สนุกเกอร์ลูกนี้มีชีวิต (งาม)

วันที่ 11 มค. พ.ศ.2560

 
 
สนุกเกอร์ลูกนี้มีชีวิต (งาม)
 
สนุกเกอร์ลูกนี้มีชีวิต (งาม),ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน
 
 
สนุกเกอร์ลูกนี้มีชีวิต
(งาม)

 
 
                 กาลครั้งหนึ่ง... กวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวเลบานอนท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ครั้งเดียวเท่านั้นที่ทำให้ฉันเป็นใบ้ คือตอนที่มีคนมาถามฉันว่า ‘คุณคือใคร ?’ ”ต่อมาไม่นานเท่าใด กวีท่านนี้ก็จากโลกไปโดยไม่ได้คำตอบคำถามประเภท เราคือใคร ? เกิดมาทำไม ? ตายแล้วไปไหน ? จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ? เป็นคำถามปราบเซียน ยุคไหนโลกไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิด หรือบังเกิดแล้วแต่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระองค์ ถึงแม้เหาะได้ก็ยังตอบไม่ถูกและนี้คือเหตุผลว่า ทำไม “แพทย์หญิงวริศรา เพชรวิภูษิต” หรือ “สนุกเกอร์”จึงปีติมากมายที่ได้คำตอบนี้
             ก่อนหน้านี้ พญ.วริศรา หรือ “หมอเกอร์” เป็นคนหนึ่งที่มีอคติกับวัดพระธรรมกาย เพราะฟังเขาเล่าต่อ ๆ กันมา ครั้งแรกที่เธอไปวัดก็ตั้งใจจะไปจับผิด
 
           หมอเกอร์ไปวัดพระธรรมกายครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๔๔ ขณะเรียนอยู่ที่คณะเภสัชศาสตร์จุฬาลงมหาวิทยาลัย(ต่อมาสอบเอนทรานซ์ใหม่เข้าเรียนที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบแล้วเรียนต่อเฉพาะทางสาขาอายุรกรรม ตอนนี้เธอเป็นอายุรแพทย์ และกำลังศึกษาต่อเฉพาะทางต่อยอดสาขาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)

 

 

                    ตอนนั้น หมอเกอร์ไปค่ายวันแม่ของชมรมพุทธศาสตร์สากล ฯ ซึ่งจัดที่วัด “ไปถึงวัดหมอจับผิดทุกอย่าง เช่น ทำไมมีระบบระเบียบจัง (มีระเบียบก็ผิด) พระแต่ละรูปผิวพรรณผ่องใสมาก (ผิดอีก) ถุงขยะก็เรียกถุงเพชรพลอย สอนให้ยึดติดเงินทองเพชรพลอยหรือเปล่า จะละกิเลสได้หรือ มีอีกหลายเรื่องเลยค่ะ…
 
                       “แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นวัดสะอาดและสงบมาก เวลาญาติโยมพูดกับพระก็พนมมือเหมือนที่เห็นในแบบเรียน เลยคิดว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสต้องไม่ธรรมดาแน่ สอนได้ขนาดนี้ แต่ยังไม่วางใจค่ะ...
 
                      “อีกอย่างหนึ่ง เห็นเยาวชนไปวัดเยอะมาก รู้สึกสงสัยว่า ทำไมวันหยุดเขาไม่ไปเที่ยวที่อื่นกัน ไปวัดทำไม”
 
                      อันที่จริงลึก ๆ หมอเกอร์เริ่มรู้แล้วว่าหลายอย่างไม่ได้แย่อย่างที่คิด แต่ด้วยอคติทำให้เธอยังไม่เปิดใจรับสิ่งดี ๆ และยังคิดที่จะจับผิดต่อไป
 
 
                      เวลาไปวัดแต่ละครั้ง หมอเกอร์มีเรื่องไปซักถามพระมากมาย ต่อมาเมื่อนำคำตอบมาผสมผสานกับสิ่งที่พิจารณาด้วยตนเอง เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่เหมือนข่าวที่ได้ยินมา
 
ขอตัวอย่างคำถามสักหน่อยค่ะ
 
                      “สร้างวัดใหญ่ไปทำไม ไม่สมถะเลย” พระท่านตอบว่า “ตอนแรกวัดเล็กนะ (ท่านมีรูปให้ดูด้วย) ต่อมาคนไปวัดนั่งสมาธิแล้วสบายใจ เขาก็บอกต่อกันไป จนคนเข้าวัดเยอะขึ้น ๆ ก็เลยสร้างอาคารใหญ่ขึ้น เพื่อให้พอรองรับคนที่มาทำบุญ”
 
                    “วัดนี้รวยแล้ว ไปทำบุญวัดต่างจังหวัดไม่ดีกว่าหรือ?” ท่านบอกว่า “ทำบุญวัดไหนก็ดีหมด ใครสะดวกวัดไหน ศรัทธาวัดไหน ก็ไปทำ หลวงพ่อท่านยังบอกให้ไปทำบุญที่วัดใกล้บ้านเลย แล้ววัดพระธรรมกายไม่ได้รวยนะ ปัจจัยทำบุญที่ได้มาก็นำมาสร้างวัด สร้างพระ สร้างคนให้เป็นคนดี อย่างที่เราเห็นนี่้แหละ”
 
                     นี้แค่ตัวอย่าง ของจริงหมอเกอร์จัดเต็ม แม้ได้คำตอบแล้วก็ยังไม่ค่อยไว้ใจ เธอบอกว่า 
“มองภาพรวมแล้วรู้สึกดี แต่ยังอยากพิสูจน์อีก จนหลัง ๆ ไปวัดบ่อยขึ้น สุดท้ายติดวัดและตัดสินใจอบรมธรรมทายาทหญิง เพราะคิดว่ายังต้องเจาะลึกกว่านี้”
 

 

                      หมอเกอร์เข้าอบรมธรรมทายาทหญิงขณะปิดภาคเรียนก่อนจะขึ้นปีสอง 
 
อบรมแล้วได้อะไรบ้าง ?
            
               “ได้เรียนรู้ความจริงของชีวิต รู้ว่าตัวเราคือชีวิตหนึ่งในวัฏสงสารที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดจนกว่าจะหมดกิเลส, รู้ว่าเราเกิดมาเพื่อสั่งสมบุญบารมีและทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่ใช่เกิดมาเพื่อหายใจทิ้งไปวัน ๆ, รู้ว่านรก-สวรรค์-บาป-บุญมีจริง ตายแล้วไม่สูญ แต่จะไปเกิดที่ไหนขึ้นอยู่กับว่าเราทำบุญทำกรรมอะไรไว้มากน้อยแค่ไหน ดีใจมากค่ะที่ได้รู้เรื่องพวกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ เพราะถ้าไม่รู้แล้วไปปฏิบัติไม่ถูกต้อง จะมีอันตรายข้ามภพข้ามชาติเลยทีเดียว...
 
               “นอกจากนี้ยังได้ฝึกใช้ชีวิตแบบสมถะ, ได้ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิทุกวัน, รู้ประวัติการสร้างบารมีของหมู่คณะ, รู้มโนปณิธานของหลวงพ่อที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก เพื่อให้ชาวโลกมีโอกาสเข้าถึงธรรม อีกทั้งจะฟื้นฟูศาสนาให้รุ่งเรืองด้วย”
 
                 หลังจากซักฟอกปัญหาคาใจจนขาวสะอาด พิสูจน์ไปพิสูจน์มาเป็นเวลาปีกว่า ๆ ก็เห็นว่าหลวงพ่อสอนให้ทำแต่ความดี หมอเกอร์จึงยอมรับว่าตอนนี้ตัวเองเป็น “ลูกหลวงพ่อ” ไปแล้ว ส่วนคุณแม่ที่เคยจะมาจับผิดวัดเพราะกลัวลูกถูกหลอก  ตอนนี้ก็ชวนกันเข้าวัด
 
               หลังจากได้เรียนรู้คำสอนในพระพุทธศาสนาและเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต หมอเกอร์ก็เบนองศาชีวิตไปสู่ทิศทางที่ดีงาม และมีชีวิตท่ี่งดงามยิ่งขึ้น
 
“ชีวิตงาม” ในที่นี้ไม่ใช่ชีวิตที่ทำเพื่อตนเอง “หรือ” ผู้อื่น แต่เป็นชีวิตที่ทำเพื่อตนเอง “และ” ผู้อื่น
 
               “ก่อนเข้าวัด ก็อยากไปเที่ยวเล่น ดูหนังฟังเพลงตามปกติ แต่พอเข้าวัดแล้ว รู้สึกว่ากิจกรรมที่วัดดึงดูดกว่าเยอะค่ะ เช่น การเป็นอาสาสมัครตรวจสุขภาพพระภิกษุสามเณรและผู้เตรียมบวช ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลพระภิกษุสามเณรอาพาธ รู้สึกว่าตัวเองเป็นประโยชน์กับพระศาสนาอยู่บ้างค่ะ...
 
              “และได้เอาธรรมะมาใช้มากขึ้น อย่างศีล ๕ หลวงพ่อสอนว่าเป็นศีลของความเป็นมนุษย์ ถ้าใครถือศีล ๕ ไม่ครบ ถือว่าความเป็นมนุษย์ลดลงตามจำนวนข้อที่ศีลขาดไป เวลาเข้าสังคมหรือไปงานเลี้ยง หมอก็เลยไม่ดื่มเหล้า และผลเสียจากน้ำเมาก็มีมากจริง ๆ และที่ปลื้มใจมากก็คือ หมอนำโครงการของหลวงพ่อที่ให้หาข้อเสียจากการดื่มน้ำเมา ๑๐๐ ข้อ เอาไปให้คุณพ่อช่วยคิดด้วย ปรากฏว่าคุณพ่อที่เคยดื่มเหล้าตามงานสังคม ตอนนี้ไม่ดื่มแล้วค่ะ...
 
          “ส่วนเรื่องของการบริจาคทานก็ทำอยู่เสมอค่ะ ที่วัดมีบุญอะไรก็ทำและชวนญาติมิตรมาร่วมบุญด้วย อยากให้เขาได้บุญด้วยกัน...
 
               “ช่วงที่เรียนได้ทำงานกับชุมนุมพุทธฯ ได้ชวนคนมาตักบาตร ทำกิจกรรมเทเหล้าเผาบุหรี่ ปล่อยปลา จัดงานบวช ฯลฯ ได้ร่วมสอบในโครงการทางก้าวหน้า และปีต่อมาได้เป็นซูเปอร์ไวเซอร์ช่วยจัดสอบ รู้สึกภูมิใจที่ได้เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าไปเผยแผ่ให้น้อง ๆ เห็นน้อง ๆ ทำข้อสอบแล้วรู้สึกปลื้มค่ะ”
 
 
 
 
อีกเรื่องหนึ่งที่หมอเกอร์ภูมิใจมากก็คือ เรื่องที่นำนั่งสมาธิให้เพื่อน ๆ ในเรือเยาวชน
 
             “ตอนเป็นแพทย์ใช้ทุนปีสอง ได้เป็นเยาวชนตัวแทนประเทศไทยในโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ประเทศต่าง ๆ (มีเยาวชนจาก ๑๑ ประเทศ) ได้นำนั่งสมาธิเป็นภาษาอังกฤษให้พวกเพื่อน ๆ บนเรือด้วยค่ะ หลังจากนั้นมีเพื่อนมาขอเรียนวิธีนั่งสมาธิเพิ่ม เพราะนั่งแล้วสบาย เขาอยากเอาไปฝึกที่บ้านค่ะ”
 
 
                 ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ หมอเกอร์ได้เห็นสัจธรรมของชีวิตมากขึ้นจากผู้ป่วย ซึ่งเธอพยายามดูแลพวกเขาเต็มที่ทั้งทางกายและใจ เธอคิดว่า นอกจากการรักษาผู้ป่วยตามแนวทางการรักษาที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบันแล้ว หากบุคลากรทางการแพทย์ได้พูดคุยให้กำลังใจผู้ป่วยหรือแม้แต่ญาติผู้ป่วยก็ตาม จะช่วยให้พวกเขาคลายกังวลลงมาก
 
                  “ในช่วงที่อยู่โรงพยาบาล หมอให้คนไข้สวดมนต์ทำสมาธิร่วมไปด้วย ถ้าใครมาปรึกษาปัญหาบางอย่างที่ผิดศีลธรรม เช่น ในกรณีของการทำแท้งที่ไม่ผิดกฎหมาย หมอก็จะนำหลักธรรมมาแนะนำเพื่อประกอบการตัดสินใจของเขาค่ะ ส่วนคนไข้ที่อยู่ในวาระสุดท้าย ก็จะให้เขานึกถึงบุญที่เคยทำมา และบอกญาติ ๆ ว่าอย่าพูดเรื่องร้อนใจ ให้พูดเรื่องบุญกุศลตามที่หลวงพ่อเมตตาสอนไว้ค่ะ จิตใจจะได้ผ่องใสเขาจะได้ไปดี”
 
                ได้รับรู้ทัศนะและการกระทำของหมอเกอร์แล้วรู้สึกดีใจแทนผู้ป่วย เพราะว่านอกจากเป็นหมอที่ดีแล้ว เธอยังเป็นกัลยาณมิตรอีกด้วย 
 
