วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ หลวงพ่อตอบปัญหา : อะไรคือเรื่องที่ควรรู้ในการประกอบอาชีพ ?

หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว

หลวงพ่อตอบปัญหา

ถาม : อะไรคือเรื่องที่ควรรู้ในการประกอบอาชีพ ?

ตอบ : การประกอบอาชีพ คือ การทำการงานเพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพหรือชีวิตของมนุษย์ การประกอบอาชีพเป็นทางมาของรายได้เพื่อนำไปใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ค่าใช้จ่ายพื้นฐานในชีวิตมนุษย์ได้แก่ปัจจัยสี่ ประกอบด้วย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค

       การประกอบอาชีพก็เพื่อเลี้ยงชีวิตให้ดำรงอยู่ได้ แล้วชีวิตดำรงอยู่ไปเพื่ออะไร ? ถ้าเกิดมาแล้วก็ได้แต่ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีวิตจนกว่าจะหมดลมหายใจ เมื่อเกิดมาอีกก็ต้องมาศึกษาหาความรู้กันใหม่เพื่อนำไปทำมาหากินเลี้ยงชีวิตอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้แค่นี้อย่างนั้นหรือ ชีวิตที่เราเฝ้าทะนุถนอมรักษาคงไม่ได้มีไว้เพียงแค่นี้ แล้วความจริงจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร เราควรต้องมารู้จักชีวิตตัวเองให้ดีก่อน จากนั้นเราจึงจะได้ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ

       พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบทหนึ่งเรียกว่า “สรีรัฏฐธัมมสูตร” กล่าวถึงธรรมชาติของสรีระร่างกายมนุษย์ไว้ ๑๐ ประการ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสั่งให้พระภิกษุพิจารณาอยู่เนือง ๆ เป็นความเข้าใจถูกเกี่ยวกับชีวิตซึ่งมีประโยชน์ต่อพวกเราทุกคน จึงจะขยายความตามความเข้าใจของหลวงพ่อให้ฟัง ดังนี้

        สิ่งที่ให้พิจารณา ๔ ประการแรก คือ ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหายที่เกิดในร่างกาย สิ่งเหล่านี้ฟ้องให้รู้ว่า ร่างกายประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ ที่มารวมกัน ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุไฟ และธาตุลม แต่ธาตุทั้ง ๔ นั้นไม่ใช่ธาตุบริสุทธิ์ จึงเสื่อมโทรมและสลายได้ อาการที่ธาตุ ๔ ถูกทำลายไปปรากฏออกมาเป็นความหนาว ร้อน หิว กระหาย ตามลักษณะธาตุที่สูญเสียไป หากปล่อยให้เสื่อมถอยไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าร่างกายก็จะถึงแก่ความตายไปทุกส่วน ไม่สามารถดำรงชีวิตไว้ได้ จะต้องได้ธาตุ ๔ จากสิ่งแวดล้อมภายนอกซึ่งอยู่ในรูปของปัจจัยสี่เติมเข้าไปทดแทน เพื่อชดเชยธาตุที่สูญเสียไป มนุษย์จึงจำเป็นต้องกินอาหาร ดื่มนํ้า หายใจ สวมเสื้อผ้า และมีที่พักอาศัยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดำรงอยู่ต่อไปได้

        ธรรมชาติของสรีระร่างกายประการที่ ๕ และ ๖ คือ ความปวดอุจจาระ ความปวดปัสสาวะสิ่งเหล่านี้บอกให้รู้ว่า ธาตุ ๔ ที่เติมเข้าไปนั้น ก็เป็นธาตุไม่บริสุทธิ์ และร่างกายนำไปใช้ไม่ได้ทั้งหมด จึงมีกากออกมาในรูปของอุจจาระและปัสสาวะ เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายจึงสึกหรอไปตามวันเวลา และมนุษย์จำเป็นต้องเติมธาตุ ๔ ให้ร่างกายตลอดชีวิต

       ถ้าความเสื่อมในร่างกายเกิดขึ้นมาก อาการทั้ง ๖ คือ ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความปวดอุจจาระ ความปวดปัสสาวะ ที่เกิดในร่างกายมนุษย์ก็แสดงออกมากแต่ถ้าความเสื่อมในร่างกายเกิดช้าลง อาการที่แสดงออกมาก็ลดน้อยลง

         พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมชาติของสรีระในประการที่ ๗ และ ๘ ว่า คือ ความสำรวมกาย ความสำรวมวาจา ถ้าใครมีความสำรวมกาย สำรวมวาจาดี ร่างกายก็สึกหรอน้อย อายุก็ยืน ถ้าใครไม่สำรวมกาย ไม่สำรวมวาจา ความสึกหรอก็เกิดมาก อายุก็สั้น

