วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ มาฆบูชา มหาสมาคม

ทันโลก ทันธรรม
เรื่อง : พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D.,Ph.D.)
จากรายการทันโลก ทันธรรม ออกอากาศทางช่อง DMC

 

 

  ในวันเพ็ญเดือน ๓ หรือวันมาฆบูชาเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีก่อนมีการประชุมสงฆ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งประวัติศาสตร์ในพระพุทธศาสนา คือ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูปได้มาประชุมพร้อมกัน เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมิได้นัดหมายกันมาก่อน และในวันนั้นเองพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงประทานโอวาทปาติโมกข์ หัวใจพระพุทธศาสนา สอนว่าให้ชาวพุทธทุกคนละชั่ว ทำดี แล้วก็ทำใจให้ผ่องใส รวมทั้งได้ทรงแนะนำวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เหล่าพระอรหันต์ นำเป็นแม่บทออกไปใช้ถ่ายทอดต่อให้กับพระภิกษุรูปอื่นๆแล้วก็เป็นแนวทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนถึงปัจจุบัน

        เนื้อหาสาระขอยกเป็นเพียงบางประเด็นขั้นต้นก็แล้วกัน เช่น พระองค์บอกว่าจะต้องอนูปวาโท แปลว่า ไม่ว่าร้ายกัน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาห้ามใช้วิธีการไปโจมตี ไม่ว่าโจมตีกันเอง โจมตีคนอื่น ศาสนาอื่น ไม่ได้ทั้งนั้น เราต้องเผยแผ่ด้วยความสงบเย็นไม่ว่าร้ายกัน อันที่ ๒ คืออนูปฆาโต แปลว่า ไม่ทำร้ายกัน จะเผยแผ่ด้วยการฆ่าไม่ได้เด็ดขาด ทำร้ายด้วยวาจาก็ไม่เอา ทำร้ายทางกายยิ่งไม่ได้ใหญ่

         เพราะเหตุนี้เองเราจะเห็นว่าในประวิติศาสตร์พระพุทธศาสนา ๒,๕๐๐ กว่าปี เราไม่เคยมีสงครามศาสนาเลย เพราะว่า พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้หยิบยกเรื่องศาสนาขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการทำร้ายบุคคลอื่น ไปเบียดเบียนชีวิตใคร ทำร้ายใครบาปทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธหรือนับถือศาสนาอื่นก็ตาม บาปทั้งนั้น

         ชาวพุทธจะต้องเผยแผ่ด้วยการไม่ว่าร้ายกัน ไม่โจมตีกัน พูดแต่ในสิ่งที่ดีๆ วาจาเสียดสี ส่อเสียด กระทบกระแทกแดกดัน คำหยาบต่างๆ ไม่ใช้เลย แล้วการทำร้ายกันก็ห้ามขาด ประการที่ ๓ ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร แปลว่า ให้สำรวมความประพฤติตัวเองให้ดี ปัญหาเกิดขึ้นนอกจากเราไม่ว่าร้าย ไม่ทำร้ายเขาแล้ว หากจะมีใครมาว่าร้ายเรา มาทำร้ายเรา แทนที่เราจะไปว่ากลับ หรือฆ่ากลับ ทำร้ายกลับ เราไม่ทำ แต่ว่าสำรวจตัวเองแล้วปรับปรุงตัวเราให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น

          ถ้าเขาว่าเรา ช่วยเช็คตัวเองดูว่าเราบกพร่องจริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า เขาว่ามา ๑๐๐ จริงๆ เราอาจจะผิดสัก ๕ สัก ๑๐ แทนที่จะไปว่าเขากลับ เรามาปรับปรุงส่วนที่ยังบกพร่องอยู่นิดหน่อยตรงนั้นให้สมบูรณ์ขึ้นดีกว่า ถ้าสำรวจแล้วเราไม่ได้ผิดเลย ก็อย่าไปถือสาหาความ อภัยเขาไปแล้วเดินหน้าทำความดีต่อไป ตั้งใจฝึกตัวเองให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น

 

 

        นี่คือ วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นแม่บท เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา โอวาทปาติโมกข์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทานไว้ ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน จากวันมาฆบูชา วันประชุมใหญ่ของพระอรหันต์ครั้งนั้นเอง พระพุทธศาสนาก็ได้แผ่ขยายขจรขจายไปไกลทั่วชมพูทวีป แล้วดำรงคงมั่นสืบมาจนถึงปัจจุบัน

          ปัจจุบันนี้ สังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงสูงมาก เทคโนโลยีต่างๆ มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อ เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากเท่าไรก็ตาม ช่องทางที่จะนำข่าวสารไปสู่ผู้คนทั้งหลาย ทั้งเยาวชน เด็ก ผู้ใหญ่นั้น ก็มีเยอะแยะ สมัยก่อนพูดคุยกันธรรมดา เดี๋ยวนี้มีทั้งหนังสือ วิดีโอ วิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต และช่องทางสื่อสารพัดเลย แต่ละวันมีสื่อใหม่ๆ ขึ้นมาตลอด สื่อเก่าๆ ก็มีการพัฒนาคุณภาพ ศักยภาพ ความเร็วทุกอย่างตลอดเวลาจนตามกันแทบไม่ทัน ซึ่งในสื่อเหล่านั้น มันก็มีทั้งของดีของไม่ดีผสมกันอยู่ เราจึงพบว่าปัญหาเยาวชนเกิดขึ้นเยอะ ผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆ คนก็เป็นห่วงว่า เด็กไทยจะไปอย่างไรกันดี ไม่เฉพาะประเทศไทย สังคมโลกจะไปทางไหนกัน ศีลธรรมจะแย่แล้ว กล่าวได้ว่า ไม่มียุคไหนเลยที่สังคมไทยและสังคมโลกมีความต้องการศีลธรรมให้กลับคืนมาสู่ใจของทุกๆ คนมากเท่าในขณะนี้

         แล้วทำอย่างไร เราจึงจะทำให้พระพุทธศาสนา สามารถตอบสนองต่อความต้องการ ของสังคมนี้ได้อย่างเต็มที่ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปลุกให้พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา และเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายให้ตื่นตัวขึ้นมา เกิดจิตสำนึกในความเป็นชาวพุทธ ไม่ได้เป็นชาวพุทธแต่ในทะเบียนบ้านต่อไปแล้ว แต่เราต้องมาประชุมทบทวนกัน ปลุกกระแสศีลธรรมให้เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จะต้องใช้วิธีการอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ในการปักหลักลงฐาน พระพุทธศาสนาในครั้งพุทธกาลมาใช้อีกครั้งหนึ่ง คือ จะต้องมีการประชุมสงฆ์ครั้งยิ่งใหญ่ หากประชุมกันได้เป็นแสนๆ รูปยิ่งดี แล้วก็รวมเหล่าพุทธบริษัททั้ง ๔ ให้เป็นล้านเลย มารวมกันทำความดี แล้วก็ทบทวนหัวใจพระพุทธศาสนาร่วมกัน มาตั้งมโนปณิธานร่วมกันว่า เราจะต้องช่วยกันเผยแผ่ธรรมะ นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนากลับไปสู่ใจของชาวโลกให้ได้

         การมารวมกันอย่างนี้จะก่อเกิดเป็นพลังหมู่ เป็นกระแสขึ้นมา เหมือนๆ กับถ้าต้องการสร้างกระแสความตื่นตัวเรื่องกีฬา ก็จัดการแข่งขัน เช่น เอเชี่ยนเกมส์บ้าง โอลิมปิกบ้าง บางคนบอกโอลิมปิกจัดทีใช้งบตั้งเกือบแสนล้าน มันไม่สิ้นเปลืองหรือ มันจะคุ้มหรือ นักกีฬาไปแข่งกันไม่กี่พันคน แข่งกันแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็จบแล้ว จัดแต่ละครั้งใช้งบตั้งเป็นแสนล้านมันไม่คุ้มเลย ก็เป็นมุมมองมุมหนึ่งได้ แต่ในความเป็นจริงคือว่า จัดโอลิมปิกแต่ละครั้ง เวลาในการจัดมันแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็จริง แต่ผลมันไม่ได้เกิดแค่นั้น แต่มันสร้างกระแสความตื่นตัวเรื่องกีฬาไปทั่วโลก

          เด็กๆ เยาวชนเห็นตัวอย่างนักกีฬาเก่งๆ ก็เกิดแรงบันดาลใจอยากจะเล่นกีฬาบ้าง อยากจะฝึกบ้าง เหมือนเมืองไทยเราเองที่ไปได้เหรียญโอลิมปิกมาหลายๆ เหรียญ เทควันโดที่คนไม่ค่อยสนใจ พอมีคุณวิวไปได้เหรียญทองแดงมา เยาวชนไทยก็ตื่นตัว มีการเปิดสนามฝึกเทควันโดขึ้นมามากมาย กีฬายกน้ำหนักก็ได้มา ๔เหรียญ ตอนนี้คนสนใจยกน้ำหนักกันขึ้นมามาก มันเป็นการปลุกกระแส ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคน

          ดังนั้น ถ้าหากมีการรวมสงฆ์ครั้งยิ่งใหญ่ มีการรวมพุทธบริษัทครั้งยิ่งใหญ่เป็นระยะๆ กระแสผลที่เกิดขึ้น จะไม่ได้อยู่แต่เพียงคนล้านคน พระสงฆ์หลายๆ แสนรูป ที่มารวมกันเท่านั้น แต่ว่าจะเกิดเป็นกระแสความตื่นตัวใน การศึกษาธรรมะและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาขยายกว้างไปทั้งโลก การประชุมสงฆ์ ประชุมเหล่าพุทธบริษัท ในยุคนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด

 

 

          แต่ที่ผ่านมาต้องบอกกันตรงๆ ว่า พระพุทธศาสนาของเราขาดการเผยแผ่ในเชิงรุก ส่วนใหญ่เป็นลักษณะเชิงรับ บางทีรับยังไม่ค่อยจะอยู่เลย ยกตัวอย่างบ้านเราหากมีฝรั่งสนใจจะมาศึกษาพระพุทธศาสนา ถามว่าจะให้ไปที่ไหน เรายังบอกไม่ค่อยจะถูกเลย นี่ขนาดเขาสนใจแล้วเรายังรับเขาไม่ค่อยจะได้เลย อย่าว่าแต่เชิงรุก

          ถึงเวลาแล้วที่ชาวพุทธจะต้องตื่นตัวขึ้นมา แล้วก็ช่วยกันทำงานเชิงรุกด้วยการ ประชุมพร้อมหน้ากัน จะก่อเกิดเป็นพลังใจอันยิ่งใหญ่ แล้วได้มาซักซ้อม ปฏิบัติตามโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็กลับไป ปฏิบัติหน้าที่ในท้องถิ่นตัวเอง สร้างกระแสตื่นตัวในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกไปสู่ใจประชาชนให้ได้ ให้ทันกับกระแสกิเลส ที่มากับสื่อหลากหลายชนิดในยุคปัจจุบัน ให้กระแสสื่อสีขาวท่วมท้นไปในสื่อทั้งหลาย สร้างวงจรพลิกสวนกระแสวงจรเก่า สร้างวงจรใหม่ คือ วงจรบวก วงจรแห่งศีลธรรม วงจรแห่งความสงบให้เกิดขึ้นมาให้ได้

           สิ่งที่ใครๆ คิดว่าคงทำไม่ได้ อะไรๆ มันก็คงจะแย่ไปอย่างนี้แหละ ความคิดอย่างนี้ไม่ถูกและไม่จริง เหมือนเมื่อครั้งพุทธกาลไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมีคนเลิกนับถือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การฆ่า การบูชายัญ การถือชั้นวรรณะ แล้วกลับมานับถือในสิ่งที่ถูกต้องได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวทรงทำได้มาแล้ว ประทีปธรรมที่พระองค์ ทรงจุดขึ้นยังส่องสว่าง ๒,๕๐๐ กว่าปี เราจะปล่อยให้มอดดับในยุคของเราไม่ได้เด็ดขาด ต้องช่วยกันเติมเชื้อ จุดไฟประทีปแห่งธรรมให้ลุกโพลงขึ้นในใจของชาวโลกทั้งหลาย แล้วสืบต่อกันไปนานแสนนานให้ได้ ปฏิบัติอย่างนี้ได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติบูชา เป็นการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกวิธีที่สุด

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล