพลันได้คิดว่า..
"ตัวเราเองก็เช่นกัน จะเอาอะไรกับชีวิตที่ไม่สมประกอบนี้ เราเองก็อยากจะบวชกับพระราชบุตรเหมือนกัน"
สารถีจึงกล่าวว่า..
"ข้าแต่พระราชกุมาร! ข้าพระองค์ก็จะขอบวชด้วยนะ พระเจ้าข้า ขอได้โปรดให้ข้าพระองค์บวชด้วยเถิด ข้าพระองค์ชอบบวช"
พระราชบุตรทรงดำริว่า..
"หากเราให้นายสารถีบวชตอนนี้ พระชนกและพระชนนีก็จะไม่เสด็จมาที่นี่ ทั้งสองก็จะเสียโอกาสและต้องเสื่อมจากพรหมจรรย์ ม้า รถ และเครื่องประดับเหล่านี้ก็จะเสียหายไป คำครหาก็จะเกิดขึ้นแก่เราว่า นายสารถีถูกพระราชกุมารผู้เป็นยักษ์เคี้ยวกินเสียแล้ว"

 

    เมื่อราชโอรสทรงดำริถึงผลเสียมากมายดังนี้ จึงตรัสกับนายสารถีว่า..
"นายสารถี! เธอจงเอารถไปคืนก่อนจะได้ไม่ต้องมีหนี้แล้วค่อยกลับมาบวช ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ล้วนสรรเสริญการบวชว่าประเสริฐแท้"

    จากนั้นพระกุมารได้น้อมพระองค์ผินพระพักตร์ไปทางกรุงพาราณสี ถวายบังคมพระชนกพระชนนีแล้วให้นายสารถีฝากคำไปว่า เตมียกุมารพระโอรส ของพระองค์ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ นายสารถีรับข่าวสาส์นแล้วทำประทักษิณพระกุมาร ถวายบังคมแล้วขึ้นรถขับตรงไปยังกรุงพาราณสีเพื่อแจ้งข่าวมงคลทันที

 

    ขณะนั้นเองพระนางจันทาเทวีเผยพระแกลด้วยสีพระพักตร์สุดรันทดคอยจดๆ จ้องๆ แลดูการมาของนายสารถีด้วยพระทัยที่ร้าวราน ทรงใคร่จะทราบว่าบุตรสุดรักเป็นอย่างไร เมื่อเห็นนายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียวดวงหทัยก็แทบจะแตกไปในทันที พระเนตรทั้งสองนองไปด้วยพระอัสุชลทรงกันแสงคร่ำครวญว่า..

 

    "นายสารถีฝังโอรสเราเสียแล้ว ปัจจามิตรทั้งหลายคงจะยินดี ศัตรูทั้งหลายจะดีใจเป็นแน่แท้"แล้วเข้าไปสอบถามนายสารถีว่า..
"โอรสของเราเป็นใบ้ เป็นง่อยจริงหรือเปล่า ตรัสอะไรบ้างไหม รีบบอกเรามาเร็วๆ เถิดลูกของเราได้เคลื่อนไหวมือและเท้าบ้างไหม ลูกของเราได้พูดว่า หลีกไปนะ! ท่านอย่าฆ่าเรา! บ้างหรือเปล่า"

 

    นายสารถีเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังโดยละเอียดแล้วชื่นชมพระราชบุตรว่า..
"พระราชโอรสทรงสมบูรณ์ด้วยองคาพยพ รูปร่างครบถ้วนสมส่วน วาจาช่างล้วนไพเราะ ทรงมีพระปรีชาดำเนินตามมรรคาแห่งสวรรค์ ถ้าพระแม่เจ้ามีพระราชประสงค์จะเห็นพระราชโอรสก็ขอเชิญเสด็จเถิด ข้าพระองค์จะนำเสด็จไปให้ถึงที่ที่พระราชโอรสประทับอยู่เลยทีเดียว"

    กาลนั้นพระเตมีย์ทรงเปลื้องพระภูษาเปลี่ยนมานุ่งผ้าเปลือกไม้ สีแดง ทรงเสด็จออกจากบรรณศาลาแล้วจงกรมกลับไปกลับมา เปล่งอุทานขึ้นว่า.."การบรรพชานี้ช่างเป็นสุขจริงๆสุขจริงหนอๆ"

 

    เมื่อพระเตมียฤาษีเดินจงกรมดีแล้วก็เข้าสู่บรรณศาลานั่งบนที่ลาดใบไม้ยังอภิญญา 5สมาบัติ 8 ให้เกิดได้ในวันนั้นเอง ตกเวลาเย็นพระฤาษีเก็บใบหมากเม่าที่ท้ายจงกรมมานึ่งดื่มดุจบริโภคอมฤตร แล้วเจริญพรหมวิหารอยู่ในที่นั้นสืบไป...

 

    ฝ่ายพระเจ้ากาสิกราชได้สดับคำสารถีแล้วให้ดีพระทัยยิ่งนัก รับสั่งตีกลองป่าวประกาศเรียกระดมพลเหล่าเสนามนตรีให้ตระเตรียมกองทัพใหญ่เพื่อออกเดินทางไปพบบุตรโดยเร็ว"เจ้าหน้าที่ทั้งหลายจงเทียมรถเทียมม้าผูกเครื่องประดับประดาเหล่าช้าง ชาวเมืองโปรดตามเรามาเถิด เราจะไปให้โอวาทแก่บุตรชายของเราในบัดนี้" พระราชาทรงประกาศ

 

    บัดนี้กองทัพมหึมาได้มาถึงสถานที่ของพระเตมียฤาษีแล้ว พระฤาษีเห็นพระราชาเสด็จมาถึงเข้าไปถวายพระพรว่า..
"มหาบพิตร พระองค์ทรงปราศจากพระโรคาพาธทรงเป็นสุขสำราญดีหรือ ราชกัญญาของพระองค์และโยมมารดาของอาตมภาพ ไม่มีพระโรคาพาธหรอกหรือ"
"พระลูกรัก ฉันไม่มีโรคาพาธ ฉันสุขสำราญดี โยมมารดาของพระลูกรักไม่มีโรคภัยใดๆ เลย"พระราชาตรัสตอบ
"มหาบพิตร พระองค์ไม่ทรงโปรดน้ำจัณฑ์อยู่ใช่ไหม พระหฤทัยของมหาบพิตรยังยินดีในสัจจะและธรรมะ ทรงบำเพ็ญทานอยู่หรือ" พระฤาษีทูลถาม 


"พระลูกรัก ฉันไม่โปรดน้ำจัณฑ์ ใจฉันยังยินดีในสัจจะ ในธรรม และในทานอยู่"
"ชนบทของมหาบพิตรยังคงรุ่งเรืองดีอยู่ไหม บ้านเมืองยังเป็นปึกแผ่นดีอยู่หรือ ฉางหลวงและพระคลังยังบริบูรณ์ดีอยู่หรือเปล่า" พระฤาษีทูลถาม
"ทั้งหมดยังบริบูรณ์ดีอยู่ พระลูกรัก" พระราชาตรัสตอบ
"ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาดีแล้ว พระองค์เสด็จมาไกลก็เหมือนใกล้ ราชบุรุษทั้งหลายจงทอดราชบัลลังก์ให้ประทับเถิด" พระฤาษีทูลเชิญพระบิดา

 

    พระราชาทรงเปรมปรีดิ์พระทัย ด้วยว่าพระองค์มิเคยได้สดับเสียงของบุตรรักมายาวนานเหลือเกิน ทรงฟังเสียงอันไพเราะ และท่าทีอันสง่างามผุดผ่องของบุตรรักจนเคลิบเคลิ้มไปแล้วพระราชาประทับนั่งลงบนพื้นดิน ด้วยทรงเคารพต่อพระฤาษีจึงมิได้ประทับนั่งบนที่ลาดใบไม้ให้เสมอกับฤาษี พระเตมียฤษีเข้าบรรณศาลานำใบหมากเม่าออกมาแล้วเชิญพระราชาให้เสวย


"มหาบพิตร ใบหมากเม่าของอาตมภาพนี้สุกดีแล้ว ไม่มีรสเค็ม ขอจงเสวยเถิด"
"ฉันไม่บริโภคใบหมากเม่าหรอก อาหารของฉันไม่ใช่เช่นนี้เลย ฉันเสวยข้าวสาลีปรุงด้วยเนื้อที่สะอาด ลูกเสวยอาหารอย่างนี้หรอกรึ" พระราชาทรงฉงนถาม

 

    ขณะนั้น พระนางจันทาเทวีพร้อมหมู่สนมนารีเสด็จมาถึงพอดี ทรงเข้าจับพระบาททั้งสองของพระปิโยรส แล้วกันแสงมีพระเนตรนองด้วยน้ำพระอัสุชล จากนั้นมาประทับอยู่ข้างๆ พระราชา
"นี่ที่รัก! เธอดูอาหารของลูกเธอสิ!" พระราชาทรงหยิบใบหมากเม่าวางลงในพระหัตถ์ของพระเทวีและประทานแก่สนมอื่นๆ คนละหน่อย ทุกคนต่างนำใบหมากเม่านั้นมาวางไว้บนศีรษะของตนด้วยความเคารพในพระฤาษี

 

    "ลูกรัก! ช่างน่าอัศจรรย์จริง ลูกบริโภคอาหารเช่นนี้แล้ว ทำไมผิวพรรณลูกยังผ่องใสอยู่ ไม่เห็นเศร้าหมองลงเลย" พระราชาตรัสถาม
"มหาบพิตร อาตมภาพเป็นผู้นอนผู้เดียว การนอนผู้เดียวนั้นทำให้ผิวพรรณของอาตมภาพผ่องใสอาตมาภาพมิต้องมีกองกำลังเหน็บดาบเฝ้ารักษา ไม่ได้โศกาดูรถึงเหตุการณ์ที่ผันผ่าน ไม่ปรารถนาสิ่งยังมาไม่ถึง ยังอัตภาพให้เป็นไปเฉพาะหน้าด้วยใจเป็นสุข ผิวพรรณจึงผ่องใสคนพาลทั้งหลายย่อมเศร้าหมองเหี่ยวแห้งลงไปเพราะ 2 อย่างนั้นคือ มัวคาดหวังในสิ่งที่ยังไม่มาถึง และมัวเศร้าคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงเลยไปแล้ว เหมือนไม้อ้อที่เขียว ดถูกถอนทิ้งไว้กลางแดด ฉะนั้น"พระฤาษีทูลตอบ

 

    "พระลูกรัก! พ่อขอมอบกองทัพตลอดจนพระราชนิเวศน์อันรื่นรมย์ให้แก่ลูกในบัดนี้ และจะขอมอบ นางสนมนารีที่มีทั้งหมดให้แก่ลูกด้วย ลูกจงปฏิบัติในนางเหล่านี้ให้ดีเถิด จงเป็นพระราชาของชนทั้งหลาย เหล่าสตรีนี้จะทำให้ลูกรื่นรมย์ในกามไม่รู้เบื่อ ลูกจะอยู่ในป่านี้ทำอะไร พ่อจะไปนำพระราชธิดาจากเมืองอื่นๆ มาให้ลูก ลูกช่วยทำให้นางเหล่านั้นมีโอรสมากๆ แล้วค่อยผนวชภายหลังเถิด" พระราชาตรัสมอบราชสมบัติ

    "คนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ การบรรพชาต้องเป็นของคนหนุ่ม ผู้แสวงหาคุณธรรมทั้งหลายสรรเสริญแล้ว อาตมภาพไม่ต้องการราชสมบัติ! อาตมภาพเห็นเด็กชายยังไม่ทันแก่ก็ตายเสียแล้ว นรชนจะเป็นชายหนุ่มหรือหญิงสาวก็ตามล้วนตายทั้งนั้น วันคืนล่วงไปๆ ใครเล่าจะวางใจในชีวิตว่าเรายังหนุ่มอยู่ อายุคนเราเป็นของน้อยเหมือนอายุของฝูงปลาในน้ำน้อยความเป็นหนุ่มสาวจะช่วยอะไรได้สัตวโลกถูกครอบงำและห้อมล้อมอยู่เป็นนิตย์ เมื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ดำเนินไปอยู่มหาบพิตรจะอภิเษกอาตมภาพให้เป็นพระราชาไปทำไม" พระฤาษีทูลปฏิเสธ

 

    "สัตวโลกถูกอะไรครอบงำไว้หรือ และถูกอะไรห้อมล้อมไว้ล่ะสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์คืออะไรกัน" พระราชาตรัสถามด้วยพระพักตร์ฉงน"สัตวโลกถูกความตายครอบงำไว้ และถูกความชราห้อมล้อมอยู่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์คือวันคืนที่ล่วงดำเนินไปอย่างไร้แก่นสาร ช่างหูกทอผ้าไปได้เท่าใด ด้ายก็เหลือน้อยลงไปทุกที ชีวิตคนเราก็เช่นกันย่อมสั้นลงๆ ทุกที แม่น้ำไม่ไหลสู่ที่สูงฉันใด อายุสรรพสัตว์ย่อมไม่หวนกลับคืนสู่ความเป็นเด็ก
อีก แม่น้ำเต็มฝังพัดพาไม้ใกล้ฝังให้หักโค่นลงไปอย่างไร ชาวโลกทั้งปวงล้วนถูกความแก่และความตายพัดพาไปทั้งสิ้น" พระฤาษีทูลตอบ

 

    พระราชาทรงสดับคำพระฤาษีแล้ว เกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือนเป็นที่ยิ่ง ทรงเห็นความตายใกล้เข้ามาอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ ไม่ทรงคิดผูกพันในราชสมบัติอีก มีพระราชประสงค์จะออกผนวช ได้ตรัสว่า..

