การรับน้องใหม่

วันที่ 01 มิย. พ.ศ.2550

 

     สมัยที่อาตมาภาพยังเป็นนิสิตแพทย์และเริ่มฝึกงานรักษาคนไข้นั้น จะเป็นที่รู้กันว่า ถ้าวันไหนเป็นวันรับน้องของคณะ เช่น คณะวิศวะ นิสิตแพทย์ที่อยู่เวรห้องฉุกเฉิน จะต้องตั้งหลักเตรียมรับเลย โดยเตรียมกลูโคสไว้เป็นบ้อง ๆ ที่เรียกเป็นบ้อง ๆ เพราะจริง ๆ ก็คือหลอดเข็มฉีดยานั่นเอง แต่เป็นหลอดโต ๆ หลอดหนึ่งจุกลูโคสเข้มข้นได้ถึง 50 ซีซี นอกจากนี้เข็มฉีดกลูโคสก็ยังมีขนาดใหญ่มาก เพราะต้องใช้ฉีดกลูโคสซึ่งเป็นน้ำหวานเข้มข้น มีความหนืด ถ้าเข็มมีขนาดเล็กจะฉีดไม่ออก ตกดึกสัก 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม จะเริ่มมีน้องใหม่วิศวะ ที่ถูกรุ่นพี่มอมเหล้า คะยั้นคะยอให้ดื่มจะกระทั่งเมาไม่ได้สติ และกำลังจะช็อค ถูกหามส่งโรงพยาบาล พอมาถึงหมดก็จะรีบฉีดกลูโคสเข้าเส้นเลือด เพราะกลูโคสจะมีผลช่วยให้สร่างเมาได้ ป้องกันไม่ให้ช็อค หรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เสร็จแล้วก็จับนอนเรียงกันเป็นตับ

 

      มีเพื่อนอาตมภาพอีกคนหนึ่งเรียนวิศวะ จุฬาฯ เหมือนกัน เดิมเป็นเด็กเรียนดีอยู่โรงเรียนเตรียมอุดม ไม่ดื่มเหล้า มาดื่มครั้งแรก ก็ตอนรับน้องใหม่ ถูกรุ่นพี่คะยั้นคะยอก็เลยดื่มเข้าไป ดื่มบ่อย ๆ ก็ติดเป็นนิสัย เรียน 5 ปีถึงจบ จบแล้วก็ทำงานไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะกลายเป็นคนขี้เมาไปแล้ว น่าเสียดาย

 

      ถ้ารับน้องใหม่แล้วเมาแบบนี้ก็คงไม่ดี ต้องปรับปรุงแก้ไขซึ่งในช่วงหลัง ๆ นี้ดีขึ้นมากแล้ว เพราะเยาวชนคนรุ่นใหม่เริ่มเห็นภัยแอลกอฮอล์มากขึ้น แต่หากมีที่ที่ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ขอให้เปลี่ยนเถิด มันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย มีแต่โทษ

 

     มีบางคนบอกว่า น่าจะยกเลิกการรับน้องใหม่ไปเลยดีไหม เรื่องนี้ขอให้เราแยกระหว่างคำว่าการรับน้องใหม่กับวิธีรับน้องใหม่ มันไม่เหมือนกันนะ การรับน้องใหม่อาตมภาพคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้เสียหายอะไร แต่สำคัญคือ วิธีรับน้องใหม่ หมายถึง ในการรับน้องเรามีวิธีการอย่างไรบ้าง ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นข่าวครึกโครมในสื่อมวลชน มักจะเป็นตรงวิธีรับน้องใหม่มากกว่า ที่ไปทำอะไรพิเรน ๆ กัน

 

      ในทางสงฆ์ก็มีการรับน้องใหม่ ตั้งแต่บวช ทันทีที่พระอุปัชฌาย์บวชพระใหม่เสร็จ จะเรียกว่ารับศิษย์ใหม่หรือรับน้องใหม่ก็ว่าได้ ท่านจะให้โอวาท บอกอกรณียกิจ 4 อย่างที่ภิกษุห้ามทำโดยเด็ดขาดโดยมีพระพี่เลี้ยงคอยดูแลอบรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องนุ่งห่มจีวรทำอย่างไร จะต้องพินทุวิกัปผ้าอย่างไร พระวินัย 227 ข้อมีอะไรบ้าง ต้องคอยแนะนำตลอด การรับน้องของพระมีระยะเวลาถึง 5 ปี คือช่วงเป็นพระนวกะ 5 พรรษาแรก นับเป็นวิธีการที่ดี ส่งผลให้พระพุทธศาสนามีพระภิกษุที่มีคุณภาพ

 