       และที่สำคัญประการที่ ๙ คือ ความสำรวมอาชีพ ทำการงานเพื่อเลี้ยงชีวิต เลือกอาชีพที่ไม่ก่อบาปก่อกรรมชั่ว ทำงานที่เป็นกรรมดี นอกจากจะได้เงินทองมาแล้ว ร่างกายก็จะดีจิตใจก็ผ่องใส นิสัยก็ดี บุญก็เกิด สร้างแต่มิตรไม่ก่อศัตรู นี้คือผลของความสำรวมอาชีพแต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่สำรวมอาชีพ ความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งหลายก็จะเกิดตามมาเมื่อประกอบอาชีพหาทรัพย์มาได้แล้ว ยังต้องรู้จักประมาณในการเก็บรักษาและการใช้ทรัพย์นั้นด้วย เพื่อจะได้ไม่เผลอไปทำบาปกรรมใด ๆ เพราะยังมีธรรมชาติของสรีระประการที่ ๑๐ คือ ธรรมเป็นเครื่องปรุงแต่งภพ เป็นเหตุให้เกิดในภพใหม่ ถ้าไม่ระวัง ทำกรรมชั่ว ทำบาปก็มีนรก มีทุคติภูมิรออยู่ เดือดร้อนตั้งแต่ชาติปัจจุบันไปจนถึงชาติในอนาคตต่อ ๆ ไป แต่ถ้าระมัดระวัง หมั่นทำกรรมดี มีบุญมาก สุคติโลกสวรรค์รออยู่ ชาตินี้ก็อยู่เป็นสุข ชาติต่อ ๆ ไปก็เป็นสุข กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะสบาย เพราะบุญที่ประกอบไว้ในชาติปัจจุบัน

        แล้ววงจรนี้เมื่อไรจึงจะหมด จึงจะจบสิ้น ก็ต้องถามว่าทำไมธาตุ ๔ ภายในตัวของเราจึงไม่บริสุทธิ์ เหตุก็เพราะกายถูกควบคุมด้วยใจ ใจนั้นก็ถูกกิเลสซึ่งเป็นธาตุสกปรกแทรกอยู่ทำให้ใจไม่บริสุทธิ์ จึงส่งผลให้ธาตุ ๔ ในกายไม่บริสุทธิ์ ถ้าจะแก้ไขมีทางเดียว คือ ต้องกลั่นใจให้บริสุทธิ์ กำจัดกิเลสออกได้ก่อน ธาตุ ๔ ในตัวจึงจะบริสุทธิ์ ด้วยแนวทางเดียวกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมา คือ เจริญสมาธิภาวนาด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘

       หน้าที่ของเราเกิดมาก็ต้องแก้ไขตัวเอง แม้คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน ต่างต้องทำงานนี้ด้วยตัวเอง พระตถาคตเป็นเพียงผู้บอกและชี้ทางให้

     ขณะนี้เรายังฝึกตัวของเราไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็จะต้องทำความรู้จักตัวเราเองไว้ก่อนเพื่อจะได้ไม่เผลอทำบาปกรรม เพราะเรายังอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม การทำการงานก็เป็นการทำกรรมไปด้วย การประกอบอาชีพดูผิวเผินก็เพื่อความกินดีอยู่ดีเท่านั้น แต่ลึก ๆ แล้วส่งผลทั้งต่อชีวิตและจิตใจของเรา เพราะเราคิด พูด ทำ อยู่อย่างนี้ทุกวัน เราจะมีนิสัยดีหรือเลวมักทำกรรมดีหรือกรรมชั่วก็อยู่ที่การประกอบอาชีพนี้เป็นหลัก

       การประกอบอาชีพอาจจะเป็นตัวสร้างหลักฐานที่มั่นคงหรือเป็นตัวทำลายความมั่นคงของชีวิตก็ได้ เพราะการทำงานในอาชีพนั้น เราอาจกำลังสร้างบุญหรือสร้างบาปไปด้วย อาชีพที่สร้างรายได้มหาศาลก็ใช่จะให้ประโยชน์แก่เราอย่างเดียว เพราะหากเป็นอาชีพที่ทุจริตก่อบาปแล้ว สิ่งที่ได้มาจะไม่คุ้มกับสิ่งที่ชีวิตเราต้องสูญเสียไป งานที่ทำจึงต้องเป็นงานสุจริต ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยส่วนรวม

     ดังนั้น การประกอบอาชีพที่มั่นคงนอกจากคำนึงถึงรายได้เลี้ยงชีวิตปัจจุบันของเราแล้วต้องสามารถรับประกันชีวิตในอนาคตชาติต่อ ๆ ไปของเราด้วย การตัดสินใจเลือกอาชีพจึงจำเป็นต้องวางแผนให้ดี ซึ่งการวางแผนนี้นับเป็นการวางแผนระยะยาวที่ต้องใช้เวลานานมาก และใช้ความพยายามมาก แต่ผลตอบแทนที่ได้รับก็คุ้มค่า

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ ๑๙๗ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล