ทนทรราช

วันที่ 15 มค. พ.ศ.2559

ทนทรราช

         สาเหตุที่ตรัสชาดก พระทศพลตรัสโอวาทแก่ภิกษุมักโกรธรูปหนึ่ง แล้วตรัสว่าโบราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้มีเครื่องประหารตั้งพันตกลงบนร่างกายก็ยังไม่กระทำความโกรธแก่คนอื่น แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังนี้..

 

          ในกาลครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อกุณฑล อดทนและขยันร่ำเรียนวิชาทำมาหากินจนจบวิชาทางโลกมามากมาย ต่อมาทำงานเลี้ยงบิดามารดามาตลอดจนท่านทั้งสองได้ตายลง ชายหนุ่มเกิดลดใจคิดคำนึงว่า..

    "พ่อแม่อุตส่าห์หาเงินแสนเหนื่อยยาก ตรากตรำมาตลอดชีวิตกว่าจะได้เงินมา หาจนกระทั่งตายก็ยังไม่ได้เอาสิ่งใดไปเลย ต้องทิ้งสิ่งที่หามาตลอดชีวิตไว้ดุจกองขยะ ไม่อาจเป็นประโยชน์ต่อตนเองได้โดยประการทั้งปวง การทำมาหากินก็มีแค่นี้เอง การสะสมบารมีนี้สิ! เป็นสาระเที่ยงแท้แน่นอน จะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ทั้งภพนี้และภพต่อไป เราจะใช้เวลาที่เหลืออยู่มุ่งแสวงหาความสุขสงบภายใน หาแก่นสารของชีวิตให้ได้!"

 

         ชายหนุ่มลิขิตชีวิตแล้วไม่รอช้า รีบเปิดประตูคลัง นำทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกแจกจ่ายผู้คนที่ผ่านไปมาจนหมด ปลดกังวลให้ตนได้แล้วก็เข้าป่าออกบวชทันที..

         กุณฑลฤาษีมีความอิ่มเอมใจสงบสุขอยู่ในป่าอันร่มรื่นมาช้านาน จนวันหนึ่งท่านเข้ามาในถิ่นดินแดนมนุษย์ ผ่านมาทางบ้านของท่านเสนาบดีแห่งแคว้น เสนาบดีได้นิมนต์ให้พักในราชอุทยานจนมาวันหนึ่ง พระราชาทรงเมาน้ำจัณฑ์หลับคาตักของนางสนมเอกสนมเล็กๆ ที่เหลือก็ลุกไปวิ่งเล่นในอุทยาน ผ่านมาเห็นฤาษีนั่งสงบอยู่จึงเกิดใฝ่รู้เข้าไปนั่งฟังธรรมจากพระฤาษี เผอิญพระราชาตื่นบรรทมพอดีรีบถามหาสนมน้อยๆ ทั้งหลาย รู้ว่าเหล่าสนมไปนั่งล้อมพระฤาษีจึงโกรธสุดขีดคว้าพระขรรค์ได้ก็วิ่งไปถึงตัวฤาษี ตะคอกถามก่อนลงไม้ลงมือว่า..

"เฮ้ยสมณะ! แกถือธรรมอะไร"
"ถือขันติธรรม" ฤาษีทูลตอบ
"ขันติคืออะไร" พระราชาถามอย่างฉุนๆ
"คือความไม่โกรธ เมื่อมีคนมาด่า มาทำร้าย หรือเย้ยหยัน" ฤาษีตอบอย่างสงบ
"อืม! เข้าท่า ประเดี๋ยวก็จะรู้กัน ว่าขันติที่ว่าของแกเป็นยังไง"


พระราชารับสั่งเรียกเพชฌฆาตเอาแส้หนามเฆี่ยนฤาษี 2,000 ครั้ง จนผิวหนังและเนื้อขาดวิ่น เลือดไหลอาบท่วมตัว
"ตะกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ!" ราชาถ่อยตรัสถาม
"อาตมายกย่องขันติ มหาบพิตร ขันตินี้ไม่ได้อยู่ที่ผิวหนังหรอกแต่อยู่ที่ใจของอาตมา ซึ่งมหาบพิตรไม่อาจทอดพระเนตรเห็นได้" ฤาษีทูลตอบอย่างไม่พรั่นพรึงพระราชารับสั่งให้ตัดมือตัดเท้า กระทั่งตัดจมูกและหู จนเลือดไหลออกราวหม้อก้นทะลุ แล้วกระทืบยอดอกพระฤาษี พร้อมสบถด่าว่าก่อนจากไปว่า..

"โถ! เจ้าชฎิลเจ้าเล่ห์ แกยกย่องขันติของแกไปคนเดียวเถอะ!"


พระราชาเสด็จหันหลังเดินจากไป เสนาบดีกลัวว่าฤาษีจะโกรธแค้นแล้วใช้ฤทธิ์ทำลายเมืองจึงรีบเข้ามาขอขมาแทนพระราชา แต่ฤาษีเปล่งวาจาก่อนสิ้นลมว่า..
"พระราชาพระองค์ใดมีรับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู จมูกของอาตมาแล้วไซร้ ขอให้พระราชานั้นจงมีพระชนม์ยืนนานเถิด บัณฑิตเช่นอาตมาย่อมไม่โกรธเคืองเลย"

 

น่าเสียดาย..คำอธิษฐานของฤาษีกลับไม่เป็นผล เพราะไม่ทันที่พระราชาเสด็จถึงราชนิเวศน์แผ่นดินหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็แยกออกดุจผ้ากัมพลฉีกขาด เปลวไฟจากอเวจีมหานรกแลบออกมาม้วนคลุมพระราชาเหมือนห่มผ้ากัมพลแดงฉุดลงสู่ภพอเวจีทันที ..

 

ประชุมชาดก
           พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระราชามาเป็นพระเทวทัต เสนาบดีมาเป็นพระสารีบุตรดาบสผู้มีวาทะยกย่องขันติมาเป็นตถาคตแล


            จากชาดกเรื่องนี้ ฤาษีรับการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างกะทันหัน ก็ไม่ตีโพยตีพายหรือตระหนกรนราน เมื่อรู้ว่าต้องประสบภัยเช่นนี้ก็ยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง เป็นเกาะกำบัง แม้เจ็บปวดเพียงไหนก็อดกลั้นใจไว้ให้อยู่กับธรรม ไม่ยอมให้โกรธแค้นและน้อยใจในสิ่งใดทั้งสิ้นได้ ผู้ที่มิได้ฝึกข่มใจให้เป็นนิสัย ถึงเวลาเจ็บปวดทรมานมีเวทนากล้าแข็งก็ยากที่จะครองสติไว้อยู่ มักจะโอดครวญโวยวายให้เป็นที่น่ารำคาญของผู้พบเห็นดูแลความอดทนจึงทำให้มนุษย์กลายเป็นคนสงบเสงี่ยมงดงามได้


"นิสัยยินดีอดกลั้น, ข่มทุกขเวทนา, ไม่โอดครวญ, ข่มความโกรธ, มั่นในธรรม,สงบปากสงบคำไม่บ่นพร่ำพิไรรำพัน และยอมรับความผันแปร" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในขันติบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 


 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0013942321141561 Mins