 

    "ลูกรัก! พ่อตัดสินใจแล้ว พ่อจะไม่กลับเข้าพระนครอีก จะบรรพชาอยู่ที่นี่แหละ! ลูกกลับพระนครรับเศวตฉัตรไปเถิด"พระราชาทรงอยากผนวชแต่ก็ยังประสงค์ให้บุตรกลับไป สืบวงศ์กษัตริย์อยู่อีก พระฤษีจึงทูลต่อว่า..

 

    "มหาบพิตรจะให้อาตมภาพเสื่อมลงเพราะทรัพย์อีกทำไม คนเราจะตายไปเพราะการมีภรรยาไปทำไม มันเกิดประโยชน์อะไรในความเป็นหนุ่มสาวซึ่งต้องแก่ลงในไม่ช้า เมื่อโลกนี้มีความแก่และตายเป็นธรรมดาจะมัวเพลิดเพลินเล่นหัวกันไปทำไม การแสวงหาทรัพย์หาภรรยาและบุตรจะมีประโยชน์อันใด มหาบพิตร! อาตมภาพพ้นมาได้แล้วจะไม่กลับไปอีก คนเป็นจำนวนมากเห็นกันอยู่ยามเช้าพอตกเย็นก็ตายจากกันเสียแล้วสถานที่ที่จะทำสงครามกับมัจจุราชด้วยกองทัพกำลังพลไม่มีเลย แม้เป็นมหาราชที่ชนะทั่วทุกทิศก็ไม่อาจพิชิตสู้เอาชัยกับมัจจุราชได้เลย ฉะนั้นควรรีบทำความเพียรในวันนี้ ใครเลยจะรู้ว่าความตายอาจมีในวันพรุ่งนี้ เพราะการผัดผ่อนกับพญามัจจุราชย่อมไม่มีแก่สัตว์ทั้งหลาย อาตมภาพไม่ต้องการราชสมบัติ! ขอมหาบพิตรจงสละราชสมบัติแล้วทรงผนวชเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ ทำเนกขัมมะให้เป็นที่พึ่งเสียเถิด" พระฤาษีทูล

 

    พระราชาและพระนางจันทาเทวี กับทั้งนางสนมอีก 16,000 นาง พร้อมเหล่าอำมาตย์และราษฎรได้ฟังคำของพระฤาษีแล้วสลดใจกันถ้วนหน้า เกิดความเบื่อระอาในกามคิดอยากแสวงหาความสุขสงบที่แท้จริง ทั้งหมดจึงต้องการจะบรรพชา พระราชาโปรดให้ตีกลองประกาศไปทั่วพระนครว่า..

 

    "ผู้ใดอยากจะบวชกับลูกของเราก็ขอจงมาบวชเถิด!"พระราชารับสั่งให้เปิดประตูวังและคลังทั้งหมด ให้จารจดที่เก็บขุมทรัพย์ตามที่ต่างๆ ลงแผ่นทองผูกไว้ที่เสาท้องพระโรง หากผู้ใดต้องการก็เอาไปได้เลยส่วนชาวพระนครก็พากันทิ้งบ้านเรือนและร้านค้า เปิดประตูทิ้งไว้แล้วบ่ายหน้าตามกันไปสู่ป่า บวชกันหมดสิ้นพระนคร ทรัพย์สมบัติกระจัดกระจายเรี่ยราดเกลื่อนกลาดราวกับเศษขยะปลิวว่อนไปทั่วทั้งเมืองคงเหลือแต่พวกขี้เมานั่ง
ดื่มเหล้าเงียบเหงาอยู่ในเมือง

 

    ป่าใหญ่ยามนี้แน่นขนัดไปด้วยอาศรมตั้งอยู่เต็มในที่ 3 โยชน์ พระเตมียฤาษีมอบที่พักตรงกลางแก่หมู่ฤาษิณี มอบหลังนอกๆ แก่ฤาษีทั้งหลาย บรรพชิตคนไหนคิดเรื่องกาม พยาบาทหรือคิดเบียดเบียนกัน เมื่อนั้นพระเตมียฤาษีจะทราบวาระจิตผู้นั้น แล้วเสด็จประทับนั่งแสดงธรรมสั่งสอนกลางอากาศจนผู้นั้นสลดใจไปทำสมาธิได้อภิญญา 5สมาบัติ 8 หมู่ฤาษีและฤาษิณี บัดนี้ได้นั่งเข้าฌานสุขสว่างไสวไปทั่วทั้งป่า..

 

    กาลนั้นมีกษัตริย์ประเทศราชได้ข่าวว่าพระเจ้ากาสิกราชเสด็จออกผนวช จึงรีบเสด็จมายึดราชสมบัติกรุงพาราณสี เมื่อเสด็จมาถึงก็ทอดพระเนตรเห็นทรัพย์เกลื่อนกล่นทิ้งร้างวางไว้อย่างไร้ค่า ไม่มีค่าแม้แต่จะถูกเหลียวมอง ทรงระแวงว่าทรัพย์เหล่านี้คงต้องมีภัยหนักหนาเป็นแน่ถึงไม่มีใครกล้ามาเอาไปเลย จึงรับสั่งให้เรียกพวกขี้เมามาตรัสถามจนทราบความทั้งหมด แล้วจึงมุ่งหน้าไปหาพระฤาษี เตมียฤาษีต้อนรับปฏิสันถารพระราชานั้นแล้วประทับนั่งโดยใช้อากาศเป็นอาสนะแสดงธรรม กษัตริย์นั้นพร้อมทหารทั้งกองทัพที่ตามมาได้ฟังธรรมแล้วประสงค์จะบวชด้วยทั้งหมด ยังมีพระราชาอื่นๆ ก็ตามมาบวชทั้งกองทัพในลักษณะนี้อีก 3 พระองค์ ที่ตรงนี้ได้เป็นมหาสมาคมใหญ่ ช้างม้าถูกทอดทิ้งไว้กลายเป็นช้างป่า ม้าป่า รถทั้งหลายก็ชำรุดทรุดโทรมไปในป่านั่นเอง เครื่องใช้สอยและเงินทองทั้งหลายก็เรี่ยราดเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณอาศรมสถาน บรรพชิตทั้งหมดสามารถทำอภิญญา 5 สมาบัติ 8 ให้บังเกิดได้ทั้งหมด หมู่สัตว์ก็ล้วนเมตตาต่อกัน ผลไม้ผลัดกันออกผลเต็มต้น
มากมายพอเลี้ยงฤาษีทั้งป่าอย่างอิ่มหนำ ดอกไม้นานาพันธุ์ก็ผลิบานกันอย่างสำราญ ป่าใหญ่อันอุดมร่มรื่นนี้รับรองหมู่ฤาษีสืบมาช้านาน เมื่อละโลกกันแล้วก็ไปเสวยสุขกันต่อที่พรหมโลกส่วนช้างและม้าทั้งหลายได้ยังจิตเลื่อมใสในหมู่ฤาษี ไปบังเกิดในสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นตามกำลังบุญ สืบไป

 

ประชุมชาดก
         พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า เทพธิดาในกาลนั้นมาเป็นภิกษุณีอุบลวรรณา นายสุนันทสารถีมาเป็นพระสารีบุตร ท้าวสักกะเป็นพระอนุรุทธ์ พระชนกและพระชนนีเป็นมหาราชสกุลส่วนบัณฑิตผู้ทำเป็นใบ้และง่อยเปลี้ยคือตถาคตแล


          จากชาดกเรื่องนี้ พระเตมียราชกุมารทรงยอมสละราชสมบัติอันเป็นที่รวมแห่งกามทั้งหมดลงได้ ทรงยอมตายเพื่อให้ได้มาซึ่งพรหมจรรย์ส่วนผู้ได้พรหมจรรย์มาครอบครองแล้วก็ มควรยอมตายเพื่อรักษาเอาไว้ แม้ต้องรักษาพรหมจรรย์ทั้งน้ำตาก็ตาม โดยถือหลักว่า ยอมตายก็ไม่ยอมทอดทิ้งพรหมจรรย์ เด็ดขาด เช่นนี้จึงนับว่า เดินในวิถีนักสร้างบารมีอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่มีกามจูงจมูก"นิสัยรักหวงแหนพรหมจรรย์ ยอมกลั้นใจตายก็ไม่ทอดทิ้งพรหมจรรย์ และเห็นภัยในนรกอยู่เสมอ" จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในเนกขัมมบารมี
 

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010918656984965 Mins