      การรับน้องใหม่ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่วิธีการรับน้องต้องถูกต้อง ถ้าหากตัวเราไปอยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่มีวิธีการรับน้องที่ยังไม่ค่อยถูกต้องอยู่ เช่นมีพี่จะเอาเหล้ามาให้ดื่ม อาตมภาพขอแนะนำวิธีการที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยเคยใช้มาแล้ว สมัยเป็นนิสิตที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเกษตรนั้นขึ้นชื่อลือชาเรื่องการดื่มเหล้า เมื่อรุ่นพี่เอาเหล้าให้ดื่ม ท่านตอบสั้น ๆ ว่า “ผมรักษาศีลครับ” พี่กำลังเมา ฟังแล้วแทบสร่างเมา ไม่กล้าคะยั้นคะยอต่อ เราลองนำไปใช้ดูก็ได้ ถ้าเรารักษาศีลจนเป็นปกติแล้วคำพูดแม้สั้น ๆ จะมีอานุภาพทีเดียว

 

       มีอีกตัวอย่างหนึ่งคือ มีนิสิตคณะสัตวแพทย์จุฬาฯ 2 ท่าน เป็นรุ่นน้องอาตมภพ มาอบรมธรรมทายาทภาคฤดูร้อนที่วัดพระธรรมกาย หลังอบรมเสร็จก็ตั้งใจรักษาศีล 5 ตลอด ต่อมาเมื่อพบว่าการเรียนในช่วงปี 5 ปี 6 จะต้องมีการฆ่าสัตว์ทดลอง จึงไปพบคณบดีเพื่อจะขอจบการศึกษาเพียง 4 ปี โดยขอรับแค่ปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิตเพียงอย่างเดียว ไม่ขอรับสัตวแพทยศาสตร์บัณฑิต

 

        การเรียนในคณะสัตวแพทย์ในสมัยก่อน เมื่อเรียนจบ 4 ปีจะได้รับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิตก่อนใบหนึ่ง พอจบ 6 ปี จึงจะได้รับปริญญาสัตวแพทยศาสตร์บัณฑิตอีกใบหนึ่ง ซึ่งคณะแพทย์และคณะทันตแพทย์ในสมัยนั้นก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันต่อมาภายหลังจึงได้มีการยกเลิกปริญญาตอนจบ 4 ปีไป เพราะเห็นว่าพอจบ 4 ปีก็เรียนต่อ 6 ปีกันทุกคน จึงให้รับปริญญาตอนจบ 6 ปีทีเดียวเลย การจะขอจบ 4 ปีในขณะที่เขายกเลิกปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิตไปแล้ว จึงต้องได้รับอนุมัติเป็นกรณีพิเศษจากคณะกรรมการบริหารของมหาวิทยาลัย

 

        เมื่อนิสิตทั้งสองไปพบคณบดีเพื่อจะขอจบ 4 ปี คณบดีได้ถามถึงเหตุผล นิสิตจึงบอกว่า “ผมกลัวผิดศีลครับ” อาจารย์เองถึงกับงงไปเลย ต้องเอาเรื่องเข้าที่ประชุมในคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยที่มีอธิการบดีเป็นประธาน คณบดีทุกคณะเป็นกรรมการ บอกนิสิตจะขอจบ 4 ปี ขออนุมัติจากคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยด้วย ที่ประชุมถามเหตุผล คณบดีคณะสัตวแพทย์ก็ตอบว่า นิสิตต้องการรักษาศีล ที่ประชุมก็นิ่ง จะด้วยความทึ่ง หรือความประทับใจ หรือว่าความงงก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ก็อนุมัติเป็นเอกฉันท์

 

        นิสิตทั้งสองท่านนี้ก็เลยรับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต เสร็จแล้วมาเป็นอุบาสกที่วัดพระธรรมกายรักษาศีล 8 ช่วยงานวัดอยู่ประมาณ 10 ปี ก็ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา จนกระทั่งบัดนี้ทั้งสองรูปก็บวชมาได้กว่า 10 พรรษาเศษแล้ว และเป็นกำลังสำคัญของวัดในปัจจุบัน นี่คืออานุภาพของศีล อย่าว่าแต่เพื่อน ๆ รุ่นพี่เลย แม้ครูบาอาจารย์ก็ยังยอมรับ ขอให้เราตั้งใจรักษาศีลจริง ๆ เถิด จะไปอยู่ที่ใดก็ตาม สิ่งแวดล้อมจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการตั้งใจทำความดีของเราเลย ถ้าหากเรามีความตั้งใจจริง

 

        การรับน้องใหม่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าทำถูกต้องเหมาะสมโดยมีรุ่นพี่คอยดูแลแนะนำน้องอย่างดี ก็จะทำให้น้องใหม่เติบโตขึ้นมาในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นนิสิตและก็เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป ส่วนวิธีการขอให้ปรับแก้กันให้ถูกต้องเหมาะสม แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปได้อย่างดี

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.02023690144221 Mins