ยอมลดศักดิ์ศรี ทับทวีขันติธรรม

วันที่ 16 มค. พ.ศ.2559

ยอมลดศักดิ์ศรี ทับทวีขันติธรรม

             สาเหตุที่ตรัสชาดก ภิกษุสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า พระเทวทัตพยายามปลงชีวิตชนเป็นอันมาก เพราะก่อเวรในพระตถาคตเจ้าพระองค์เดียว แต่ชนเหล่านั้นอาศัยพระทศพลได้รอดชีวิตแล้วทั้งสิ้น พระจอมมุนีเสด็จมาโรงธรรมตรัสว่า มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนก็เช่นกัน เมื่อภิกษุทูลวิงวอน จึงทรงนำอดีตมาแสดงดังนี้..

 

             สมัยหนึ่ง ณ เมืองบุปผวดี ได้มีปุโรหิตชื่อกัณฑหาละเป็นผู้ดุร้ายหยาบคายยิ่ง มิว่าผู้ใดเจอคนเช่นนี้ น้อยคนนักที่อยากจะตอแยด้วย แม้คิดปรารถนาดีแต่อาจนำผลร้ายมาใส่ตัวเนื่องเพราะปุโรหิตมีอำนาจอยู่ในมือ

             มาวันหนึ่ง ปุโรหิตกินสินบนตัดสินคดีผิด เจ้าทุกข์หมดที่พึ่งจึงไปฟ้องต่อราชโอรสนามว่าจันทกุมาร ซึ่งดำรงตำแหน่งอุปราช พระจันทกุมารย่อมรู้สันดานปุโรหิตนี้ดี แม้นับว่าไม่อยากตอแยและยังไม่มีอำนาจพอที่จะจัดการกับพาลชนคนนี้ได้ แต่บัดนี้มิว่าอย่างไรความไม่ถูกต้องก็เกิดขึ้นแล้วพระองค์อดมิได้ที่ต้องเข้ามาผดุงความยุติธรรมในฐานะอุปราช มิว่าผลจะออกมาอย่างไรพระองค์ก็ไม่เสียพระทัย ดังนั้นพระจันทกุมารเข้าสู่โรงตัดสินแล้วตรัสเรียกคู่กรณีมาตัดสินใหม่ ทรงกลับผิดให้เป็นถูกโดยไม่เกรงกลัวต่อกัณฑหาลปุโรหิตเลย นั่นเท่ากับว่าภัยใหญ่หลวงกำลังจะมาถึงพระองค์แล้ว!

 

         จากเหตุการณ์ครั้งนั้น พระจันทกุมารมิเพียงได้รับเสียงแซ่ซ้องจากมหาชนเท่านั้น กระทั่งยังได้รับตำแหน่งจากพระราชาให้ตัดสินคดีความทั้งหมดแทนกัณฑหาลปุโรหิตอีกด้วย ในที่สุดกัณฑหาละก็สูญสิ้นผลประโยชน์ รวมทั้งยังได้ยินแต่เสียงผู้คนติเตียนโพทนาดังก้องอยู่ในโสตประสาท ปุโรหิตจึงแค้นกำหมัดแน่น ดวงตาคล้ายดั่งเปลวเพลิง ปากสั่นกระตุกให้รู้สึกชิงชังอาฆาตในพระจันทกุมารเป็นยิ่งนัก บัดนี้ร่างกายปุโรหิตคล้ายมนุษย์แต่ใบหน้ากลับกลายดุจปีศาจไปแล้ว คนเราเมื่อตกในอารมณ์โกรธจึงมีท่าทีอัปลักษณ์ได้เช่นนี้

