ประวัติคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

วันที่ 21 กย. พ.ศ.2558

ประวัติคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

 

ช่วงแรกของชีวิต
วัยเด็กของคุณยาย
            คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "คุณยาย") ท่านเกิดเมื่อวันขึ้น 10 ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา พ.ศ. 2452 (ตรงกับวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2452) เป็นลูกคนที่ 5จากทั้งหมด 9 คนของพ่อพลอย แม่พัน ในครอบครัวชาวนาผู้มีฐานะปานกลางแห่งอำเภอนครไชยศรีที่นาของพ่อและแม่มีรวมกันราว 35 ไร่ และอยู่ไม่ห่างไกลกันมากนัก
โดยธรรมชาติของท้องนาจะมีโคกเป็นหย่อมๆ ใน มัยที่คุณยายยังเด็ก ท่านมักจะหาบกระเช้าข้าวไปส่งผู้ใหญ่ที่ทำงานอยู่กลางนาเสมอ แล้วไปนั่งร่วมวงกินอาหารกลางวันกันบนโคก ปล่อยให้ควายที่ถูกใช้งานมาแล้วครึ่งวันได้กินหญ้ากินน้ำของมันตามลำพังคุณยายมีเพื่อนมาก เพื่อนๆ ต่างก็รักคุณยายกันทุกคน ตกตอนเย็น คุณยายและเพื่อนๆจะต้อนควายไปอาบน้ำและเอาเข้าคอกพร้อมๆ กันวิถีชีวิตของชาวนาหล่อหลอมให้คุณยายเป็นคนแข็งแกร่ง เพราะต้องช่วยพ่อแม่ทำนาตลอดทั้งวันคุณยายไม่ได้เรียนหนังสือ ดังนั้นจึงอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เพราะใน สมัยนั้นนิยมให้เด็กผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ให้เป็นแม่ศรีเรือน อีกทั้งยังไม่มีการศึกษาภาคบังคับ คุณยายจึงต้องทำงานบ้านและทำนาไปด้วย ท่านเป็นคนขยันอย่างที่สุด ในนาของท่านจึงปราศจากวัชพืชและให้ผลผลิตสูงกว่านาของเพื่อนบ้านข้างเคียง

 

ความคิดอย่างนักสร้างบารมีในวัยเด็ก
            ทุกวันก่อนที่ดวงอาทิตย์จะทอแสง ในราวตี 3 ใกล้ตี 4 คุณยายจะตื่นขึ้นมาเพื่อออกไปลงนาและชอบมองดูดวงตะวันยามที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า พลางคิดคำนึงด้วยความอยากรู้ว่า"ดวงตะวันนี้เจ้ามาจากไหนนะ ทำอย่างไรเราจะไปถึงดวงตะวันได้"แม้ว่าจะเห็นเป็นประจำอยู่ทุกวัน เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป แต่ความคิดของท่านไม่เหมือนใครเลยท่านอาจหาญ คิดที่จะไปให้ถึงดวงตะวัน อยากรู้ว่ามันขึ้นมาจากตรงไหน ทำอย่างไรจึงไปถึงได้ ความคิดเช่นนี้ไม่ใช่ธรรมดา เป็นวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้ง ฉายแววของบัณฑิตนักปราชญ์ ของนักสร้างบารมีมาตั้งแต่เด็กทีเดียวความขยันขันแข็งของคุณยายนั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสายตาของเพื่อนบ้าน ที่ทำนาในที่ติดกันเขาพยายามที่จะแข่งความขยันกับคุณยาย โดยไปที่นาให้เช้าขึ้น แต่ไม่ว่าเขาจะไปที่นาให้เช้ายิ่งขึ้นเพียงไหนก็ไม่เคยไปถึงก่อนคุณยายเลยสักครั้งเดียว เขาจึงรู้สึกทึ่งและยอมรับในความขยันที่ผสมผสานด้วยความมุ่งมั่นแข็งแกร่งของคุณยาย และได้ให้ สมญายกย่องท่านว่า "แข้งเหล็ก" ซึ่งมีความหมายเฉพาะสำหรับ
ผู้ให้ สมญา คือ ขยันมาก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีมานะ มีความอดทนที่หาใครเสมอเหมือนได้ยากยิ่ง เมื่อขยันช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่าง ฐานะทางบ้านของคุณยายจึงอยู่ในระดับที่ดีพอ สมควร ไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร

 

แรงบันดาลใจให้เดินสู่เส้นทางธรรม
            คุณยายมองเห็นชีวิตครองเรือนของพ่อแม่ที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งมีทั้งสุขและทุกข์คลุกเคล้าปะปนกันตลอดมา เพราะพ่อเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มเหล้าวันละ 10 สตางค์ทุกเย็นยามใดที่ไม่ดื่มเหล้า พ่อจะเป็นคนใจดี แต่ถ้าดื่มเหล้าเข้าไปครั้งใด พ่อจะหาเรื่องมาถกเถียงกับแม่ทุกครั้งไป แล้วแม่ก็จะมีถ้อยคำเอาไว้สำหรับปราบพ่อโดยเฉพาะ เพราะแม่รู้ว่าหากพูดคำนี้ออกไป
คราวใด พ่อก็จะหายเมาคราวนั้นวันหนึ่ง เกิดเรื่องใหญ่และเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคุณยายวันนั้นพ่อเมาเหล้านอนอยู่บนแคร่ใต้ถุนบ้าน บ่นพึมพำไม่ยอมเลิก แม่อยู่ข้างบนบ้านคงจะรำคาญจึงตะโกนลงไปด้วยถ้อยคำเหน็บแนมที่ใช้ได้ผลว่า "ไอ้นกกระจอก มาอาศัยรังเขาอยู่ บ่นอะไรพึมเชียว"โดยเหตุที่พ่อมาอยู่บ้านของแม่ ซึ่งมีฐานะดีกว่าตน จึงเป็นปมแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจที่แฝงเร้นอยู่ในจิตใจของพ่อ วันนั้นพ่อทนไม่ไหว เมื่อได้ยินแม่พูดเช่นนี้ จึงถามลูกๆ ว่าพ่อเป็นนกกระจอกมาอาศัยรังแม่อยู่จริงไหม แม่เขาด่าว่าอย่างนี้จริงไหม น้ำเสียงของพ่อสร้างภาวะตึงเครียดให้กับลูกๆ จึงไม่มีใครกล้าตอบนอกจากคุณยาย เพราะท่านไม่อยากให้พ่อแม่ทะเลาะกัน และไม่ได้คิดว่า คำของแม่เป็นคำด่าจึงบอกพ่อไปว่า "แม่ไม่ได้ว่าพ่ออย่างนั้นหรอก" แต่ถ้อยคำแห่งความหวังดีนั้นกลับเป็นผลร้ายต่อท่านเพราะพ่อหันมาโกรธคุณยายแทน และแช่งให้หูหนวก 500 ชาติคำแช่งของพ่อติดอยู่ในจิตใจของคุณยายนับแต่นั้นมา เพราะคุณยายรู้สึกว่า คำให้พรของพ่อแม่
นั้นศักดิ์สิทธิ์สามารถส่งผลดีจริงตามที่ท่านพูดได้ ฉะนั้นคำสาปแช่งก็คงต้องศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ด้วยความกลัวจะส่งผลร้ายจริงตามที่แช่งไว้ คุณยายจึงตั้งใจว่าจะขออโหสิกรรมต่อพ่อในยามที่พ่อใกล้จะละโลกตามธรรมเนียมที่เคยเห็นมา เพราะหากไปขอขมาในเวลาที่พ่อยังแข็งแรงอยู่ พ่ออาจจะโกรธขึ้นมาอีกก็เป็นได้หลังจากนั้นไม่นาน พ่อก็ล้มป่วยลง พ่อป่วยหนักหลายเดือน ถึงกับต้องป้อนข้าวกันทุกวัน ลูกๆจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาดูแลพ่อ จนกระทั่งเช้าวันที่เป็นวาระสุดท้ายของพ่อ หลังจากที่คุณยายป้อนข้าวให้พ่อเสร็จ ท่านก็เข้าครัวไปกินข้าว แล้วพายเรือออกไปดูต้นข้าวที่กำลังออกรวงอยู่เต็มท้องนา
ตามปกติเมื่อกลับมาถึงบ้าน ท่านเห็นทุกคนกำลังร้องไห้กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพ่อ พี่น้องต่างตำหนิว่าคุณยายไปที่ไหนมา ทำไมไม่มาขอขมาพ่อ คุณยายฟังถ้อยคำเหล่านั้นด้วยใจที่ สงบนิ่ง ท่านไม่ร้องไห้คร่ำครวญ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ที่จะต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ยังคิดกังวลเกี่ยวกับคำแช่งของพ่ออยู่ตลอดเวลา กลัวว่าจะติดตัวไปในภพเบื้องหน้า เพราะท่านกลัวบาป จึงตั้งปณิธานที่จะตามหาพ่อในสัมปรายภพนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา

 

แสวงหาธรรม
            แม้วันเวลาจะผ่านไป ความปรารถนาที่จะไปขอขมาพ่อก็ไม่เคยหายไปจากใจของคุณยายแม้แต่น้อยท่านระลึกเสมอว่าสักวันหนึ่งจะต้องไปหาพ่อให้ได้ ไปเพื่อขอขมาจะได้พ้นเวรพ้นกรรมตามที่พ่อแช่งเอาไว้และหากทราบว่ามีสำนักอาจารย์ใดสามารถ อนให้ไปหาพ่อที่จากโลกนี้ไปแล้วได้ ท่านก็พร้อมจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไปขอเป็นศิษย์ทันทีในราวปี พ.ศ. 2470 เมื่อคุณยายอายุได้ 18 ปี มีข่าวร่ำลือว่าหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญสามารถสอนคนให้เข้าถึงธรรมกายได้ และหากใครเข้าถึงธรรมกายแล้วก็สามารถไปนรก ไป สวรรค์ ไปนิพพานได้ไปเยี่ยมพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือญาติมิตรที่ตายไปแล้วก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถจับมือถือแขนกันได้หากญาติใครตกนรกก็ช่วยให้พ้นได้ หรือถ้าหากญาติขึ้น สวรรค์ ก็เอาบุญไปเพิ่มให้ได้เมื่อได้ยินข่าวนี้คุณยายรู้สึกดีใจมาก ท่านตั้งใจว่าจะต้องไปพบหลวงปู่วัดปากน้ำให้ได้ นับแต่นั้นมาไม่ว่าในยามที่กำลังทำนาหรือยามว่างจากภารกิจทำนา ท่านจะคำนึงถึงเรื่องการไปขอขมาพ่ออยู่ตลอดเวลาและรอคอยจนกว่าจะถึงเวลาอัน สมควร
ราวปี พ.ศ. 2478 เมื่อคุณยายอายุได้ 26 ปี ท่านได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ลาแม่และพี่น้องโดยมอบทรัพย์สมบัติ อันได้แก่ที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านให้กับน้องสาวและพระน้องชาย อีกทั้งแก้วแหวนเงินทองทั้งหมดของท่าน ก็ถอดยกให้พี่น้องไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงปณิธานอันแน่วแน่ที่จะไปตามหาพ่อเท่านั้นเมื่อไปกราบลาแทบเท้าของแม่ และบอกความตั้งใจให้แม่รับรู้ แม่ฟังแล้วก็ร้องไห้ แม้ว่าความรักความเคารพและบูชาแม่ยังมีอยู่อย่างเปี่ยมล้น แต่คุณยายก็ยังยึดมั่นในมโนปณิธานในการแสวงหาธรรมน้ำตาของแม่จึงไม่อาจเหนี่ยวรั้งความตั้งใจของท่านได้เมื่อทราบว่าไม่อาจเหนี่ยวรั้งคุณยายไว้ได้ แม่จึงยื่นเงินให้คุณยาย 2 บาทสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ท่านก็รับมา ต่อจากนั้นก็เดินทางออกจากบ้านไป แม้จะไม่รู้ว่าจะต้องไปเผชิญกับอะไรบ้างแต่ท่านก็ต้องไปหาหนทางที่จะไปพบพ่อให้ได้ พบแล้วจะได้กราบขอขมาอย่างที่ตั้งใจไว้เมื่อมาอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ คุณยาย สืบทราบว่าคุณนายเลี้ยบ ชอบไปทำบุญถวายภัตตาหารที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นประจำ ท่านจึงไป สมัครทำงานบ้านให้กับบ้านนี้ แม้ว่าครอบครัวของท่านจะมีฐานะพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้อย่าง สบายๆ มีศักดิ์ศรีและเป็นที่ยอมรับของคนทั้งหมู่บ้าน แต่คุณยายกลับยอมที่จะเป็นคนทำงานบ้าน เพียงเพื่อได้โอกาสในการไปวัดปากน้ำครอบครัวของคุณนายเลี้ยบเป็นตระกูลใหญ่ มีสมบัติมากมาย มีตึกแถวยาวเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรอยู่ทั้ง 2 ฝังถนน และมีกิจการทำธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าอยู่กับหลายประเทศที่สำคัญคุณนายเลี้ยบเป็นอุปัฏฐากสำคัญของวัดปากน้ำ ได้ทำบุญเลี้ยงพระเณรมาตลอดระยะเวลายาวนานถึง20 ปี จึงเป็นที่รู้จักดีของหลวงปู่วัดปากน้ำ พระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาทั้งวัด คุณยายเป็นคนชนบทเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ โดยที่ไม่รู้จักใคร การที่จะเข้าไปอยู่ในวัดวาอารามจำเป็นต้องมีผู้ใหญ่ฝากฝัง ท่านจึงตัดสินใจมาอยู่กับครอบครัวนี้โดยปกติแล้ว คุณนายเลี้ยบเป็นคนเจ้าระเบียบ รักความสะอาด ไม่ว่าจะทำอะไรต้องประณีตเรียบร้อย สวยงาม เมื่อคุณยายเข้าไปอยู่ในบ้านนี้ ท่านทำงานบ้านทุกอย่าง คิดว่าไปช่วยรักษาสมบัติของเขาที่มีอยู่นี้ไม่ให้เสื่อมสลาย แม้ท่านจะเติบใหญ่จากวิถีชีวิตชาวนา แต่ท่านก็สามารถจัดการดูแลทำงานบ้านทุกอย่างได้ละเอียดประณีตเป็นที่ถูกใจเจ้าของบ้าน คุณยายนั้นเป็นคนขยันขันแข็ง อดทน มีระเบียบวินัยรักความสะอาด และซื่อตรง คุณนายเลี้ยบจึงไว้ใจมอบกุญแจห้องเก็บสมบัติไว้ให้คุณยายช่วยดูแลห้องเก็บสมบัตินี้เป็นเสมือนคลังของบ้าน แก้วแหวนเงินทองทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในกำปัน ซึ่งอยู่ในห้องนี้ ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้แม้แต่ลูกหลาน นอกจากเจ้าของบ้านกับคุณยายที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลทำความสะอาดและคอยรักษาสมบัติเหล่านั้นเท่านั้นด้วยความรับผิดชอบของคุณยาย เจ้าของบ้านจึงมั่นใจว่าหากมีท่านอยู่ เขาสามารถไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องห่วงกังวล เพราะคุณยายทำหน้าที่ของท่านได้อย่าง สมบูรณ์ เจ้าของบ้านจึงทั้งรักและไว้วางใจ

 

ศึกษาวิชชาธรรมกาย
            โดยปกติแล้ว คุณนายเลี้ยบจะเชิญคุณยายทองสุกสำแดงปัน ศิษย์ของหลวงปู่วัดปากน้ำที่ปฏิบัติธรรมได้ผลดี จนหลวงปู่ไว้วางใจส่งออกไปเผยแผ่ธรรมะ ให้มาสอนธรรมะที่บ้านคุณนายเลี้ยบเป็นประจำเมื่อคุณยายเห็นคุณยายทองสุกมาก็ดีใจ เพราะท่านรู้ว่าคุณยายทองสุกสามารถสอนธรรมะได้ คุณยายรู้สึกอยากเข้าใกล้ อยากฟังธรรม อยากปฏิบัติตาม แต่ด้วยความคิดที่ว่าเวลานี้ท่านอยู่ในฐานะที่อาศัยเขาอยู่ การที่จะไปนั่งปฏิบัติธรรมกับเจ้าของบ้านนั้นไม่เป็นการสมควร คุณยายจึงหาโอกาสเข้าไปคอยดูแลคุณยายทองสุก เพื่อจะได้มีโอกาสเรียนธรรมปฏิบัติบ้างด้วยเหตุนี้คุณยายจึงต้องเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น เพราะต้องเอาเวลามาคอยดูแลเอาใจใส่คุณยายทองสุก นอกเหนือจากงานบ้านที่ต้องทำอยู่เดิม เริ่มตั้งแต่นำเสื้อผ้าของคุณยายทองสุกไปซักตาก พับ และรีดให้อย่างประณีตเป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากนั้นยังดูแลปูที่หลับที่นอนให้อย่างตึงเรียบสวยงาม หรือแม้แต่มุ้งก็สะอาด มีกลิ่นหอม ตลอดจนการจัดเตรียมเรื่องอาหารการกินจิปาถะ ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้
เพียงเพื่อให้คุณยายทองสุกเมตตาสอนธรรมปฏิบัติให้อย่างเดียวเท่านั้นด้วยความทุ่มเทของคุณยาย ทำให้คุณยายทองสุกให้ความเมตตาเอ็นดูคุณยายมาก จนกระทั่งวันหนึ่งท่านถามคุณยายว่า "จะเรียนธรรมะบ้างไหมล่ะ" เมื่อได้ฟังดังนี้ คุณยายก็รู้สึกดีใจเป็นที่ยิ่ง รีบตอบว่า"อยากเรียนจังเลย แต่ว่าขึ้นไปเรียนด้วยไม่ได้ กลัวเจ้าของบ้านจะไม่อนุญาต" คุณยายทองสุกจึงขอ
อนุญาตเจ้าของบ้านให้คุณยายขึ้นไปนั่งสมาธิด้วย และสอนธรรมปฏิบัติ โดยแนะนำให้วางใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 แล้วภาวนาสัมมา อะระหังดังนั้น วันหนึ่งๆ ในระหว่างนั้น คุณยายจะรีบทำงานบ้านให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เพื่อหาโอกาสนั่งสมาธิตามลำพัง เพราะหากงานบ้านเสร็จเร็วเพียงใด ท่านก็จะมีเวลานั่งสมาธิมากขึ้นเพียงนั้นแต่ชีวิตที่ต้องทำงานบ้านนั้นยากที่จะหาเวลาว่างเป็นของตนเอง เพราะแม้จะเสร็จงานอย่างหนึ่งแล้ว เจ้าของบ้านก็ยังให้ไปทำงานอื่นต่อไปอีกได้ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้ งานของคุณยายจึงหนักมาก เพราะอยากได้โอกาสศึกษาธรรมะที่วัดปากน้ำ เพราะอยากจะไปปฏิบัติธรรมกับเจ้าของบ้านเวลาคุณยายทองสุกมาแล้วก็หนักเพราะว่าต้องบริหารเวลา เพื่อให้ได้โอกาสว่างในการปฏิบัติธรรมส่วนตัวโดยไม่เสียงาน แต่ถึงกระนั้นท่านไม่เคยปริปากพร่ำบ่นการเรียนธรรมปฏิบัติที่บ้านคุณนายเลี้ยบ จะเรียนกันบนดาดฟ้า เพราะว่าอากาศเย็นสบายหลังจากทำงานเสร็จในแต่ละวันแล้ว แม้จะดึกดื่น คุณยายก็จะขึ้นมานั่งสมาธิบนดาดฟ้านี้เพียงลำพังเสมอท่านพยายามทำความเพียรเรื่อยไป เริ่มตั้งแต่ตอนแรกๆ ก็คิดฟุ้งมาก จนกระทั่งฟุ้งน้อย จากฟุ้งน้อยจนถึงไม่ฟุ้งเลย และจากไม่ฟุ้งเลยมาถึงขั้นรู้สึกโล่ง โปร่ง เบาสบาย แล้วในที่สุดก็เห็นจุด สว่างเล็กๆ เหมือนดวงดาวในอากาศเกิดขึ้นภายใน ท่านทำใจหยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง ดิ่งเข้ากลางของกลางเข้าไปเรื่อยๆในที่สุด ท่านก็ สมปรารถนา เข้าถึงธรรมกายบนดาดฟ้านั่นเอง

 

พบพ่อ
            เมื่อคุณยายเข้าถึงธรรมกายแล้ว ท่านก็ยังพากเพียรปฏิบัติต่อไปอีก จนใจนิ่งสนิทและสว่างมากท่านเล่าประสบการณ์นี้ให้คุณยายทองสุกฟัง พร้อมกับปรารภเรื่องพ่อว่า "พี่ พี่ ฉันอยากไปหาพ่อจังเลยไม่รู้ว่าพ่อตายแล้วไปอยู่ที่ไหน"คุณยายทองสุกบอกว่า "มันก็จะไปยากอะไรล่ะ" และได้แนะนำคุณยายให้ไปหาพ่อด้วยวิชชาธรรมกาย พอคุณยายทองสุกแนะนำเท่านั้น คุณยายก็ถอดกายออกไป เหมือนหลุดไปทั้งตัวเป็นพระธรรมกายที่ใสละเอียด ในเวลานั้นคุณยายไม่ได้คิดไว้เลยว่า พ่อจะไปเกิดที่ไหน ใจของท่านเป็นกลางๆสุดแต่ธรรมกายภายในจะนำไป เมื่อธรรมกายนำไปถึงนรกเท่านั้น ไฟนรกก็ดับ เครื่องทรมาน
สัตว์นรกทั้งหมดหยุดทำงานชั่วคราว ณ ที่นั้น คุณยายมองเห็นสัตว์นรกต่างๆ ที่กำลังได้รับความทุกข์ทรมานมีทั้งตัวเป็นคนหัวเป็นสัตว์ และตัวเป็นสัตว์หัวเป็นคนสุดแต่เวรกรรมที่ได้ทำไว้ในอดีตสัตว์นรกแต่ละประเภทก็มีเครื่องทรมานแตกต่างกัน
คุณยายตรวจดูด้วยญาณทัสนะของธรรมกาย ท่านมองเห็นพ่อ ซึ่งผ่ายผอมไม่มีเสื้อผ้า รวมทั้งไม่มีเรี่ยวแรง พ่อต้องรับผลกรรมด้วยการดื่มน้ำทองแดงที่ร้อนแรงจนกระทั่งตาย ตายแล้วก็เกิดมารับการทรมานอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อได้พบธรรมกายของคุณยาย พ่อก็ยกมือไหว้ แต่เพราะความไม่มีแรงมือนั้นจึงกลับตกลงไปดังเดิม คุณยาย สงสารพ่อไม่อยากให้ตกอยู่ในนรกอีกต่อไป ท่านจึงอาศัยพระธรรมกายแนะนำให้พ่ออาราธนาศีล 5 พร้อมกับให้นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำเอาไว้ใน สมัยที่เป็นมนุษย์หลังจากรับศีลแล้ว พระธรรมกายก็พาพ่อขึ้นไปใน สวรรค์ คุณยายมองเห็นพ่อเปลี่ยนจาก สภาพที่ทนทุกข์ทรมาน ผิวพรรณที่ซูบซีดก็กลับเป็นผ่องใสมีเสื้อผ้าชุดใหม่อันเป็นทิพย์มา สวมกายวิมานของพ่อดูซอมซ่อกว่าวิมานของเทวดาอื่นทั้งหมด เพราะเมื่อครั้งที่พ่อยังเป็นมนุษย์อยู่นั้นเป็นมนุษย์ประเภทบุญก็ทำ กรรมก็สร้าง วัดก็เข้า เหล้าก็กิน เพราะฉะนั้นด้วยผลบุญที่ทำจึงทำให้มี
วิมานคอยอยู่ แต่เพราะทำด้วยจิตที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์นัก วิมานจึงมัวหมอง แม้ในเวลาทำบุญก็ทำไปตามกำลังไม่ได้ทำเต็มกำลัง วิมานของพ่อจึงไม่ใหญ่โตเหมือนคนอื่น และเพราะการที่พ่อดื่มเหล้า กรรมนั้นได้ส่งผลให้พ่อไปตกในนรก เมื่อคุณยายช่วยให้พ่อพ้นจากนรกขึ้นไปอยู่บนวิมานได้ คุณยายทองสุกจึงแนะนำให้เอาบุญที่เข้าถึงธรรมกายช่วยปรับปรุงวิมานให้ใหญ่โตขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นกายของพ่อได้เปลี่ยนเป็นกายเทพบุตรที่มีเครื่องประดับ และมีบริวารสมบัติมากมายหลังจากนั้นคุณยายก็สอนพ่อให้ภาวนา "สัมมา อะระหัง" และกำชับว่า หากพ่อลืมภาวนาเมื่อใดก็จะหล่นลงไปอีก พ่อรับปากอย่างแข็งขัน เนื่องจากไม่อยากตกไปในนรก ไปรับความทุกข์ทรมานจากการโดนกรอกน้ำทองแดงที่กำลังเดือดพล่านอีกต่อไป เพราะพ่อได้รับรู้ความเจ็บปวดทั้งหมดแล้วว่าเมื่อน้ำทองแดงเข้าไปในปากแล้ว ก็จะเผาไหม้เนื้อตัวให้ละลายไปทันที แล้วกลับฟนขึ้นมาใหม่อีก เพื่อชดใช้กรรมต่อ และจะต้องเป็นเช่นนี้ตลอดเวลายาวนาน ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจนกว่าจะหมดกรรมคุณยายมีโอกาสขออโหสิกรรมกับพ่อในคราวนั้น พ่อของท่านซึ่งเป็นเทพบุตรไปแล้วก็ประนมมือไหว้พระธรรมกายให้อโหสิกรรมกับคุณยายทุกประการ พ่อบอกกับคุณยายว่า "ที่พูดไปนั้นพูดด้วยความโมโห แต่ไม่มีเจตนาจะให้ลูกหูหนวกอย่างนั้น แต่ถ้าลูกติดค้างอยู่ในใจ ไม่สบายใจ พ่อก็ให้อภัยอโหสิกรรม

-------------------------------------------------------------------

GL 305 ปฏิปทามหาปูชนียาจารย์
กลุ่มวิชาเป้าหมายชีวิต

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.019309282302856 Mins