                     “หมอเคยเจอคุณยายคนหนึ่งปอดติดเชื้อรุนแรง ไตวาย เป็นอัมพาต ใส่เครื่องช่วยหายใจมานานจนต้องเจาะคอ และใช้ยากระตุ้นหัวใจ จนญาติ ๆ บอกว่า ถ้าหากคุณยายจะไปก็ไม่ต้องยื้อไว้ หมอเลยเสนอให้ญาติพูดเรื่องบุญกุศลให้ผู้ป่วยฟัง ถึงแม้ผู้ป่วยจะไม่รับรู้จากภายนอก แต่ภายในก็น่าจะรับรู้ และได้นำซีดีนำนั่งสมาธิไปให้ญาติเปิดให้คนไข้ฟังทุกวัน ไม่น่าเชื่อว่าประมาณ ๑ อาทิตย์ จากที่ไม่น่ารอดก็ลดยากระตุ้นหัวใจลงได้เรื่อย ๆ จนเรียกให้ลืมตาและทำตามสั่งได้ ทั้ง ๆ ที่การรักษาก็เหมือนเดิม ถ้าหากพูดในเชิงการแพทย์ก็คือตอบสนองต่อการรักษา แต่ถ้าในทางธรรม ถ้าไม่ใช่จากบุญก็ไม่รู้ว่าจากอะไรค่ะ...
 
                 “อีกคนเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) กินยาจนหน้าบวม แต่ลดยาไม่ได้ จึงแนะนำให้ไปปล่อยปลา นั่งสมาธิ แผ่เมตตา พอมาตรวจตามนัดพบว่าอาการดีขึ้น ลดยาลงได้ คนไข้บอกว่าไปปล่อยปลาตามที่หมอแนะนำ ก็รู้สึกปลื้มใจและดีใจกับเขาด้วยค่ะ”
 
 
                   สายธารความเมตตาของหมอเกอร์ที่หลั่งรินไปยังผู้ป่วยไม่ได้สุดสิ้นลงแค่นี้ เธอยังเอื้ออาทรไปถึงโลกหน้าของพวกเขาด้วย เธอจึงชักชวนอาจารย์หมอหารูปพระพุทธเจ้าไปติดไว้ในห้องไอซียู เพื่อให้ผู้ป่วยที่ใกล้จะลาโลกได้เห็นภาพที่เป็นกุศลก่อนเสียชีวิต จะได้ไปดี
 
 
 
                  หลักปฏิบัติแบบนี้ ความใส่ใจแบบนี้ ความเมตตากรุณาแบบนี้ หมอเกอร์ได้รับการปลูกฝังมาจากวัดที่มีคนโจมตีมากมาย ซึ่งผู้ที่โจมตีส่วนใหญ่ยังไม่เคยไปวัดเลย
 
 
                เมื่อเรียนจบ หมอเกอร์ไปใช้ทุนรัฐบาลที่มุกดาหาร เธอบอกตัวเองว่าจะนำธรรมะของพระพุทธเจ้าไปเผยแผ่ตามมโนปณิธานของหลวงพ่อ อย่างแรกก็คือต้องเอาดาวธรรมหรือดาวเทียมช่องธรรมะไปติดตามโรงพยาบาล
 
 
 
                  “คิดว่าการเป็นคนไข้มีความทุกข์มากอยู่แล้ว ระหว่างรอตรวจน่าจะได้ชมได้ฟังสิ่งที่ดีต่อใจบ้าง หมอจึงได้เอาดาวธรรมไปติดในโรงพยาบาล ๓ แห่งที่ไปใช้ทุนค่ะ ซึ่งตอนหลังมีหลายคนมาบอกว่า ‘ชอบมาก’ ก็รู้สึกดีใจที่ได้ช่วยดูแลร่างกายของเขาและยังให้เขามีธรรมะติดตัวไป หรืออย่างน้อยให้ได้ความสบายใจระหว่างรอตรวจก็ยังดี”
 
                    ในปีที่สามที่ใช้ทุนอยู่ที่มุกดาหาร หมอเกอร์ได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลนิคมคำสร้อย แม้ช่วงนั้นมีภารกิจมากขึ้น แต่เธอยังหาเวลาทำประโยชน์แก่พระศาสนาและสังคมควบคู่ไปกับการดูแลผู้ป่วยและบริหารงานโรงพยาบาล
 
                     “ตอนนั้นชวนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไปถวายภัตตาหารเพล นิมนต์พระมาเทศน์ที่โรงพยาบาล ออกชวนคนอบรมอุบาสิกาแก้ว และประกาศให้โรงพยาบาลนิคมคำสร้อยเป็นโรงพยาบาลปลอดบุหรี่ ก่อตั้งคลินิกงดบุหรี่ในโรงพยาบาล หากคนไข้คนไหนเลิกบุหรี่ได้เด็ดขาด หมอและทีมงานจะปลื้มกันมากค่ะ...
 
 
 
         “นอกจากนี้ยังสนับสนุนทีมแพทย์และเวชภัณฑ์ในการออกตรวจสุขภาพผู้เตรียมบวชและไปประชาสัมพันธ์ชวนคนบวชในหมู่บ้านต่าง ๆ ได้เห็นปัญหาของชาวบ้านมากมายค่ะ ทำให้คิดว่าหากเขาได้มาบวชเรียนก็จะดี จึงร่วมกับชมรมกัลยาณมิตรจังหวัดมุกดาหารชวนพยาบาลและเจ้าหน้าที่ออกชวนบวชค่ะ”
 
                        เมื่อส่องชีวิตของหมอเกอร์มาถึงจุดนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ในขณะที่หลายคนมองว่า “คนวัดพระธรรมกายงมงาย”แต่การใช้ชีวิตของ “ลูกหลวงพ่อ” กลับเต็มไปด้วยเหตุด้วยผลและเปี่ยมไปด้วยคุณค่า
 
 
 
 
                   สุดท้ายนี้ ในฐานะที่หมอเกอร์คลุกคลีอยู่กับทุกข์ โศก โรคภัยของผู้คน อยากทราบว่าถ้าต้องให้คำแนะนำแก่คนที่มีปัญหาอุปสรรคหรือความทุกข์ จะแนะนำอย่างไร ?
 
                   “หลวงพ่อบอกว่า ทุกความคิด คำพูดและการกระทำมีผลทั้งนั้น หมอจึงคิดว่าเราควรคิดดี พูดดี ทำดีเอาไว้ให้มาก ๆ และหมั่นสั่งสมบุญ ทั้งทาน ศีล ภาวนา หมอเชื่อว่าถ้าทำแบบนี้บุญกุศลและความดีจะคุ้มครองเราเองค่ะ อย่างน้อยหนักก็จะเป็นเบา และทำแบบนี้ง่ายกว่าเกิดเรื่องแล้วมาแก้ทีหลัง...
 
                   “แต่ถ้าปัญหาเกิดขึ้นแล้ว สำหรับตัวเองนอกจากใช้สติปัญญาแก้ไขไปตามสถานการณ์แล้ว ยังใช้วิธีทำบุญทำทานให้มากขึ้น ถือศีลเคร่งครัดขึ้น ทำสมาธิมากขึ้น แล้วอธิษฐาน ในที่สุดอุปสรรคก็ผ่านไปได้ด้วยดี...
 
                    “ขอฝากไว้อีกหน่อยนะคะ บาป-บุญเป็นเรื่องที่มีจริง ทำดีได้ดีจริง ทำชั่วได้ชั่วจริง นรก-สวรรค์ก็มีจริง ตายแล้วไม่สูญก็เป็นเรื่องจริง เรื่องเหล่านี้มีในพระไตรปิฎก อย่างเรื่องการตายแล้วไม่สูญ ก็มีการทำวิจัยโดยนายแพทย์เอียน สตีเวนสัน ซึ่งศึกษาเรื่องนี้เกือบ ๕๐ ปี และพบหลักฐานยืนยันเรื่อง Reincarnation หรือการกลับชาติมาเกิดประมาณ ๓,๐๐๐ ราย...
 
                  “หมออยากให้ทุกท่านให้โอกาสตนเองในการศึกษาธรรมะด้วยค่ะ เราชาวพุทธโชคดีมีโอกาสรู้เรื่องสัจธรรมของชีวิต แต่รู้แล้วก็ต้องทำให้ถูกตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วย ชีวิตจะได้มีความสุขความเจริญยิ่งขึ้น และไม่อยากให้ตัดสินใครจากคำพูดของคนอื่น พิสูจน์ด้วยปัญญาของเราเองดีกว่าค่ะ สุดท้ายนี้ขอเชิญทุกท่านไปสวดธรรมจักรที่วัดพระธรรมกายด้วยกันนะคะ”
 
                    กาลครั้งหนึ่ง... ใครจะกล่าวไว้อย่างไรก็ช่างเถิด แต่กาลครั้งนี้... แพทย์หญิงวริศรา เพชรวิภูษิต (สนุกเกอร์) ว่าที่หมอโรคหัวใจชาวไทยกล่าวไว้ว่า “โศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของชีวิตก็คือ การไม่รู้ว่าตนเองคือใคร เกิดมาทำไม เมื่อตายแล้วจะไปไหน”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
Cr. สำนักสื่อธรรมะ วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0011185685793559 Mins