         พระจันทกุมารยามนี้เหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งติดตามจ้องจับผิดอยู่ตลอดเวลา กัณฑหาลปุโรหิตยังไม่ได้โอกาสอยู่เสมอมา มิคาดโอกาสกลับมาหาเอง คืนหนึ่งพระราชาทรงสุบินเห็นสวรรค์ตรัสเรียกหาปุโรหิตถามหาทางไปสวรรค์ ปุโรหิตเจ้าเล่ห์คิดเล่ห์หลอกพระราชาว่าต้องให้ทานชนิดล่วงล้ำ! จึงจะสามารถไปสวรรค์ได้แน่


"ทานล่วงล้ำเป็นยังไงรึ" พระราชาเชื่อเสียสนิท
ปุโรหิตก็ทูลตอบอย่างสมภูมิคนถ่อยว่า..
"ต้องฆ่าคนที่ไม่สมควรฆ่า นี่แหละ! เป็นบุญให้ไปสวรรค์ ถ้าพระองค์ประสงค์สวรรค์ต้อง  ทำเช่นนี้แหละ พระเจ้าข้า"
"แล้วใครกัน คือคนไม่ควรฆ่า" พระราชาตรัสถามด้วยทรงสนพระทัยยิ่งนัก
ปุโรหิตแววตา เคียดแค้นทูลตอบไปว่า..
"ก็คือราชบุตรทั้งหลาย อีกทั้งพระมเหสีเศรษฐี ชาวเมือง โค ม้าอาชาอย่างละ 4 พระเจ้าข้า"

 

           คาดไม่ถึง พระราชากลับทรงเชื่อตามจริงๆ พระองค์ถูกตัณหาอยากไปสวรรค์ครอบงำจนไม่คิดพิจารณาสนพระทัยอะไรอีกแล้ว ตรัสสั่งทหารคุมตัวพระโอรสพระธิดา มเหสีเศรษฐีประจำเมืองและสัตว์อาชามาบูชายัญ มหาชนลุกือมิยอมให้ญาติตนถูกฆ่าสังหารส่วนพระราชบิดาและพระราชมารดาก็มาทูลอ้อนวอนขอชีวิตทุกคนแต่มิเป็นผล มิน่าเชื่อว่าเพียงแค่ตัณหาส่วนพระองค์กลับทำให้คนเดือดร้อนทั่วเมือง และตัณหานี้ก็เกิดมาจากปุโรหิตเพียงคนเดียวกุเรื่องขึ้นมา! พระจันทกุมารรู้ทันทีว่าผลครั้งนี้ต้องเกิดจากเจ้าพราหมณ์ชั่วกัณฑหาละนี้มิต้องสงสัย และมิได้จองเวรกับคนอื่นแต่จองเวรกับพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น แต่พระองค์ไม่คาดคิดว่าปุโรหิตชั่วนี้ถึงกับคิดจะสังหารทุกคนดังนั้นพระองค์ต้องช่วยคนเหล่านี้ให้ได้ ..

 

             พระองค์ทรงข่มกลั้นความโกรธมิให้มีในพระทัย เนื่องเพราะหากผิดพลาดไปนั่นคือชีวิตทุกคนต้องตาย ความจริงพระองค์สามารถรวมกำลังพลในอาณัติมากำจัดปุโรหิตชั่วได้ในชั่วพริบตาอีกทั้งมหาชนก็ล้วนอยู่ฝ่ายของพระองค์ทั้งหมด แต่ชัยชนะที่ได้มาโดยแพ้อธรรมจะมีผลอันใดเล่ากลับยิ่งทำให้ประสบทุกข์หนักในอบาย พระองค์กลับใช้ความอดทนข่มกลั้นเกียรติยศศักดิ์ศรีเข้าแม้ต้องยอมตนเป็นทาสรับใช้กัณฑหาละที่น่ารังเกียจปานนี้ก็ยอมเพื่อรักษาชีวิตทุกคนเอาไว้ก่อนโดยเข้ากราบทูลต่อพระราชาว่า..


"ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ! พระองค์อย่าได้ฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลายให้ไปเป็นทาสของกัณฑหาลปุโรหิตเถิด ถึงแม้พวกเราจะถูกจองจำด้วยโซ่ก็จะเลี้ยงช้างเลี้ยงม้าให้เขา จะช่วยขนมูลม้าให้เขา หากพวกเราถูกขับไล่จากแว่นแคว้นก็จะเที่ยวขอทานเลี้ยงชีวิตได้ พระเจ้าข้า ขอพระองค์อย่าได้ฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเลย..

 

           พระองค์เฝ้าพร่ำรำพันร้องขอชีวิตทุกคน โดยยอมทิ้งเกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งองค์รัชทายาทซึ่งมีราชสมบัติรออยู่วันหน้าแน่นอนแล้ว เพื่อแลกกับชีวิตทุกคนจึงยอมไปเป็นขี้ข้าปุโรหิต! ประการนี้นับว่าตายยังง่ายดายยิ่งกว่า แต่พระองค์มิอาจตายเพราะชีวิตมากมายรออยู่เบื้องหลัง..

 

         พระราชาทรงฟังคำพร่ำกล่าวของพระราชโอรสดังนั้นก็รู้สึกสงสารปานประหนึ่งว่าพระอุระจะแตก มีพระเนตรนองด้วยพระอัสุชล ตรัสว่า..


         เจ้าพร่ำเพ้ออยู่จนพ่อทุกข์นักแล พวกท่านทั้งหลายจงรีบปล่อยพระกุมารทั้งหลายเร็วๆ เถิดเราขอพอกันที! กับการเอาบุตรมาบูชายัญ"


         ฝ่ายกัณฑหาลพราหมณ์กำลังจัดหลุมบูชายัญฝันหวานอยู่ ชาวบ้านคนหนึ่งเดินผ่านมากล่าวว่า..
"เฮ้ย! กัณฑหาละ ไอ้ชั่วร้าย พระราชาทรงปล่อยทุกคนไปแล้ว เจ้าไปฆ่าลูกเมียของเจ้าแล้วเอาเลือดในลำคอมาบูชายัญเสียเถอะ!"


          กัณฑหาลพราหมณ์สะดุ้งตกใจรีบลุกขึ้นลนลานหน้าตื่นวิ่งไปอย่างเร็วปานลมพัดเข้าเฝ้าพระราชา กล่าวว่า..
"ข้าพระองค์ทูลไว้แล้วไม่ใช่หรือ พระเจ้าข้า ว่าการบูชายัญเยี่ยงนี้ทำได้ยาก บัดนี้พระองค์ทรงทำยัญที่ข้าพระองค์ตระเตรียมไว้ให้เสียหายไปเพราะเหตุอันใดกัน ผู้ใดบูชายัญเองก็ดี ให้ผู้อื่นบูชายัญก็ดี ผู้อนุโมทนาก็ดี ชนเหล่านั้นจะได้ไปสุคตินะ พระเจ้าข้า"

 

           พระราชาถูกปุโรหิตชั่วพูดจาหว่านล้อมจนคล้อยตาม แล้วมีรับสั่งให้จับทั้งหมดอีกครั้งพระจันทกุมารก็พร่ำรำพันร้องขอชีวิตทุกคนจนสำเร็จอีกเช่นเดิม พระราชาทรงเปลี่ยนพระทัยไปๆ มาๆ อย่างนี้จนพระจันทกุมารตรัสเตือนพระสติพระราชาว่า..

"ข้าแต่มหาราช! ถ้าใครบูชายัญด้วยบุตรแล้วไปสวรรค์ได้ ขอให้ปุโรหิตบูชายัญก่อน แล้วพระองค์ค่อยบูชาภายหลังก็ยังไม่สาย ถ้าดีจริง ทำไมกัณฑหาละไม่ฆ่าลูกตัวเอง ไม่ฆ่าญาติทุกคนของตนเล่า!"

 

            นับเป็นข้อคิดที่ทำให้ดวงตาสว่างได้ดียิ่ง แต่พระราชามีดวงตาคล้ายดั่งโคลนไปแล้ว กลับพาลไม่ยอมรับมาคิดพิจารณา ทรงเชื่อในครูมากกว่าบุตรของตน พระองค์เห็นว่าอย่างไรครูก็น่าจะมีความน่าเชื่อถือกว่าบุตร ผู้คนมักเชื่อถือตามความนิยมของบุคคลมากกว่าเหตุผลอยู่เสมอมา! นับว่าพระจันทกุมารเองก็หมดหนทางแล้ว แต่ก็มิอาจตัดใจยอมตายได้ เนื่องเพราะคนอีกมากมายต้องตายโดยพระองค์เป็นต้นเหตุผู้เดียว ยามนี้ความตายกลับเป็นเรื่องเล็กสำหรับพระองค์ เมื่อหมดหนทางเจรจาพระองค์จำต้องข่มศักดิ์ศรีอีกครั้ง เสด็จลุกขึ้นอ้อนวอนมหาชนให้ช่วยกันทูลทัดทานแต่มหาชนก็ยังไม่กล้าพอ เมื่อไม่มีคนเปิดก็ย่อมไม่มีคนตาม มหาชนรอคนเปิดอยู่! มหาชนรู้ว่าพวกตนไม่ถนัดกล่าววาจาแต่ถนัดขว้างปามากกว่า เนื่องเพราะรู้ว่าวาจาตนไม่สับสนเจ้าเล่ห์เท่าทันปุโรหิตชั่วนี้ ดังนั้นพิธีบูชายัญได้เริ่มขึ้นแล้ว!

 

         พระจันทกุมารมิอาจเห็นทุกคนต้องตายได้จริงๆ แม้มีเวลาเหลือสักนิดพระองค์ต้องไม่วางมือเป็นอันขาด แต่พระองค์มิรู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ จึงทรงพร่ำพิไรรำพันหวังให้พระราชบิดาพระทัยอ่อน แต่คล้ายดั่งพระราชาทรงปราศจากพระกรรณ หรือไม่ก็ไร้ดวงหทัยไปแล้วคนปราศจากหัวใจนั่นคือคนตาย! เพราะฉะนั้น ตอนนี้นับว่าพระราชาใกล้ตายเต็มทีแล้ว กัณฑหาละก็ไร้หัวใจได้หยิบดาบเข้าไปหมายตัดคอพระจันทกุมารโดยเร็ว พริบตานั้น พระนางจันทาเทวีมเหสีของพระจันทกุมารพลันตั้งสัจกิริยาว่า..

"หากปุโรหิตนี้ทำกรรมชั่วช้าจริงแล้วไซร้ ขอให้ทวยไท้เทวารีบลงมาช่วยพระสวามีด้วยเถิด!"ทันใดนั้นเอง ท้าวสักกเทวราชลงมาจากดาวดึงส์ ทรงกวัดแกว่งค้อนฉวัดเฉวียนน่าหวาดเสียวพลางตรัสขู่ว่า..

 

"เจ้าราชากาลี! อย่าได้ฆ่าพระจันทกุมารเชียวนะ! พระจันทกุมารนี้ไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้าพระโอรสนี้เฝ้าดูแลเจ้ามาตลอด เป็นผู้องอาจกล้าหาญประดุจราชสีห์ เจ้าราชากาลีเอ๋ย! คนฆ่าลูกเมียฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์แล้วได้ไปสวรรค์ เจ้าเคยได้ยินมาก่อนรึ"

 

             ราชาโง่กับปุโรหิตชั่วเห็นค้อนแล้วให้อกสั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก ทั้งสองรีบวิ่งไปแก้เชือกที่มัดคนทั้งหมดออกราวกับถูกมนต์สะกด แก้โดยเร็ว ลนลานอย่างยิ่ง ทุกคนปลอดภัยแล้ว และตอนนี้ท้าวสักกะเปิดแล้ว! มหาชนก็พร้อมแล้ว ก้อนหินมีอยู่ในมือทุกคน! กัณฑหาลปุโรหิตโดนก่อนเพียงคนละก้อนเท่านั้น! วิญญาณหลุดออกจากร่างปุโรหิตทันที นับเป็นพลังมวลชนที่น่ากลัวจริงๆ แม้พระจันทกุมารก็มิอาจมาห้ามได้ทัน แต่มิคาดพลังมวลชนยังมุ่งตรงไปที่พระราชาด้วย พระจันทกุมารรีบปราดไปเร็วสุดชีวิตเข้าสวมกอดพระบิดาไว้แน่น มหาชนก็ยั้งไว้ทัน พระราชาพ้นความตายเพราะพระโอรสที่ตนจะฆ่าโดยแท้ มหาชนอย่างน้อยพอจะไว้ชีวิตพระราชาได้ แต่ไม่อาจให้ที่อยู่อาศัยในพระนครนี้แก่พระราชาได้อีกแล้ว


         น่าอนาถ! จากผู้ครอบครองทุกสิ่งกลับกลายกระทั่งที่จะยืนพิงยังมิอาจมี มหาชนช่วยกันปลดเสื้อผ้าคนผู้นี้ออก เอาชุดคนจัณฑาลใส่ให้ แล้วไล่ไปที่อยู่ของคนจัณฑาลนอกเมือง

 

         ..ท้องฟ้าพลันสดใสกลับมาอีกครั้ง มหาชนชื่นบานใจอย่างยิ่ง ได้จัดงานฉลองกันครั้งยิ่งใหญ่แล้วสถาปนาอภิเษกพระจันทกุมารเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ ทุกผู้คนต่างชื่นชมยินดีกันถ้วนหน้าพระจันทราชปกครองบ้านเมืองจนไพร่ฟ้าหน้าใสสินทรัพย์เนืองนอง ผู้คนปรองดองเป็นปึกแผ่นทางฝ่ายพระบิดา มาตรว่าพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าพระนคร แต่องค์จันทราชันก็เสด็จไปเยี่ยมบำรุงพระบิดา อยู่เสมอมิได้ขาด

 

ประชุมชาดก
            พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า กัณฑหาลปุโรหิตครั้งนั้นมาเป็นพระเทวทัต พระนางจันทาเทวีเป็นมารดาราหุล ท้าวสักกะมาเป็นอนุรุทธะ พระจันทกุมารนั้นมาเป็นตถาคตแล


             จากชาดกเรื่องนี้ การช่วยเหลือผู้อื่นได้นั้น ต้องมีความอดทนเป็นอย่างสูง ดังเช่นจันทกุมารที่อดทนจนกระทั่งยอมไปเป็นทาสยอมอ่อนน้อมต่อคนพาล ซึ่งวิสัยบัณฑิตผู้กล้าแล้วที่จะยอมอ่อนน้อมต่อคนพาลเพื่อรักตัวกลัวตายนั้นหามีไม่ แต่เพื่อช่วยผู้อื่นเมื่อไม่มีหนทางเลือก แม้ต้องยอมลดทิฏฐิมานะทุกอย่างก็ทำได้ และจากการที่พระองค์ทรงมีอำนาจมวลชนอยู่ในมือซึ่งใช้ยุติปัญหาได้พลัน แต่กลับอดกลั้นไว้ไม่ยอมใช้อำนาจนั้น นับว่าพระองค์ทรงมั่นคงในธรรมอย่างยิ่ง เพราะการใช้อำนาจยุติปัญหาเป็นสิ่งยั่วยวนในสถานการณ์เช่นนี้


"นิสัยยินดีอดทนเพื่อหมู่คณะ, ยอมลดทิฏฐิมานะเพื่อส่วนรวม และมั่นคงในธรรม
ไม่ใช้อำนาจในทางมิชอบ" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในขันติบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0015597025553385 Mins